09 กรกฎาคม 2568

โรงแรมฟอร์จูนนครพนมฯ ร่วมสนับสนุนงานบวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ประจำปี 2568” อย่างยิ่งใหญ่

นครพนม – เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ณ ลานพญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม ได้มีพิธีเปิดงาน บวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 โดยได้รับเกียรติจาก นายปราชญา อุ่นเพชรวรากร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.คฑา ชินบัญชร และแขกผู้มีเกียรติจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานนับหมื่นคน

โรงแรมฟอร์จูน ริเวอร์วิว นครพนม และ โรงแรมฟอร์จูน วิวโขง ในนาม ฟอร์จูน โฮเทล กรุ๊ป ภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต้อนรับและสนับสนุนงานบุญประจำปีครั้งยิ่งใหญ่นี้ เพื่อร่วมสืบสานตำนานความเชื่อ ความศรัทธา และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของชาวลุ่มน้ำโขง ซึ่งองค์ พญาศรีสัตตนาคราช ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดนครพนม ทั้งในด้านจิตวิญญาณและการท่องเที่ยว

งานในปีนี้จัดขึ้นอย่างอลังการ โดยมี พานบายศรีสูงถึง 7.70 เมตร ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในประเทศไทย พร้อมด้วย ขบวนแห่และนางรำกว่า 2,100 คน ร่วมบวงสรวงอย่างพร้อมเพรียง สร้างภาพแห่งความศรัทธาและความงดงามทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ยังมีแขกรับเชิญพิเศษและศิลปินชื่อดังมากมายร่วมสร้างสีสันภายในงาน


ตลอดระยะเวลา 7 วันของการจัดงาน (7 – 13 กรกฎาคม 2568) บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงจะมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ ขบวนแห่ แสง สี เสียง การแสดงวัฒนธรรม 9 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ การแสดงหมอลำ และโรงทานจากผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งล้วนสะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่น พร้อมส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน และยกระดับนครพนมสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ

โรงแรมในเครือฟอร์จูน มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมขับเคลื่อน Soft Power ของไทยผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พร้อมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยบริการอบอุ่น ห้องพักริมแม่น้ำโขงบรรยากาศดีอบอุ่นในนครพนม และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักที่ประทับใจอย่างแท้จริง

#บวงสรวงพญาศรีสัตตนาคราช2568
#นครพนม
#พญาศรีสัตตนาคราช
#ลุ่มน้ำโขง
#SoftPowerไทย
#เที่ยวอีสาน
#ฟอร์จูนโฮเทลกรุ๊ป
#FortuneRiverViewนครพนม
#FortuneViewKhong

“สเตลล่า” ไม่หวั่นตลาดซบเดินหน้าเตรียมเปิดใหม่ 3 โครงการ

สเตลล่า น้องใหม่อสังหาฯ มากประสบการณ์ สามารถกวาดยอดขาย 6 เดือนแรกได้กว่า 800 ล้านบาท แม้เผชิญความท้าทายจากหนี้ครัวเรือนและการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยมี Backlog จนถึงปลายปีอีก 500 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว “สเตลล่า” มียอดโอนของไตรมาส 2/2568 รวม 209 ล้าน เมื่อเทียบกับยอดโอนไตรมาส 2/2567 (ยอดโอน 21.3 ล้าน) โตกว่า 10 เท่า พร้อมลุยครึ่งปีหลังเตรียมเปิดโครงการใหม่ อีก 3 โครงการทั่วกรุงเทพฯ 

นายรองฤทธิ์ ธรรมสถิต ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท    สเตลล่า เอ็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ STELLA เปิดเผยว่า จากแผนงานในปี 2568 ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขายให้กับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการอย่างแท้จริง (Real Demand) ทำให้ได้ยอดโอนได้เกินเป้า  อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของทางธนาคารที่มีให้กับลูกค้าลดน้อยลง โดยฉพาะอย่างยิ่งโครงการโนวา ลาดกระบัง-สุวินทวงศ์ มียอดโอนแล้วกว่า 60% จากเป้าโอนทั้งปี และในส่วนของภาคธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์เอสเตลล่า (Estella) มีรายได้เมื่อเทียบกับปี 2567 สูงขึ้นถึง 13% ในส่วนของธุรกิจบริการสนามกอล์ฟสตาร์รี่ วัลเล่ เขาใหญ่ รายได้เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนก็สูงขึ้นถึง 12% โดยภาพรวมของ “สเตลล่า” แล้ว บริษัทฯ ประสบความสำเร็จและมีรายได้เพิ่มขึ้นในทุก ๆ ธุรกิจ

