31 สิงหาคม 2565

TOCA เร่งยกระดับขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ ดันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สู่ “ต้นแบบ” ผู้ประกอบการ “เกื้อกูลสังคม”

สมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย (TOCA) ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยกระดับการมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อให้เกิด “ต้นแบบผู้ประกอบการเกื้อกูลสังคม”             ที่พร้อมร่วมเป็นพันธมิตรขับเคลื่อน “สังคมอินทรีย์” เดินหน้า จัดกิจกรรมสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ให้ผู้ประกอบการกลุ่มนำร่อง กว่า 20 องค์กร พร้อมพัฒนา TOCA Platform และ Earth Points เป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้               ณ สวนสามพราน จ.นครปฐม       


คุณอรุษ นวราช นายกสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย หรือ Thai Organic Consumer Association (TOCA) กล่าวถึงการผลักดันให้เกิดต้นแบบผู้ประกอบการขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ ว่า TOCA ได้จัดกิจกรรมเวิร์คช็อป เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ สามารถซื้ออย่างเข้าใจ ได้มารู้จักเครื่องมือ TOCA Platform ที่ไม่ใช่แค่แพลทฟอร์มซื้อขายสินค้า แต่ยังสามารถบันทึกกิจกรรมจัดการขยะได้ด้วย รวมถึงการทำการตลาดด้วยระบบ Earth Points เพราะเราต้องการเชื่อมโยงผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และศูนย์การประชุม กับเกษตรกรอินทรีย์ที่อยู่บน TOCA Platform ให้มาเป็นพันธมิตรซื้อวัตถุดิบอินทรีย์โดยตรงจากเกษตรกรและตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของสินค้าได้




“ในการขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ สิ่งที่เน้น คือ ต้องเข้าใจว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นไปตามฤดูกาล และอาจมีความเสี่ยงทางธรรมชาติ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องซื้ออย่างเข้าใจ สิ่งที่ควรจะทำคือ ผู้ประกอบการและเกษตรกรร่วมวางแผนการผลิตและรอบการจัดส่งให้สอดรับกับความต้องการซื้อขาย เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ต่อเนื่อง หรือสามารถปรับเมนูให้มีความยืดหยุ่น” คุณอรุษ กล่าว

สำหรับผู้ประกอบการที่มาเข้าร่วมขับเคลื่อนสังคมอินทรีย์ นอกจากจะได้ประโยชน์ด้านความปลอดภัยต่อสุขภาพ ด้านการตลาด ยังช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร สร้างความยั่งยืนในชุมชนด้วย ซึ่งมีการบันทึกข้อมูลการซื้อสินค้าอินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จะได้ประโยชน์ด้านการตลาดจาก TOCA Platform ซึ่งมีการบันทึกข้อมูลการซื้อสินค้าอินทรีย์ สามารถนำมาคำนวณเป็นตัวเลขหรือวัดค่าผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และในระยะต่อไปกำลังพัฒนาให้สามารถคำนวณคาร์บอนฟุตปริ้นท์ได้ด้วย เพื่อช่วยตอบโจทย์ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และเป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กร

ปัจจุบัน มีเกษตรกรอินทรีย์ลงทะเบียนอยู่ใน TOCA Platform กว่า 1,000 ราย ส่วนผู้ประกอบการมีกว่า 60 ราย  สำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ อาทิ Thai and country sport club, Sivatel Bangkok, Dusit International, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติติ์, RakXa Village Sampran, The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel Bangkok, RakXa Wellness & Medical Retreat, มูลนิธิใบไม้เขียว, สยามเบย์ชอร์ รีสอร์ทพัทยา, Grand Hyatt Erawan Bangkok, Reignwood Park, บริษัท อาร์ดับบลิว เวลเนส จำกัด, Canalis Suvarnabhumi Airport Hotel, Novotel Bangkok Bangna, Pukpun Life เหล่านี้เป็นต้น

คุณกิตติมา สุขโชค Assistance Director of F&B Development ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปัจจุบันให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอย่างมาก ดังนั้น การดูแลสิ่งแวดล้อมจึงอยู่ในความสนใจด้วย โดยเฉพาะในส่วนของเศรษฐกิจมีเรื่องของ green procurement  เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่การจัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่เกี่ยวกับความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจด้วย ซึ่งในเรื่องสิ่งแวดล้อมต้องดูต้นทางตั้งแต่แหล่งซื้อวัตถุดิบ เพื่อจะลดปัญหาปลายทางโดยเฉพาะขยะย่อยสลายยาก โครงการนี้ตรงกับนโยบายของศูนย์ฯ หากสามารถจัดหาวัตถุดิบจากท้องถิ่นเหล่านี้มาสู่ผู้บริโภคได้จะดีแน่นอน สำหรับ TOCA Platform มีข้อดีคือใช้งานง่าย และเห็นว่าตั้งใจให้ครบวงจร ทั้งในส่วนระบบการจัดซื้อวัตถุดิบอินทรีย์ และแอพพลิเคชั่นการจัดการของเสีย

 ด้าน คุณสุกัญญา อุดมทรัพย์ Purchasing Manager The Athenee Hotel, a Luxury Collection Hotel Bangkok กล่าวว่า ทางโรงแรมมีนโยบายสนับสนุนสินค้าท้องถิ่นโดยเฉพาะสินค้าอินทรีย์ ซึ่งที่นี่ใช้ข้าวออร์แกนิกทั้งหมดอยู่แล้ว สำหรับ TOCA Platform ที่นำเสนอมาต้องให้เชฟช่วยคิดว่ามีอะไรที่สามารถสั่งซื้อต่อเนื่องได้ทุกสัปดาห์ เพื่อใช้เป็นตัวตั้งหรือโจทย์ เพื่อให้เกษตรกรนำไปวางแผนผลิต เช่น ผลไม้ที่สามารถวางแผนจัดการได้ อย่างสับปะรด แตงโม มะละกอ ทุกโรงแรมใช้แน่นอน อย่างไรก็ตามคิดว่า TOCA Platform เป็นแพลทฟอร์มที่มีความน่าสนใจ