ด้วยกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่อยู่อาศัย และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถในการรักษากำไร ดันยอดขายผ่านทีมขายมืออาชีพ ที่เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง ควบคู่กับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อและเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงจุดทำให้ธุรกิจภาคอสังหาฯ เติบโตอย่างมีกำไร ซึ่งผู้บริหารและทีมงานทุกคนมีความมุ่งมั่นกันอย่างยิ่ง เพื่อฟันฝ่าวิกฤติการณ์รอบด้านไปให้ได้อย่างดี ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญต่อกระแสเงินสดและฐานะทางการเงินของบริษัทฯ

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างการจัดซื้อ วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงกระบวนการก่อสร้าง เพื่อคงอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว และสำหรับครึ่งปีหลัง 2568 นี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มอีก 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท ได้แก่ 

1. โครงการแอสตร้า พระราม 2 บ้านเดี่ยวระดับลักซูรี 20 ล้าน

2. โครงการโนวา เวสเกต บ้านเดี่ยวระดับราคา 4-7 ล้านบาท 

3. โครงการสตาร์รี่ นวมินทร์-รามอินทรา คอนโดมิเนียม 8 ชั้น เริ่ม 2.4 ล้านบาท

“จากผลงานครึ่งปีที่ผ่านมานี้ บริษัทฯ ขอขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจให้การตอบรับสินค้าและบริการในทุกภาคธุรกิจของเราเป็นอย่างดี  ขอบคุณทีมบริหารและพนักงานทุกคนที่ร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหาต่างๆจนลุล่วงด้วยดี ทำให้ภาพรวมของครึ่งปี เราสร้างยอดขายใหม่ได้เกือบ 800 ล้าน ซึ่งสวนทางกับภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ที่มีปัจจัยลบต่าง ๆ มากมาย และ 6 เดือนที่เหลือของปีนี้ ก็จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถเราอีกครั้งหนึ่งในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทฯ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่อไป" นายรองฤทธิ์ กล่าว 

“สเตลล่า” ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ ด้วยการผสานแนวคิดด้านนวัตกรรม สุขภาวะ และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของชุมชน เพิ่มพื้นที่ความสุขตั้งแต่วันนี้จนถึงอนาคต ภายใต้แนวคิด “Space For Tomorrow” ภายใต้พันธกิจ พัฒนาพื้นที่อยู่อาศัยที่ผสมผสานความหรูหรากับสิ่งแวดล้อม พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ผ่านนวัตกรรมที่ยั่งยืน รวมถึงมุ่งมั่นอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และสรรสร้างวิถีชีวิตที่ใส่ใจระบบนิเวศน์องค์รวม

“ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล”นำ 3 ศิลปิน ร่วมปลุกพลังเยาวชน Gen Z บริจาคโลหิต

“ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล”นำ 3 ศิลปิน ร่วมปลุกพลังเยาวชน Gen Z บริจาคโลหิต ในแคมเปญ #BLOODCONNECT  เลือดเชื่อมชีวิต...ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ”


บริษัท “ที แอนด์ บี มีเดีย โกลบอล” (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ชั้นนำของเมืองไทย ผสานความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่กับ 3 องค์กรสำคัญ คือศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) โดยร่วมเป็นหนึ่งในภาคีเครือข่ายขององค์กรพันธมิตรกว่า 900 ทั่วประเทศ ปลุกพลังเยาวชนคน Gen Z ชวนบริจาคโลหิตผ่านแคมเปญ #BLOODCONNECT ภายใต้แนวคิด “We Are All Connected - เลือดเชื่อมชีวิต...ให้ทุกชีวิตได้ไปต่อ”โดยนำ 3 ศิลปินในเครือ คือ  จีจี้ “ศุภิสรา วุฒิศาสตร์” -  ซีโมน  “ปุณณาสา ต้นวิชา”  และ ลูกปืน “ศาสวัต ทองอินทร์” เข้ารวมถ่ายทำคลิปวีดีโอเพื่อร่วมรณรงค์ในกลุ่มเยาวชน Gen Z  นับเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่สามารถบริจาคโลหิตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต


ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ร่วมยกระดับการบริจาคโลหิตเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยร่วมการร่วมมือครั้งสำคัญกับสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย (MAT) และสมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย (AAT) พร้อมกับภาคีอีกกว่า 900 ทั่วประเทศ สร้างสรรค์แคมเปญในรูปแบบ Public Service Advertising Campaign เพื่อขับเคลื่อนสังคมด้วยพลังของความคิดสร้างสรรค์ และความรู้ในวิชาชีพด้านการตลาด และโฆษณา จุดมุ่งหมายคือการสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการบริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่องใน กลุ่มคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ประเทศไทยมีปริมาณโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยอย่างยั่งยืน  สร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยการบริจาคโลหิต มอบโอกาส มอบความสุข มอบอนาคตให้ผู้ป่วยได้ใช้ชีวิตในรูปแบบที่ต้องการ จุดไฟคน Gen Z เห็นความสำคัญของการบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน ให้มีปริมาณโลหิตสำรองเพียงพอสำหรับผู้ป่วยทั่วประเทศ หากเริ่มต้นเป็นผู้บริจาคโลหิตตั้งแต่อายุ 17 ปีบริบูรณ์ จะมีช่วงระยะเวลาบริจาคโลหิตได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน




โดย บริษัท ที แอนด์ บี  มีเดียโกลบอล (ประเทศไทย) นอกจากจะได้ร่วมนำศิลปินในเครือถ่ายทำคลิปวีดีโอเพื่อร่วมรณรงค์ในแคมเปญนี้แล้วแล้วยังได้ร่วมประประชาสัมพันธ์โครงการผ่านโซเชียลมีเดียของบริษัทอีกด้วย https://www.facebook.com/share/p/1AhyFUHkn5/?mibextid=wwXIfr

08 กรกฎาคม 2568

บมจ.ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 27001:2022


บมจ.ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์  ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 27001:2022 ยกระดับความปลอดภัยด้านข้อมูล พร้อมมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำในตลาด Insur tech บริษัท ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 สำหรับระบบบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศ (Information Security Management System: ISMS) ครอบคลุมทั้งธุรกิจนายหน้าประกันชีวิตและนายหน้าประกันวินาศภัย ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นด้านการรักษาความลับ ความครบถ้วน และความปลอดภัยของข้อมูลในทุกกระบวนการ

ดร.ปานวัฒน์ กูรมาภิรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) กล่าวว่า“การได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 27001:2022 ในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องยืนยันถึงความเข้มแข็งด้านการจัดการข้อมูลของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมเชิงกลยุทธ์ในการยกระดับระบบงานเข้าสู่การดำเนินธุรกิจในรูปแบบ InsurTech (Insurance Technology) ซึ่งเน้นการผสานเทคโนโลยีเข้ากับการบริการด้านประกันภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และทันสมัย”

บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบดิจิทัลแบบครบวงจร เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data Analytics) เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น และออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล การได้รับการรับรอง ISO/IEC 27001:2022 ยังเป็นส่วนหนึ่งของการวางรากฐานด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของบริษัทในการเป็น “ศูนย์กลางข้อมูลและที่ปรึกษาด้านประกันภัยที่ประชาชนไว้วางใจ” และเป็นผู้นำด้าน Digital Insurance Brokerage อย่างแท้จริง

เกี่ยวกับบริษัท ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน):บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านนายหน้าประกันภัยที่ให้บริการครบวงจร ทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัย โดยยึดมั่นในค่านิยมหลัก ได้แก่ ความซื่อสัตย์ ความถูกต้อง คุณภาพบริการ และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างคุณค่าแก่ลูกค้า ภายใต้คำมั่น “ไม่ใช่ลูกค้า ก็พึ่งได้” และปรัชญา “ขายความจริง อิงความซื่อสัตย์”

#ไรเดอร์ โบรกเกอร์ 

#ขายความจริง อิงความซื่อสัตย์

#โบรกเกอร์สีขาว

#ไรเดอร์อินชัว

ครั้งแรกในไทย! เบเยอร์ คิกออฟ ร่วมสร้างอาคารต้นแบบในเขตกรุงเทพฯ


เบเยอร์ คิกออฟ ร่วมสร้างอาคารต้นแบบในเขตกรุงเทพฯ ให้เย็นขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยสีทาภายในที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อนสูงและหน่วงไฟในตัว พร้อมยกระดับ “คุณสมบัติสีหน่วงไฟ” ด้วยนวัตกรรมจากขยะอาหาร สร้างโรงเรียนปลอดภัยต้นแบบเพื่อสังคม

บริษัท เบเยอร์ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมสีรักษ์โลก เดินหน้ายกระดับมาตรฐานอาคารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เปิดตัวโครงการ “โรงเรียนปลอดภัย ห่างไกลอัคคีภัยด้วยนวัตกรรมจากขยะอาหาร” ณ ศูนย์เด็กปฐมวัยเมอร์ซี่ คลองเตย ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ได้แก่ ศูนย์นาโนเทค สวทช., โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค และกรุงเทพมหานคร



หัวใจของโครงการนี้ คือการต่อยอดโดยผนึกกำลัง ขยะอาหาร (Food waste) จากเปลือกหอยนางรม สู่ “สารชีวภาพหน่วงไฟ” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันอัคคีภัย กับ ผลิตภัณฑ์ BegerCool All-Plus for Interior สีทาภายในระดับพรีเมียมที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ทั้งด้านการสะท้อนความร้อน และคุณสมบัติหน่วงไฟ เพื่อลดความเสี่ยงอัคคีภัยในแหล่งชุมชน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีเด็กเล็กซึ่งมีข้อจำกัดในการอพยพย้ายในภาวะฉุกเฉิน พร้อมยังมีสุขภาวะการอยู่อาศัยที่ดีด้วยอุณหภูมิที่เย็นสบาย (Thermal Comfort)
การเติมสารชีวภาพที่พัฒนาจากขยะอาหารในครั้งนี้ ยังช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการหน่วงไฟอีกระดับ ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน UL94 V-0 สามารถดับไฟได้ภายใน 10 วินาทีโดยไม่เกิดเปลวไฟหยด ทั้งยังปลอดภัยต่อสุขภาพ ไม่ปล่อยสารระเหยอันตราย
ดร.วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าวว่า “เราเชื่อว่าสีที่ดีควรเป็นมากกว่าความสวยงาม แต่ต้องปกป้องคนในบ้าน โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ต้องการความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการเรียนรู้ BegerCool All-Plus for Interior ไม่เพียงแค่ช่วยให้อาคารเย็นสบาย แต่ยังมีคุณสมบัติหน่วงไฟ และยกระดับด้วยนวัตกรรมจากวัสดุเหลือใช้ทางอาหาร โครงการนี้จึงเป็นบทพิสูจน์ว่าเราสามารถใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาด สร้างคุณค่าที่ทั้งปลอดภัย ยั่งยืน และเกิดประโยชน์ต่อสังคมจริง เหมาะกับการดูแลเด็ก ๆ ในโรงเรียน หรือ แม้แต่นำไปใช้กับกลุ่มอาคารที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น เช่น โรงพยาบาล อาคารสาธารณะอื่น ๆ เป็นต้น”


เบเยอร์ยังมีแผนขยายผลนวัตกรรมสีเพื่อความปลอดภัยนี้ สู่พื้นที่อื่น ๆ โดยเฉพาะอาคารสำหรับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง เพื่อยกระดับมาตรฐานอาคารไทยให้ “เย็น ปลอดภัย และยั่งยืน” อย่างแท้จริง
สามารถเข้าชมกิจกรรมต่างๆ หรือผลิตภัณฑ์จากทางเบเยอร์ได้ที่ https://www.beger.co.th/.../BegerCool-All-Plus-for-Interior

07 กรกฎาคม 2568

สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืน ขับเคลื่อนโครงการ GO Green อย่างเป็นรูปธรรม


สหฟาร์ม เดินหน้ายกระดับสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม ติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วม WHAUP พร้อมทดสอบระบบ EV หนุนองค์กรก้าวสู่อนาคตพลังงานสะอาด โชว์แผนลดต้นทุนพลังงานจาก 260 ล้านบาทต่อเดือน เผยแนวคิดสอดคล้องวิสัยทัศน์ผู้นำ “เติบโตเคียงคู่สิ่งแวดล้อม”

บริษัท สหฟาร์ม จำกัด ผู้นำการผลิตและส่งออกไก่ครบวงจรอันดับ 1 ของประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “การเติบโตที่ยั่งยืนควบคู่สิ่งแวดล้อมและชุมชน” ด้วยการเดินหน้าขับเคลื่อนโครงการ GO Green อย่างเป็นรูปธรรม โดยร่วมมือกับ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) – WHAUP ผู้นำด้านโซลูชันพลังงานครบวงจร ในการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จำนวน 14 โครงการทั่วทั้งเครือข่ายโรงงานและฟาร์มของสหฟาร์ม

ดร. จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ ประธานสายบัญชีและการเงิน และเลขานุการคณะกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด เปิดเผยว่า “การติดตั้งโซลาร์เซลล์ร่วมกับ WHAUP ไม่ใช่เพียงการลดต้นทุนพลังงาน แต่เป็นก้าวยุทธศาสตร์ขององค์กร ในการปักหมุดสู่อนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อชุมชน โครงการนี้สะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำรุ่นใหม่ ที่มองว่าองค์กรในวันนี้ต้องไม่เพียงแค่สร้างกำไร แต่ต้องสร้างคุณค่าให้กับโลกใบนี้ในระยะยาว”

“การจับมือ WHAUP เป็นพันธมิตรในโครงการ GO Green ครั้งนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นของสหฟาร์มในมาตรฐานระดับสากลขององค์กรพันธมิตร โดยทั้งสองบริษัทต่างมีเป้าหมายร่วมกันในการผลักดันพลังงานสะอาดให้เป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” ดร.จารุวรรณ กล่าว

โครงการโซลาร์พลังงานสะอาดเฟสแรกของสหฟาร์ม ได้ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 9 โครงการจากทั้งหมด 14 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 46,473.59 กิโลวัตต์พีก (kWp) ด้วยการติดตั้งแผงโซลาร์กว่า 67,000 แผง คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้กว่า 46.8 ล้านหน่วยต่อปี ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลงกว่า 35,089 ตัน/ปี หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ถึง 1.9 ล้านต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเฟส 2 ขนาด 6 เมกะวัตต์ พร้อมแผนการขยายเฟส 3 ต่อเนื่อง