คุณกฤษฎา เตชะมนตรีกุล Vice President Portfolio Management and Managing Director Dusit Foods กล่าวว่า กลุ่มดุสิตฯ จัดหาสินค้าหรือวัตถุดิบอินทรีย์ในเครือข่ายของ TOCA อยู่แล้ว และคิดว่าน่าจะยกระดับให้เพิ่มขึ้นได้อีก เนื่องจากกลุ่มดุสิต มีโรงแรมกว่า 10 แห่งกระจายอยู่ทุกภาคในประเทศไทย ที่ผ่านมามีการซื้อข้าวออร์แกนิกโดยตรงจากเกษตรกรทุ่งกุลาร้องให้  และมองว่าน่าจะเพิ่มจำนวนการสั่งซื้อพืชผักออร์แกนิกมากขึ้นได้ เพราะการซื้อโดยตรงกับเกษตรกร โดยตัดพ่อค้าคนกลาง น่าจะช่วยให้การทำธุรกิจเกิดขึ้นได้ เพราะราคาจะไม่แพงเกินไป และมีกระจายอยู่ในหลากหลายพื้นที่ รวมทั้ง การมี TOCA Platform ที่ช่วยรวมกลุ่มเกษตรกรเอาไว้ น่าจะทำให้การบริหารจัดการทำได้ง่ายขึ้น

TOCA Platform เปิดโอกาสในการเชื่อมห่วงโซ่ของเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร ผู้บริโภค ให้สามารถซื้อขายสินค้าอินทรีย์ พร้อมรับคะแนนสะสม Earth Points แลกรับโปรโมชันต่างๆ ได้ สนใจมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งขับสังคมอินทรีย์กับสมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย (TOCA)  ติดต่อ 098-3915896

หรือ Line OA: TOCA Platform ที่ลิงค์นี้ https://lin.ee/5AobBje 

ติดตามได้ที่ Facebook: TOCA Platform

ฝึกจิตถวายเป็นพระราชกุศล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 นางสาวขวัญเรือน อภิมณฑ์ ประธานมูลนิธิ มศว พร้อมด้วย พลตำรวจตรี ทนัย อภิชาติเสนีย์ รองประธานพลเรือตรี ไพรัช เทียนศิริฤกษ์ รองประธาน และกรรมการบริหารมูลนิธิมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือมูลนิธิ มศว. จัดกิจกรรมถวายเป็นพระราชกุศล  เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2565 โดยการจัดแสดงธรรม ปฏิบัติฝึกจิต โดยพระอาจารย์ธัม์มทีโป พระอาจารย์สุรพจน์ สัท์ธาธิโก และคณะศิษย์ มอบทุนสนับสนุนการจัดการศึกษา จำนวนเงิน 100,000.- บาท เพื่อสนับสนุนให้ทางโรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ "โรงเรียนของพ่อหลวง" นำเงินไปจัดกิจกรรมเสริมการเรียน การสอนพัฒนาทักษะ ปลูกปั้นคนดีสู่สังคมไทย โดยมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ประมาณ 2,000 คน  




โรงเรียนราชประชาสมาสัย เป็นโรงเรียนเอกชนการกุศล เรียนฟรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ซื้อที่ดิน สร้างอาคารเรียน ทรงเสด็จพระราชดำเนินทรงงานด้านการศึกษาด้วยพระองค์เองหลายครั้ง เมื่อแรกตั้งด้วยพระมหากรุณาธิคุณทรงมีพระเมตตาให้เด็กลูกผู้ป่วยโรคเรื้อนได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กทั่วไป กาลต่อมาทรงพระราชทานพระราชดำริให้รับนักรียนที่ผู้ปกครองทุกอาชีพได้รับโอกาสเสมอภาคทางการศึกษา ปัจจุบันมีนักเรียน  1,600 คน และโรงเรียนจะครบ 60 ปีใน พ.ศ.2566  ปัจจุบันนี้มี ดร.ชเนตตี วัจนะรัตน์ เป็นผู้อำนวยการ พร้อมด้วยคณะครู อาจารย์ บุคลากร เกือบ 300 คน ต่างมุ่งมั่นตั้งใจสืบสานงานต่อจากที่พ่อหลวงทรงทำไว้


นอกจากนี้ มูลนิธิ มศว. ได้รวมพลังผู้มีจิตศรัทธา จัดกิจกรรมเสริมการศึกษาเพื่อสนับสนุนให้โรงเรียนจัดกิจกรรมเสริมการเรียน การสอน ฝึกทักษะ ปลูกปั้นนักเรียนทุกคน ให้มีพฤติกรรมและพัฒนาตนเอง มีความ
เป็นไทยทั้งกิริยามารยาท การพูดจาไพเราะไม่หยาบคาย มีความยึดมั่น กตัญญู สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดีของครอบครัว และสังคม ส่งผลดีต่อชาติบ้านเมือง







“พฤกษา” ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สนับสนุนภารกิจเพื่อสังคม ผนึกกำลัง “ช้อปปี้” แปลงโฉมกล่องพัสดุสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่

นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ผู้นำอสังหาริมทรัพย์ที่ส่งมอบที่อยู่อาศัยมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ  จับมือ บริษัท ช้อปปี้ ประเทศไทย จำกัด ผู้นำแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน โดย นางสาวสุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด ร่วมรณรงค์และเชิญชวนให้ลูกบ้าน และประชาชนทั่วไปนำกล่องกระดาษที่ได้จากการซื้อสินค้าออนไลน์มาร่วมบริจาคในกิจกรรม ‘กล่อง เกิด ใหม่’  ที่ริเริ่มขึ้นโดย  ‘ช้อปปี้’  ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้ลูกบ้าน และประชาชนทั่วไป จัดการกล่องกระดาษอย่างเหมาะสม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติทำให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรในระบบอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยพฤกษาสนับสนุนภารกิจเพื่อสังคมนี้ บริการจุดรับบริจาคกล่องกระดาษที่ไม่ใช้แล้วในโครงการของพฤกษาจำนวนมากกว่า 70 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์  และคอนโดมิเนียม พร้อมทั้งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าร่วมบริจาคกล่องพัสดุ เพื่อรวบรวมนำไปผ่านกระบวนการรีไซเคิลที่ได้มาตรฐานสากลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์และมีคุณค่าแก่ผู้คนต่อไป 

พฤกษาดำเนินงานโดยคำนึงถืงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด “พฤกษา...ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต “Tomorrow. Reimagined.” ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญาว่า พฤกษาจะไม่หยุดคิดสร้างสรรค์ พัฒนาสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตของลูกค้าทั้งในวันนี้และอนาคต ควบคู่ไปกับการสร้างความยั่งยืนให้กับสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม   จึงขอเชิญชวนลูกค้าและประชาชนทั่วไป ร่วมกิจกรรม ‘กล่อง เกิด ใหม่’ เพียงนำกล่องพัสดุและบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ใช้แล้วจากการช้อปปิ้งออนไลน์มายังจุดรับกล่อง ณ 100 จุดทั่วกรุงเทพฯ อาทิ โครงการที่อยู่อาศัยของพฤกษา อาคารเอสซีจี 100 ปี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตึกสิงห์ คอมเพล็กซ์ และจุดบริการ Shopee Xpress ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกันยายนจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

สุดปลื้ม พาณิชย์ – DITP ประกาศความสำเร็จ TILOG VE 2022

ขยายเครือข่ายเชื่อมผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยกับต่างประเทศ ผลตอบรับเกินคาด

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ประกาศความสำเร็จ หลังโชว์ศักยภาพจัดงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์เสมือนจริงและเจรจาธุรกิจออนไลน์ (TILOG Virtual Exhibition : TILOG VE 2022) เป็นปีที่ 2 สร้างมูลค่ารวมกว่า 1,244.20 ล้านบาท ตอกย้ำความพร้อมของธุรกิจโลจิสติกส์ระหว่างประเทศของไทย  

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์และเจรจาธุรกิจออนไลน์ (TILOG Virtual Exhibition : TILOG VE 2022) ขึ้น เมื่อวันที่ 24 – 26 สิงหาคม 2565 บนแพลตฟอร์ม www.tilog-ve.com ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ในการส่งเสริมธุรกิจภาคบริการกลุ่มโลจิสติกส์ และมุ่งให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน ซึ่งงาน TILOG VE 2022 ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีผู้เข้าร่วมจากหลายประเทศ อาทิ จีน เมียนมา สปป. ลาว เวียดนาม สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย ฮังการี รัสเซีย ไนจีเรีย เคนยา เป็นต้น






“ตลอดระยะการจัดงาน 3 วัน มีผู้เข้าชมผ่านเว็บไซต์กว่า 24,886 ราย เกิดการจับคู่เจรจาธุรกิจ จำนวน 296 คู่ สร้างมูลค่าทางการค้า 1,244.20 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความต้องการด้านการขนส่งระหว่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับมูลค่าการส่งออกของไทย รวมถึงเป็นโอกาสสำคัญให้กับผู้ประกอบการโลจิสติกส์ไทยได้สร้างเครือข่ายพันธมิตร และขยายการให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มเป้าหมาย”  

นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยังมีการจัดกิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการโลจิสติกส์เพิ่มเติม เช่น การจัดเสวนานานาชาติด้านโลจิสติกส์การค้าระหว่างประเทศ ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด Empowering E-Commerce and Cross Border Logistics ระหว่างวันที่ 1 – 2 กันยายน 2565 ณ Hall 2 Lido Connect กรุงเทพมหานคร และผ่านระบบ Webinar เพื่อพัฒนาความพร้อมให้กับผู้ประกอบการธุรกิจโลจิสติกส์ด้านอีคอมเมิร์ซและการค้าข้ามแดน โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในวงการโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศมาร่วมให้ข้อมูลแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และส่งท้ายด้วยงาน Digital Life…Digital Logistics by DITP ระหว่างวันที่ 3 – 4 กันยายน 2565 ณ ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์คและสเปลล์ รังสิต เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการขนส่งเพื่ออีคอมเมิร์ซ และผู้ผลิตเทคโนโลยีด้าน

โลจิสติกส์ร่วมออกบูธนำเสนอสินค้าและบริการให้กับผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งนี้ สามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Facebook Fanpage: DITP Logistics และ www.tradelogistics.go.th


เอ็ม บี เค ดึง “โซลาร์ รูฟท็อป” ติดตั้งในอาณาจักร“Riverdale District”

ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประหยัดพลังงานในระยะยาว 

ปัจจุบันพลังงานสะอาดเข้ามามีบทบาทในการดำเนินธุรกิจและชีวิตประจำวันนับวันอย่างแพร่หลาย ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดคือ การใช้ระบบโซล่า เซลล์ (Solar Cell) กระบวนการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตพลังงานไฟฟ้า  นอกจากช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าภายในบ้านและอุตสาหกรรมแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร่วมสร้างแวดล้อมโดยรอบให้สะอาดน่าอยู่มากขึ้น  เหตุนี้ กลุ่มธุรกิจในเครือ เอ็ม บี เค จึงร่วมกันนำนวัตกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนด้วยระบบ โซลาร์ รูฟท็อป (Solar Rooftop)  ระบบผลิตไฟฟ้าสำหรับใช้ภายในอาคาร  ช่วยลดค่าไฟฟ้ารายเดือนของแต่ละอาคารมาติดตั้งในพื้นที่ธุรกิจอย่างจริงจัง โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อีกทั้งเพื่อสอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งสหประชาชาติ (SDG) (เป้าหมายที่ 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Action)



ล่าสุดในพื้นที่สีเขียวของอาณาจักร  ริเวอร์เดล ดิสทริค (Riverdale District) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ได้แก่ เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ ธุรกิจกอล์ฟ ได้แก่ สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ  สนามกอล์ฟ บางกอก กอล์ฟ คลับ และ ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว  ได้แก่ ทินิดี โฮเต็ล บางกอก กอล์ฟ คลับ  ได้ร่วมกันติดตั้ง  โซลาร์ รูฟท็อป (Solar  Rooftop)  บนอาคารและหลังคาลานจอดรถ เพื่อนำกระแสไฟฟ้าไปใช้ในพื้นที่บริการลูกค้าอย่างทั่วถึง อาทิ บริเวณคลับเฮ้าส์ ห้องอาหาร สำนักงานส่วนกลางในรูปแบบการใช้งานเครื่องปรับอากาศ และเชื่อมต่อหลอดไฟให้แสงสว่างภายในอาคาร โดยใช้หลักการเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสตรงที่ได้ให้เป็นไฟฟ้ากระแสสลับด้วยอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ เชื่อมต่อเข้ากับระบบจำหน่ายไฟของการไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พร้อมนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนได้ในทุกวัน

ดร.ประหยัด บุญคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธุรกิจในเครือ เอ็ม บี เค มีการบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรด้านพลังงานให้คุ้มค่า ตามนโยบายการพัฒนาความยั่งยืน นโยบายการจัดการพลังงานที่ยั่งยืน และนโยบายการจัดการสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จัดสรรการใช้ทรัพยากรน้ำ  พลังงานไฟฟ้า ลดขยะมลพิษและของเสียจากห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ ตามมาตรฐานระบบการจัดการพลังงาน ISO 50001:2018 อย่างต่อเนื่อง    

“การติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป (Solar  Rooftop) ในธุรกิจต่าง ๆ ของเครือเอ็ม บี เค เรามีเป้าหมายการดำเนินงานในระยะยาว โดยคำนึงถึงมาตรการควบคุมการใช้พลังงานตามนโยบายการอนุรักษ์พลังงาน  ต้องไม่กระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของพนักงาน ลูกค้าในอาคาร รวมถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งภายใน ภายนอกอาคารทั้งทางตรงและทางอ้อม  โดยเริ่มจาก ศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค และศูนย์การค้าพาราไดซ์ เพลส  ตั้งแต่ พ.ศ.2563  ต่อด้วย ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์  ศูนย์การค้าเดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9  และพื้นที่โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์   ริเวอร์เดล  ดิสทริค  ซึ่งเป็นพื้นที่ธุรกิจขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า สนามกอล์ฟ  โรงแรม ศูนย์ประมูลรถยนต์  โครงการที่อยู่อาศัย และ ท่าเรือยอร์ช ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2565  เมื่อรวมทุกกลุ่มธุรกิจที่กล่าวมาแล้ว จะมีกำลังติดตั้งรวม ประมาณ 6.9 เมกะวัตต์สูงสุด (MWp) สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 9,911.3 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh)/ ปี  ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 5,932.90 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 988,817 ต้น  ดร.ประหยัด บุญคำ กล่าว

สำหรับการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)  ในพื้นที่ Riverdale District  มีเป้าหมายการดำเนินงานในปี พ.ศ 2565 ดังนี้

1.สนามกอล์ฟ ริเวอร์เดล กอล์ฟ คลับ  จำนวน 416 แผง ขนาดติดตั้งรวม 235.04 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) ประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 278.14 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh)/ ปี คิดเป็นเงินประมาณ 1,043,026.73 บาท  สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ 166.49 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 27,749 ต้น 

2.โรงแรม ทินิดี โฮเต็ล บางกอก กอล์ฟ คลับ ได้ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แผงชนิด Mono ขนาด 565 วัตต์สูงสุด (Wp)  จำนวน 216 แผง  รวม 122.04 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp) สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 138.22 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) /ปี คิดเป็นเงินประมาณ 518,335.93 บาท โดยจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 82.74  ตันคาร์บอนไดออกไซด์หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้กว่า  13,790  ต้น

3.สนามกอล์ฟ บางกอก กอล์ฟ คลับ  โดยใช้แผงโซล่าร์ เซลล์ ขนาด 565 วัตต์สูงสุด (Wp) จำนวน 182 แผง ขนาดติดตั้งรวม 102.83 กิโลวัตต์สูงสุด (kWp)  จะสามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 119.49 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh)/ ปี หรือประหยัดเงินได้ประมาณ  448,089.67 บาท/ปี โดยรวมแล้วสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ 71.53 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ประมาณ 11,921 ต้น   

4.ศูนย์การค้า เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์ ได้ดำเนินการร่วมติดตั้ง ระบบผลิตไฟฟ้า Solar PV Rooftop ขนาดติดตั้งรวม 1.63 เมกะวัตต์ (MW) สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ  2,269.00 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh) หรือประหยัดเงินได้ประมาณ  8,395,300  บาท/ปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้ประมาณ 1,358.22  ตันคาร์บอนไดออกไซด์หรือเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 223,118  ต้น 

โดยรวมแล้วการติดตั้ง  โซลาร์ รูฟท็อป (Solar  Rooftop) ในพื้นที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Riverdale District จะสามารถช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ ประมาณ 2,804.85 เมกะวัตต์-ชั่วโมง (MWh)/ปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า  1,678.98 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tonCO2e)  โดยคิดเป็นเงินประมาณ 10,404,752.33 บาทต่อปี  โดยมีแผนนำพลังงานทดแทนมาใช้กับอาคารธุรกิจการประมูล บริษัท แอพเพิล ออโต้ ออคชั่น จำกัด (ไทยแลนด์)  เป็นพื้นที่ถัดไป เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพยั่งยืน

ขอเชิญผู้ประกอบการฟังสัมมนาฟรี 9 ก.ย.นี้ เพิ่มโอกาสเป็นคู่ค้าภาครัฐ & เข้าถึงแหล่งทุน

ขอเชิญผู้ประกอบการ SME ที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมสัมมนาฟรี  "เพิ่มโอกาสเป็นคู่ค้ากับภาครัฐ และเข้าถึงแหล่งเงินทุน SME" กับมาตรการในการสนับสนุนให้ SME เข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ  เติมเต็มความรู้พร้อมแนวทางปฎิบัติภายใต้กฎกระทรวงที่กำหนด และข้อพึงระวังของผู้ยื่นข้อเสนอการจัดซื้อจัดจ้างกับภาครัฐและการบริหารพัสดุ  นอกจากนี้ภายในงานยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับ SMEs พร้อมองค์ความรู้อีกมากมาย  อย่าพลาด !! วันที่ 9 กันยายน 2565  เวลา 08.30 -16.00 น. ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม เอ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว 

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมงานฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย 
โดยสามารถลงทะเบียน ได้ที่  https://forms.office.com/r/VDLBQXGQJw

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ คุณนที 0-2298-3037, คุณเสาวคนธ์ 0-2298-3206 

หมายเหตุ - ผู้เข้าร่วมงานต้องสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม


พม. จับมือ ศธ. และ ตร. จัดกิจกรรม “Safety Safety Safety ร่วมสร้างสังคมดี

     วันนี้ (31 ส.ค. 65) เวลา 13.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานเปิดกิจกรรม Safety Safety Safety ร่วมสร้างสังคมดี สังคมปลอดภัย โดยมีนางสาวอรพินทร์ เพชรทัต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจโทอิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล พร้อมด้วย พ.ต.อ.หญิง ศิริกุล ศรีสง่า พยาบาล (สบ 5) กลุ่มงานพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนักเรียนโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี จำนวน 200 คน เข้าร่วมงาน ณ ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 



นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  มีภารกิจในการพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพเต็มศักยภาพ มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการสร้างเสริมเครือข่ายจากทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคม ซึ่งวันนี้กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ผนึกกำลังร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จัดกิจกรรม “Safety Safety Safety ร่วมสร้างสังคมดี สังคมปลอดภัย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างให้เด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้รับรู้และเข้าถึงบริการของรัฐที่รองรับและคุ้มครองความปลอดภัยในมิติต่างๆ  สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในสังคม และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นพลเมืองดีของสังคม (Active Citizen) อีกทั้งกระตุ้นให้สังคมตระหนักต่อปัญหาการถูกกระทำความรุนแรงและการละเมิดในรูปแบบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม


นายอนุกูล กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  มีภารกิจในการพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพเต็มศักยภาพ มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง รวมถึงการสร้างเสริมเครือข่ายจากทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคม ซึ่งวันนี้กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้ผนึกกำลังร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จัดกิจกรรม “Safety Safety Safety ร่วมสร้างสังคมดี สังคมปลอดภัย” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างให้เด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ได้รับรู้และเข้าถึงบริการของรัฐที่รองรับและคุ้มครองความปลอดภัยในมิติต่างๆ  สามารถมีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในสังคม และเป็นการสร้างแรงบันดาลใจในการเป็นพลเมืองดีของสังคม (Active Citizen) อีกทั้งกระตุ้นให้สังคมตระหนักต่อปัญหาการถูกกระทำความรุนแรงและการละเมิดในรูปแบบต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม

นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า สำหรับกิจกรรมในวันนี้ กระทรวง พม. และเครือข่าย มีความตั้งใจมุ่งสรรค์สร้างสังคมไทยให้มีความปลอดภัย 3 มิติ ได้แก่ สถานศึกษาปลอดภัย พื้นที่ปลอดภัย และสังคมปลอดภัย โดยนำเสนอผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงาน อาทิ การแสดงบูธนิทรรศการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวง พม. การบรรยายในหัวข้อ “การสร้างจิตสำนึกความเป็นจิตอาสา ส่งเสริมความเป็นพลเมืองดี สู่การเป็น อพม.” โดย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ การบรรยายหัวข้อ “รู้เท่าทันภัยไซเบอร์” การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบูลลี่ (Bully) โดย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ บริการตัดผมฟรี โดยคุณเจเจ คณะมะหาคัท และมอบอุปกรณ์กีฬาให้นักเรียน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล จำกัด  บริษัทวิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) การกีฬาแห่งประเทศไทย และเพจ Because we care นอกจากนี้ ยังมีการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านครอบครัวเด็กนักเรียนที่ประสบปัญหาทางสังคม ในพื้นที่เขตดินแดง โดย กระทรวงศึกษาธิการได้มอบทุนการศึกษาให้แก่ครอบครัวเด็ก พม. มอบถุงยังชีพและประสานส่งต่อการช่วยเหลือเพื่อเข้าถึงสวัสดิการต่อไป


นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ถือเป็นการริเริ่มให้เด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้ตระหนักรู้และเข้ามามีบทบาท มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมดี และสังคมปลอดภัย เพื่อเป็นพื้นที่คุณภาพในการพัฒนาคนและสังคมอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมเป็นกำลังหลักในการสร้างประเทศชาติให้มั่นคง ประชาชนมีความสุข โดยจะจับมือกับเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมกันพัฒนาสังคม ส่งเสริมให้ประชาชนมีความเป็นพลเมืองดีมีความรับผิดชอบ ไม่ละเลยต่อปัญหา พร้อมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้แก่สังคม เพราะ “สังคมไทยจะดีและปลอดภัยได้ ทุกคนต้องช่วยกันสร้าง”

“ม.น.ข. มอบทุนเพื่อการศึกษา พัฒนาเยาวชน”

มูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชินูปถัมภ์ (ม.น.ข.) มอบทุนการศึกษาแก่เด็กพิการและนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ณ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ และมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2565 อาจารย์สุรวัฒน์  ชมภูพงษ์  ประธานมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชินูปถัมภ์ (ม.น.ข.) เป็นประธานในการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กพิการ จำนวน 25 ทุน และนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์  จำนวน 18 ทุน โดยมีคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ พ.ต.ท. คมวิชช์  พัฒนรัฐ  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ทายาทผู้ให้การสนับสนุนทุน ผ่าน ม.น.ข. ร่วมมอบทุนในครั้งนี้ โดยมี ว่าที่ร้อยตรีธนพัฒน์ แสงรุ่งเรือง คณบดีโรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต นางสาวปนัดดา  วงค์จันตา  ผู้อำนวยการโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ คณะครู นักเรียนและนักศึกษา ให้การต้อนรับ

โดยในช่วงเช้า เวลา 9.45 น. ม.น.ข. ได้มอบทุนการศึกษาแก่เด็กพิการจากโรงเรียนเด็กพิการ 5 แห่ง จำนวน 25 ทุน คือ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ กทม. จำนวน 5  โรงเรียนโสตศึกษาทุ่งมหาเมฆ กทม.  จำนวน 5 คน โรงเรียนโสตศึกษา จ.นครปฐม จำนวน 5 คน โรงเรียนโสตศึกษา จ.นนทบุรี จำนวน 5 คน และโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ จำนวน 5 คน  โดยจัดพิธีมอบ ณ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ 



ทุนการศึกษาที่ ม.น.ข จัดมอบให้แก่นักเรียน นักศึกษานี้ เป็นทุนการศึกษาต่อเนื่อง ที่ให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้จนจบหลักสูตร  ในช่วงบ่าย เวลาประมาณ 13.30 อาจารย์สุรวัฒน์ ชมภูพงษ์ และคณะได้เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เพื่อมอบทุนการศึกษาให้แก่นักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้ได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยสวนดุสิต และวิทยาลัยราชสุดา จำนวน 18 ทุน ดังนี้คือ คณะโรงเรียนการเรือน  คณะศิลปศาสตร์  คณะคหกรรมศาสตร์ และหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จำนวน 12 ทุน  หลักสูตรศิลปศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาหูหนวกศึกษา และหลักสูตรศึกษาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาของคนหูหนวก วิทยาลัยราชสุดา จำนวน 6 ทุน รวมทั้งสิ้น 18 ทุน

“ม.น.ข. ขอเป็นพลังเล็กๆ ในการช่วยแบ่งเบาภาระให้กับน้องๆ ให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาและเป็นคนดีของสังคม  สมควรที่จะได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งในภายภาคหน้าน้องๆเหล่านี้ อาจจะนำโอกาสดีๆ มาช่วยส่งต่อให้แก่น้องๆรุ่นหลังอีก ซึ่งจะเป็นบุญเป็นกุศลต่อไป ขอแสดงความยินดีและเป็นกำลังใจให้น้องๆทุกคน”  ประธาน ม.น.ข. กล่าว