ปัจจุบัน สหฟาร์มมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสูงถึง 260 ล้านบาทต่อเดือน โครงการนี้ช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ราว 30% คิดเป็นเงินประหยัดมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และคาดว่าจะประหยัดรวมได้ถึง 1,600 ล้านบาทภายใน 14 ปี ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดโอกาสทางธุรกิจด้านพลังงานสะอาดในอนาคต

ในขณะเดียวกัน สหฟาร์มและบริษัทในเครือ โกลเด้น ไลน์ บิสซิเนส จำกัด (GLB) ยังได้ขยายขอบเขตของโครงการ GO Green ไปยังมิติอื่น ๆ อย่างครอบคลุม เช่น การวางระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยบนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ เพื่อให้น้ำที่ปล่อยกลับสู่ธรรมชาติไม่มีผลกระทบต่อแหล่งน้ำในชุมชน การปลูกต้นไม้เป็นแนวกันชนรอบโรงงานกว่า 1 ล้านต้น เพื่อเพิ่มออกซิเจนในอากาศ ลดเสียง ฝุ่น และความร้อน รวมถึงการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ

ในด้านพลังงานทดแทนอื่นๆ สหฟาร์มยังศึกษาการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานชีวมวล (Biomass) มาทดแทนเชื้อเพลิงถ่านหินในระบบ Hot Oil Boiler ของโรงงานแปรรูป พร้อมทั้งริเริ่มทดลองใช้ รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า (EV) แทนรถดีเซล โดยหากผลการทดลองประสบความสำเร็จ องค์กรมีแผนทยอยเปลี่ยนรถในระบบโลจิสติกส์กว่า 50 คันให้เป็น EV ภายในปี 2569

“โครงการ GO Green คือหัวใจของการเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนของสหฟาร์ม เราไม่ได้เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ต้องการเป็นองค์กรต้นแบบที่สามารถส่งมอบคุณค่าทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” ดร. จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย




ทั้งนี้ พิธีส่งมอบพลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการจากโครงการโซลาร์เซลล์ จะจัดขึ้นในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ณ โรงงานแปรรูปของสหฟาร์ม จ.เพชรบูรณ์ และ จ.ลพบุรี โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากทั้งสหฟาร์มและ WHAUP เข้าร่วม เพื่อร่วมประกาศจุดยืนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมอาหารไทย ในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และเป็นต้นแบบของธุรกิจที่เติบโตควบคู่กับการดูแลโลกใบนี้อย่างแท้จริง

06 กรกฎาคม 2568

Pai Enduro V.5 สนามแข่งสุดโหดระดับชาติประทับใจนักแข่งทั่วประเทศ ทำห้องพักปายกว่า 3,200 ห้อง

ชมรมปายเอ็นดูโร่ ร่วมกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ทำการปกครองอำเภอปาย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแม่ฮ่องสอน องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน องค์การบริหารส่วนตำบทุ่งยาว สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวปาย สมาคมอาสาสมัครกู้กัยปายสามัคคี SSJ-ATV ตลอดจนหน่วยงานภาคเครือข่าย จัดกิจกรรมการแข่งขันรถจักรยานยนต์วิบาก ภายใต้ชื่อ “ปายเอ็นดูโร่ ครั้งที่ 5 (Pai Enduro 2025)“ ณ สนามแข่งรถพื้นที่ตำบลทุ่งยาว อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีนักแข่งจากทั่วประเทศกว่า 500 คัน เข้าร่วมการแข่งขันในช่วงระหว่างวันที่ 4 - 6 กรกฎาคม 2568 ซึ่งสนามการแข่งขันพื้นที่ของอำเภอปายได้รับการยกย่องว่าเป็นสนามที่มีความสวยงามของภูมิประเทศ และมีความท้าทายรวมถึงช่วงเวลาการจัดกิจกรรมมีความเหมาะสมมีฝนตกในบางช่วง ทำให้เกิดการพิสูจน์ฝีมือของนักแข่งจากทั่วประเทศ นับเป็นสนามลำดับต้นๆ ของประเทศที่นักแข่งให้ความสนใจ และให้การขนานนามว่า “โหดที่สุดในประเทศ” ณ เวลานี้ 