ด้าน พ.ต.ท. คมวิชช์  พัฒนรัฐ ทายาทของอาจารย์วินัย  พัฒนรัฐ  ผู้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาในครั้งนี้  โดยมอบผ่าน ม.น.ข. กล่าวแสดงความยินดีและชื่นชม น้องๆทุกคนว่า เป็นคนดี มีคุณค่าต่อสังคม สมควรที่ได้รับการคัดเลือกสำหรับทุนที่มอบให้ในครั้งนี้ เป็นเจตนารมณ์และเป็นความกรุณา  ของคุณพ่อวินัย พัฒนรัฐ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่ให้ความสนใจดูแลช่วยเหลือ และให้ทุนการศึกษาแก่เด็กพิการมาโดยตลอด จนสิ้นอายุขัย โดยท่านได้ก่อตั้งชมรมช่วยเหลือเด็กพิการ อยากให้น้องๆ ภูมิใจ และใช้เงินอย่างคุ้มค่า  เป็นประโยชน์มากที่สุด  หวังว่าน้องๆจะมีอนาคตที่ดี 


ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธนพัฒน์ แสงรุ่งเรือง  คณบดีโรงเรียนการเรือนมหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวขอบคุณ ม.น.ข. และผู้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษา สำหรับนักศึกษาทั้ง 2 สถาบัน โดยมหาวิทยาลัยสวนดุสิตและวิทยาลัยราชสุดา ได้เปิดโอกาสทางการศึกษา ให้กับนักศึกษาที่มีความพิเศษต่างๆ ได้เข้ามาศึกษา และมีการดูแลในทุกมิติ โดยใช้วิธีการเรียนร่วม เพราะอยากให้นักศึกษาได้อยู่ในสังคมที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด ขอขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนทุนการศึกษาโดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นคนปรกติเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เป็นความปรารถนาดีของผู้ใหญ่ที่มีต่อนักศึกษาและขอแสดงความยินดีกับนักศึกษาทุกคน ขอให้นักศึกษาใช้เงินตามวัตถุประสงค์ที่ผู้มอบทุนมีเจตจำนงค์และตั้งปณิฐานไว้

เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน ประกาศปิดแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน”

เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน  (Real Elixir Abalone Collagen) ประกาศปิดแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” พร้อมมอบรางวัลใหญ่สมมนาคุณให้กับลูกค้าผู้ให้การสนับสนุน


บริษัท นูทริชั่นโปรเฟส จำกัด ผู้นำทางด้านการผลิตและจัดจำจำหน่ายอาหารเสริมและเครื่องสำอางแบบครบวงจร โดยมีความมุ่งมั่นพัฒนาและสรรหาผลิตภัณฑ์พร้อมวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพ เพื่อลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุด อีกทั้งพร้อมที่จะให้บริการที่ดีที่สุดในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อทุก ๆ ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งในครั้งนี้ได้ทำการจัดกิจกรรมภายใต้แบรนด์ “เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน  (Real Elixir Abalone Collagen)” ในแคมแปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

นายคณพล กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูทริชั่นโปรเฟส จำกัด  ได้เปิดเผยว่า “สืบเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในสถานการณ์โควิด รวมไปถึงวิกฤติต่างๆทั่วโลก ทำให้ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตของคนไทย รวมไปถึงการหารายได้ในช่องทางต่างๆได้มีการลดลง รวมไปถึงค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทางบริษัทได้เล็งเห็นปัญหาตรงจุดนี้ อีกทั้งแบรนด์ “เรียล อิลิคเซอร์ อาบาโลน คอลลาเจน  (Real Elixir Abalone Collagen)” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมียอดขายกว่า 3 ล้านกระปุก จึงทำให้เรามีแนวคิดที่อยากจะช่วยเหลือและตอบแทนสังคม จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน 




นอกจากนี้ตัวผลิตภัณฑ์ยังมีความพิเศษเฉพาะตัว คือ “หอยเป๋าฮือ” ที่มีสารสำคัญที่เรียกว่า “อันดีเนเจอร์คอลลาเจน" ที่ถูกค้นพบว่าเข้าไปมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดคอลลาเจน โดยใช้กระบวนการผลิตด้วยอุณหภูมิต่ำและไม่ผ่านการย่อยด้วยเอนไซม์ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่สมบูรณ์ใกล้เคียงกับ คอลลาเจนไทพ์ทู ที่ร่างกายสร้างขึ้น ลดอัตราการทำลายหรือเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อ ปรับสมดุลและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนภายในร่างกายตามธรรมชาติ นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่เราให้ความใส่ใจและต้องการสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มลูกค้าของเราให้มากที่สุด

 สำหรับกิจกรรมแคมเปญ “อาบาโลน ถอดรหัสล่า 5 ล้าน” ได้เริ่มเปิดตัวไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 โดยที่ผู้ร่วมสนุกสามารถร่วมกิจกรรมได้โดยชมวิดีโอโฆษณาเพื่อค้นหารหัสลับและถอดรหัส 5 ตัว ภายในหนังโฆษณา หลังจากนั้นจึงลงทะเบียนและส่งรหัสคำตอบมาที่ Line : @REALELIXIR เพื่อลุ้นรับรางวัลจากทางบริษัท ซึ่งถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีมากมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมอย่าง


มากมาย ทั้งนี้หลังจากที่มีการเปิดตัวแคมเปญและให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมสนุกแล้ว เราจึงได้มีการมอบรางวัลย่อยไปแล้วหนึ่งครั้ง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เป็นจำนวนกว่า 15 รางวัล

และสำหรับในครั้งนี้ถือเป็นการจัดกิจกรรมปิดแคมเปญที่ได้ทำการจัดกิจกรรมมาแล้วกว่า 3 เดือน โดยในครั้งนี้จะเป็นการประกาศผลรางวัลใหญ่ ให้กับผู้โชคดีนั่นคือรางวัลเงินสดจำนวน 5 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล ทั้งนี้หากมีการตอบรหัสถูกมากว่า 1 ท่านรางวัลก็จะทำการหารออกคนละครึ่ง และหากไม่มีคนตอบถูก งานรางวัลก็จะมอบให้กับสังคมครึ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้เราคาดหวังว่าทางแบรนด์น่าจะมีการเติบโตขึ้นได้อีกประมาณ 40% จากกิจกรรมทางการตลาดผ่านแคมเปญนี้ รวมไปถึงการสร้างการรับรู้ผ่านทางช่องทางต่างๆอีกด้วยเช่นกัน  ”คุณคณพล กล่าวทิ้งท้าย