พิธีเปิดจัดขึ้นวันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.30 น. โดยได้รับเกียรติจากนายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นประธานในพิธีเปิดการแข่งขันรถจักรยานยนต์วิบากปายเอ็นดูโร่ ครั้งที่ 5 ณ สนามแข่งรถพื้นที่ตำบลทุ่งยาว อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีนักแข่งจักรยานยนต์วิบากจากทั่วประเทศกว่า 500 คัน เข้าร่วมการแข่งขันพร้อมด้วยผู้ติดตามและกองเชียร์จำนวนกว่า 3,000 คน โดยมีนายอัครเดช วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นผู้กล่าวรายงานการจัดงาน และนายณพล พหุมันโต นายอำเภอปาย กล่าวต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมแข่งขันและนักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ท่ามกลางเสียงเชียร์เสียงปรบมือให้กำลังใจ เนื่องจากพื้นที่การแข่งมีความยากท้าทาย ซึ่งพิสูจน์ได้ถึงน้ำใจนักกีฬาที่มีความเป็นกันเองของทีมนักแข่งและกองเชียร์จากทีมต่างๆ ที่เข้าร่วมชมงาน ในจุดต่างๆ ตั้งแต่จุดโชว์ความสามารถ จุดแข่งขันที่ยากลำบากท้าทาย ตลอดเส้นทางจนถึงเส้นชัยของการแข่งแต่ละประเภท


นายเอกวิทย์ มีเพียร ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า กิจกรรมการแข่งขันรถจักรยานยนต์วิบาก ปายเฮ็นดูโร่ มีมิติที่น่าสนใจหลากหลายทั้งความสวยงามของสภาพภูมิประเทศซึ่งนักท่องเที่ยว นักแข่ง จะได้พบเห็นความงามตามเส้นทางทั้งป่าไม้ ขุนเขา ลำน้ำ พื้นที่เพาะปลูกด้ายการเกษตรและยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปในจุดต่างๆได้อย่างสะดวกโดยจะทำให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่พื้นที่ เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในอำเภอปายและจังหวัดแม่ฮ่องสอน และขอขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ร่วมจัดและร่วมสนับสนุนให้เกิดการจัดงานในครั้งนี้ 

นายอัครเดช วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็น กิจกรรมหนึ่งที่ทาง อบจ. ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งได้ ให้ความสำคัญและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยว ร่วมกับ จังหวัดแม่ฮ่องสอนและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย รวมทั้ง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะทำให้เกิดการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนในพื้นที่ และเกิดการรับรู้พื้นที่ และควรส่งเสริมให้เกิดการจัดขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง



ว่าที่ ร้อยตรี ภาณุวัฒน์ ขัดนาค ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแม่ฮ่องสอน กล่าวว่าการจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วง Green Season ที่เหมาะสมกับช่วงฤดูกาลและเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในพื้นที่โดยมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในพื้นที่อำเภอปายในอัตราที่สูงมากกว่าร้อยละ 85 จาก จำนวนห้องพักกว่า 3,200 ห้องเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามคืนเนื่องจากนักท่องเที่ยวจะมีการเดินทางมาดูพื้นที่ล่วงหน้าจนถึงจบการแข่งพร้อมมีการประกาศผลการแข่งขันและมอบรางวัล ซึ่งได้มีการจองห้องพักและชำระเงินไว้ล่วงหน้ามากกว่า 1 เดือน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของผู้เข้าร่วมงาน ทั้งค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าของที่ระลึก ค่าบริการซ่อมแซมอะไหล่ ค่าเชื้อเพลิง ค่าใช้จ่ายด้านบันเทิง ค่าจ้างทีมงาน รวมทั้ง ค่าบริการเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงไปในแหล่งทีองเที่ยวต่าง ๆ ภายในจังหวัด คาดว่าจะมีการหมุนเวียนเงินตราในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าสิบล้านบาท

04 กรกฎาคม 2568

เปิดเวที Thailand Industrial Conference 2025: ผนึกพลัง 8 สถาบันเดินหน้าจุดประกายอนาคตอุตสาหกรรมไทย

 

อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ และ 8 สถาบันเครือข่าย ร่วมกันเปิดเวที "Thailand Industrial Conference 2025" ภายในงาน Boilex Asia และ Pumps and Valves Asia 2025 ภายใต้ธีม Igniting the Industrial Future ขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืน แลกเปลี่ยนมุมมอง โอกาส และกลยุทธ์ เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันไทยบนเวทีโลก 


ภาคอุตสาหกรรมไทยคือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างรายได้ การจ้างงาน และความเชื่อมั่นทางการลงทุนในระดับโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม การปรับตัวอย่างเป็นระบบสู่แนวทางที่ยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน การจัดสัมมนาในหัวข้อ "Igniting the Industrial Future: จุดประกายอนาคตอุตสาหกรรมไทย" โดยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายอุตสาหกรรม จึงมีเป้าหมายเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ เชื่อมโยงเครือข่าย และร่วมกันกำหนดทิศทางใหม่ของภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน 




นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก จำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการทั้งด้านนโยบาย เทคโนโลยี และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน งาน Thailand Industrial Conference 2025 ถือเป็นเวทีที่รวมพลังของภาคอุตสาหกรรมทั้งระบบ โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างสมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย เพื่อให้ทันต่อบริบทของโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางเทคโนโลยี ภูมิรัฐศาสตร์ และความท้าทายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งส่งเสริมให้อุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ “Green & Safe Industry” ด้วยแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีสะอาด และการบริหารจัดการภาคอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในการขับเคลื่อนนโยบายอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตบนรากฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ งาน Thailand Industrial Conference 2025 และ งาน Boilex Asia & Pumps and Valves Asia (BXAPVA) ถือเป็นเวทีสำคัญที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกระทรวงอุตสาหกรรมในการสร้าง “อุตสาหกรรมไทยแห่งอนาคต” ที่มีความยั่งยืน ปลอดภัย และแข่งขันได้ในเวทีโลก โดยภายในงานได้มีนำเสนอเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ระบบหม้อน้ำที่ทันสมัย ปั๊มและวาล์วที่รองรับโรงงานสีเขียว รวมถึงนวัตกรรมการผลิตและระบบความปลอดภัยในโรงงาน พร้อมเชื่อมโยงองค์ความรู้จากภาควิชาการ ภาคนโยบาย และภาคเอกชนเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

นายมนู เลียวไพโรจน์ ประธาน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวว่า อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับอุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิและ 8 สถาบันเครือข่ายในการจัดงาน Thailand Industrial Conference 2025 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญที่แสดงถึงความร่วมแรงร่วมใจของภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นมากกว่าการจัดสัมมนา แต่คือการจุดประกายแนวคิดใหม่ ๆ ให้กับผู้ประกอบการ ผู้นำทางอุตสาหกรรม และบุคลากรในโรงงาน ได้ร่วมกันพัฒนา ปรับตัว และขับเคลื่อนสู่โรงงานแห่งอนาคตที่มีประสิทธิภาพทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยภายในงาน Boilex Asia & Pumps and Valves Asia 2025 ซึ่งจัดขึ้นร่วมกัน ผู้เข้าร่วมจะได้พบกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีหม้อไอน้ำ ปั๊ม และวาล์ว พร้อมโซลูชันอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงาน และสอดคล้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมสากล มากกว่า 200 แบรนด์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสัมมนาเชิงลึกกว่า 50 หัวข้อ รวมถึงเวทีพิเศษอย่าง GreenTech Stage และ i-Factory Stage ที่จะเติมเต็มความรู้และสร้างโอกาสใหม่ให้กับผู้ประกอบการทุกภาคส่วน เราเชื่อมั่นว่างานนี้จะเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญในการสร้างความร่วมมือ พัฒนาองค์ความรู้ และขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งบนเส้นทางของอุตสาหกรรมสีเขียว”


ร่วมเปิดโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่ เรียนรู้เทคโนโลยีสีเขียว และต่อยอดโอกาสทางธุรกิจไปด้วยกันในงาน Thailand Industrial Conference 2025 และงาน Boilex Asia และ Pumps and Valves Asia ที่จะจัดขึ้นแล้วตั้งแต่วันนี้ –4 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ โดยมุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยี นวัตกรรมสีเขียว และองค์ความรู้เพื่อเสริมศักยภาพภาคอุตสาหกรรมไทย ให้ก้าวสู่ความยั่งยืน ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.boilex-asia.com และ www.pumpsandvalves-asia.com

เบเยอร์ภูมิใจ ตอกย้ำผู้นำสีรักษ์โลก!

 

เบเยอร์ภูมิใจ ตอกย้ำผู้นำสีรักษ์โลก! 10 ผลิตภัณฑ์ผ่านการรับรองฉลาก EPD มาตรฐานระดับโลก “สีรักษ์โลก สีคาร์บอนต่ำ” เพื่อบ้านเย็นและปลอดภัย

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568 บริษัท เบเยอร์ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมสีรักษ์โลกของไทย ยกระดับมาตรฐานสีทาบ้านด้วยการได้รับการรับรอง Environmental Product Declaration (EPD) สำหรับผลิตภัณฑ์สีและเคมีก่อสร้าง จำนวน 10 รุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเบเยอร์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสีไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล

EPD คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

ฉลาก EPD เป็นเครื่องหมายรับรองที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ผ่านการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวงจรชีวิต (Life Cycle Assessment – LCA) ตั้งแต่ขั้นตอนวัตถุดิบ การผลิต การใช้งาน จนถึงการกำจัดของเสีย โดยเน้นความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และสอดคล้องกับมาตรฐานอาคารเขียวทั้ง LEED, WELL และ TREES