30 สิงหาคม 2565

เครือข่ายเหยื่ออุบัติเหตุบุก บชน.เรียกร้องจัดหนักสถานบันเทิง - ฟื้นด่านตรวจเมา

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯนายประศม สุขแสวง ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยคณะซึ่งเป็นคนพิการที่ได้รับผลกระทบจากการเมาแล้วขับ ได้เดินทางมายื่นหนังสือเถึง พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล โดยมีผู้แทน  ผบช.น.มารับเรื่องเอาไว้


เพื่อเรียกร้องมาตรการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนให้กับ พลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้บัญชาการ ตำรวจนครบาล 4 ข้อ ดังนี้

1. ขอให้มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์เมื่อเกิดเหตุกรณีมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในทันที ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมกับคู่กรณีทั้ง  2 ฝ่าย และลดข้อครหาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่องความไม่โปร่งใส เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนมาที่มูลนิธิเมาไม่ขับเป็นประจำ

2. ขอให้มีการลงโทษสูงสุดกับสถานบันเทิงที่ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าไปใช้บริการ

3. กรณีที่ปรากฎพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน อายุต่ำกว่า 20 ปี และผลการชันสูตรในร่างกายพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวน ร้านค้า สถานประกอบการ สถานบันเทิง บุคคลที่มีส่วนสนับสนุนทั้งทางตรง ทางอ้อม จนเป็นเหตุให้ผู้เยาว์รายนั้นเสียชีวิต  โดยขอให้ดำเนินคดีตามกฎหมายใน พรบ.คุ้มครองเด็ก และพรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับผู้ที่คิดจะหาประโยชน์บนคราบน้ำตาของเยาวชนอีกต่อไป

4. ขอให้มีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่อย่างเป็นรูปธรรมจริงจัง เหมือนเมื่อก่อนไวรัสโควิดระบาด เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ ไวรัสโควิด 19 ทุเลาเบาบางลง การตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์จึงสมควรเป็นนโยบายที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล นำกลับมาพิจารณาดำเนินการใหม่ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในกรุงเทพมหานคร

    
โดยประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ในฐานะเหยื่อเมาแล้วขับ พวกเราไม่อยากให้เด็กเยาวชน ต้องประสบชะตากรรมเหมือนพวกเรา จึงขอเรียกร้องให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้กำหนดนโยบายที่เด็ดขาดจริงจัง โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ทั้งนี้เพื่อปกป้องชีวิตของลูกหลาน ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ประกอบการสถานบันเทิง และการฉ้อฉลของเจ้าหน้าที่บางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่สถานบันเทิงรู้เห็นเป็นใจให้เด็กอายุตำกว่า 20 ปี เข้าไปใช้บริการ ต้องมีการลงโทษสถานหนัก และถ้าในกรณีที่เด็กเยาวชนที่ไปใช้บริการ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และพิสูจน์ทราบว่ามีแอลกอฮอล์ในร่างกายจะต้องมีการสอบสวนเอาผิดกับผู้ที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับเด็กเยาวชนรายนั้น ทั้ง พรบ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพรบ.คุ้มครองเด็ก ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ประกอบการสถานบันเทิงลอยนวล

       นอกจากนั้นแล้ว ขอเรียกร้องให้กรณีเกิดอุบัติเหตุ และมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บต้องมีการตรวจแอลกอฮอล์คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายในทันที ไม่ใช่ประวิงเวลา จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษณ์ วิจารณ์ถึงความไม่โปร่งใสของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้รวมไปถึงการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ต้องรื้อฟื้นการตั้งด่านกลับมาดำเนินการ ที่ผ่านมาอ้างปัญหาโควิด ปัจจุบันคงอ้างไม่ได้แล้ว ประธานเครือข่ายเหยื่อเมาแล้วขับ กรุงเทพมหานคร กล่าวทิ้งท้าย

วิริยะประกันภัย มอบเงินบริจาค มูลนิธิทิสโก้ฯ โครงการ40 ปี แห่งการให้ #ให้ทุกที่คือห้องเรียน

 

กลุ่มทิสโก้ นำโดย นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ (กลางซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รับมอบเงินบริจาค จำนวน 1,000,000 บาท จาก บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมี นายภาคภูมิ วิริยะพันธุ์ (กลางขวา)
ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ในโครงการ 40 ปีแห่งการให้ #ให้ทุกที่คือห้องเรียน เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปี
มูลนิธิทิสโก้เพื่อการกุศล เพื่อสมทบทุนสนับสนุนการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนรู้ในยุคดิจิทัล ส่งมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนไทยที่ขาดแคลน จำนวน 4,040 คนทั่วประเทศ ได้เปิดโลกกว้างทางความรู้
ใหม่ๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา 

​สำหรับโครงการ “40 ปีแห่งการให้ #ให้ทุกที่คือห้องเรียน” กำหนดระยะเวลาจัดกิจกรรม ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 ตุลาคม 2565 โดยเปิดรับบริจาคจากประชาชนทั่วไป ในชื่อบัญชี “มูลนิธิทิสโก้ เพื่อการกุศล เพื่อโครงการ 40 ปี แห่งการให้” บัญชีกระแสรายวัน ธนาคารทิสโก้ เลขที่ 0001-117-005-019-9

โดยสามารถบริจาคผ่าน Mobile Banking (QR Code) ได้ทุกธนาคาร หรือสาขาธนาคารทิสโก้ทั่วประเทศ

ตรัยญา ยกทีมแพทย์พร้อมกูรูความงามมากประสบการณ์ร่วมเปิดโต๊ะคุย จัดเต็มทั้งสุขภาพพร้อมความสวยเฉพาะในแบบของคุณ

พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะ ภายในงาน CARE ASIA 2022 ตั้งแต่ 1 - 4 กันยายน นี้ 

ตรัยญา สถาบันสุขภาพและความงามชั้นนำของประเทศไทย ชวนผู้ที่สนใจการดูแลสุขภาพ เพื่อความงามที่สมบูรณ์แบบ เข้าร่วมชม และพบปะพูดคุยกับ ทีมแพทย์และกูรู ความงามมากประสบการณ์ที่คอยเข้ามาให้คำปรึกษาการดูแลสุขภาพ เพื่อความงามในแบบเฉพาะบุคคลพร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษ อาทิ โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงลึก Complete Hormones ราคา 14,250 บาท รับเพิ่ม Gift Voucher จาก TRIA Bistro โปรแกรมยกกระชับใบหน้า Ultherapy 600 lines ราคา 59,000 บาท ฟรี ! Carboxy Booster Mask 1 ครั้ง โปรแกรม Personal Trainer 24 Sessions ราคา 21,900 บาท ฟรี Membership 3 months และโปรโมชั่นที่น่าสนใจอีกมากมาย 

ภายในงาน CARE ASIA 2022 งานแสดงสินค้า นวัตกรรม ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านการดูเเลสุขภาพและความเป็นอยู่อย่างครบครันแห่งเอเชีย พร้อมร่วมกิจกรรมที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ฟรี! ตรวจสภาพผิวหน้าด้วยเครื่อง 4D Scan ตรวจมวลร่างกายด้วยด้วยเครื่อง X-SCAN พร้อมรับคำปรึกษาจากนักกำหนดอาหาร

และพิเศษเฉพาะวันที่ 2 กันยายน 2565 ฝังเข็มด้วยแพทย์แผนจีนฟรี 30 ท่าน พร้อมรับของรางวัลเพื่อสุขภาพมากมาย อาทิ Gift Voucher ตรวจวิเคราะห์ร่างกาย Styku มูลค่า 2,900 บาท และ One day pass fitness มูลค่า 1,300 บาท สำหรับผู้ที่สนใจศาสตร์ชะลอวัย สามารถเข้าร่วมกิจกรรมให้ความรู้ในเทรนด์การแพทย์ชะลอวัย ในหัวข้อ "Personalized Wellness, the key of future Healthcare" โดย พญ.พิมพ์ชนก บุษกรเรืองรัตน์ ผู้จัดการ สถาบันสุขภาพและความงาม ตรัยญา ที่ บูธ F1 - F10 ฮอลล์ EH 101
ตั้งแต่วันที่ 1 - 4 กันยายน 2565 เวลา 10.00 - 20.00 น.

ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทคบางนา (BITEC บางนา)

จุฬาฯ จัดงาน Chula Sustainability Fest 2022

จุฬาฯ จัดงาน  “Chula Sustainability Fest 2022”  ระหว่างวันที่ 2 – 4 กันยายน 2565 ณ อุทยาน 100 ปี
จุฬาฯ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ และตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ชีวิตตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) 

-  ศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาฯ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และประกาศเจตนารมณ์เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกในจุฬาฯ

- นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แสดงปาฐกถาเรื่อง “นโยบายเพื่อเมืองที่ยั่งยืนและน่าอยู่ของทุกคน” และร่วมกิจกรรมพูดคุย “นิสิตถาม ผู้ว่าฯ ตอบ เพื่อร่วมสร้างกรุงเทพฯ เมืองในฝัน” 

กิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้ง 3 วันประกอบด้วย นิทรรศการและการนำเสนอผลงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน งานเสวนา Workshop นิทรรศการให้ความรู้ ศิลปะบำบัด ดนตรีในสวน ตลาดนัดสีเขียว Greenery Market และ Chula SDGs Market การฉายหนังกลางแปลง ฯลฯ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
ในการปรับเปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิต การทำงานที่ส่งผลดีต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

พม.พัฒนาผู้ประสานงานโครงการโรงเรียนเพียงหลวงฯ สู่ “One Heart Smart Team”


วันอังคารที่ 30 สิงหาคม 2565 เวลา 13.00 น. ณ โรงแรม เดอะ รีสอร์ท แอท สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี นางสาวนภาพร เมฆาผ่องอำไพ รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานเปิดโครงการ “One Heart Smart Team เพียงหลวงหนึ่งใจเดียวกัน” ครั้งที่ 3 เพื่อสร้างทักษะการสื่อสารและการประสานงานให้แก่ทีมงานผู้ประสานงานเพียงหลวงทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ตลอดจนสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ประสานโครงการโรงเรียนเพียงหลวงฯ นำไปสู่การช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างเข้มแข็งเป็น “หนึ่งใจเดียวกัน” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 - 31 สิงหาคม 2565 โดยมี นายสมใจ  บุญอาจ ผู้อำนวยการกองหนึ่งใจ...เดียวกันฯ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดโครงการฯ และนางวันทนา  ชนะกุล ผู้อำนวยการสถาบันการพัฒนาความรู้ด้านการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วย
เจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูง นิคมสร้างตนเอง และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จาก 18 จังหวัด
 



นางสาวนภาพร กล่าวว่า กว่า 13 ปี ที่กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ได้บูรณาการขับเคลื่อนโครงการโรงเรียนเพียงหลวงฯ ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ซึ่งมี

“ผู้ประสานงานโครงการโรงเรียนเพียงหลวงฯ” เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนงานให้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ไม่อาจทำให้ถิ่นทุรกันดารเจริญรุดหน้าเทียบเท่าเมืองได้ แต่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของเด็ก ครอบครัว และชุมชนของโรงเรียนเพียงหลวงดีขึ้น ด้วยการเข้าถึงสิทธิสวัสดิการขั้นพื้นฐานและพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการทำกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การเสริมสร้างองค์ความรู้และเพิ่มพูนทักษะให้กับผู้ประสานงานเพียงหลวง โดยเฉพาะการสร้างทีมงานและเสริมพลังเครือข่าย จึงเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนงานสู่การบรรลุเป้าหมาย



สำหรับโครงการ One Heart Smart Team เพียงหลวงหนึ่งใจเดียวกัน ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2562 ปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 3 ได้นำแนวทางการจัดกิจกรรมแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) มาเป็นฐานของการเรียนรู้ อาทิ การละลายพฤติกรรม กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสภากาแฟ World Cafe' มาพัฒนาผู้ประสานงานโครงการโรงเรียนเพียงหลวงฯ สู่การทำงานเป็นทีม ช่วยสร้างทักษะการสื่อสารและการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนเกิดสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้ประสานโครงการโรงเรียนเพียงหลวงฯ ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินงานโครงการเพียงหลวงบรรลุเป้าหมาย  “กลุ่มเป้าหมายมีทักษะแห่งอนาคต สร้างสังคมแห่งโอกาส เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” นางสาวนภาพร กล่าวในตอนท้าย