10 ผลิตภัณฑ์จากเบเยอร์ ที่ได้รับการรับรองฉลาก EPD ได้แก่

กลุ่มสี Beger Cool และ Beger Cool All Plus ทั้งภายใน ภายนอก สีรองพื้น รวมถึงรุ่นโปรเฟสชั่นนอล ดังนี้

เบเยอร์ คูล ไดมอนด์ชิลด์ 15 ชนิดกึ่งเงา เบส A ขนาด 2.5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ไดมอนด์ชิลด์ พลัส กึ่งเงา เบส A ขนาด 2.5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ยูวี ชิลด์ เบส A ขนาด 2.5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส ชนิดกึ่งเงา เบส A ขนาด 2.5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส ภายนอก เบส A ขนาด 2.5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส โปรเฟสชั่นนอล ภายนอก E-2200 ขนาด 5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส ภายใน เบส A L-1100 ขนาด 5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส โปรเฟสชั่นนอล ภายใน I-1100 ขนาด 5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส สีรองพื้นปูนใหม่กันด่าง 5000 ขนาด 5 แกลลอน

เบเยอร์ คูล ออล พลัส สีรองพื้นปูนใหม่กันด่าง 6000 ขนาด 5 แกลลอน

มาพร้อมคุณสมบัติเด่น ทั้งด้าน การสะท้อนความร้อนสูงสุดถึง 94.2%, กลิ่นอ่อน, ปลอดสาร VOC และโลหะหนักเหมาะกับโครงการ Green Building รายการผลิตภัณฑ์ทั้งหมดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากบทความต้นฉบับที่นี่:

เบเยอร์ได้รับรองฉลาก EPD ตอกย้ำความเป็นผู้นำ “สีรักษ์โลก สีคาร์บอนต่ำ” เพื่อบ้านเย็นและปลอดภัย

ทางเลือกใหม่ของบ้านเย็นและยั่งยืน

การเลือกใช้สีที่ได้รับรอง EPD ไม่เพียงช่วยลดอุณหภูมิในบ้าน และประหยัดพลังงานไฟฟ้า แต่ยังสอดคล้องกับแนวทางลดการปล่อยคาร์บอน ช่วยให้โครงการบ้านจัดสรร คอนโด และงานออกแบบสถาปัตยกรรม ได้รับคะแนนด้านความยั่งยืน เสริมภาพลักษณ์องค์กร และตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม “สีที่ดี ต้องคิดเผื่อโลก”

สามารถเข้าชมกิจกรรมต่างๆ หรือผลิตภัณฑ์จากทางเบเยอร์ได้ที่ Beger Paint
สีเบเยอร์ผู้นำสีนวัตกรรมรักษ์โลก รักคุณ

“งานบวร ๑๐”การจัดนิทรรศการศิลปะเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ


ขอเชิญร่วม “งานบวร ๑๐”การจัดนิทรรศการศิลปะเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวฯและการประกาศผลการประกวดวาดภาพบนพัดจีบ ชิงถ้วยพระราชทาน ณ ลานกิจกรรม Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ์ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กลุ่มศิลปาศรีร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  และ 40 สถาบันการศึกษาจะจัดการประกวดสร้างสรรค์ผลงานศิลปะภาพเขียนบนพัดจีบชิงรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ครั้งที่ 2 ในโครงการ กล้า ๙ ท่องเที่ยวกรุง เพื่อคัดสรรผลงานยอดเยี่ยมที่สื่อถึงพระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม ซึ่งได้ช่วยเหลือราษฎร นำมาจัดแสดงในงานบวร ๑๐  และเปิดตัวผลงานศิลปะดิจิตอลเฉลิมพระเกียรติชุดใหม่ ณ ลานกิจกรรม Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยนำรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายถวายวัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก เพื่อสมทบสร้างอาคารศูนย์การเรียนปลูกรากแก้วศาสนทายาท (รร.สามเณร)   การจัดงานครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นถึงอุดมการณ์แห่งความจงรักภักดี อันเป็นวิถีแห่งการสร้างสังคมที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วย “พลังบวร” ที่มีการเกื้อกูล ส่งเสริม ช่วยเหลือซึ่งกัน และกันอย่างเป็นธรรม เป็นการร่วมถวายพระเกียรติ พระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจด้วยศิลปะ 





งานประกวดวาดภาพบนพัดจีบนี้เปิดโอกาสให้โรงเรียนระดับต่าง ๆ เข้าร่วมประกวด ได้แก่ โรงเรียนพระปริยัติธรรม, โรงเรียนประถมศึกษาตอนปลาย, โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น และโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 32 โรงเรียน โดยมีนักเรียนที่สนใจเข้าประกวดมากกว่า 150 คน เพื่อเข้าร่วมชิงรางวัลกว่า 20 รางวัล ซึ่งผู้ชนะเลิศจะได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, โล่รางวัลเกียรติยศ พร้อมเกียรติบัตร อีกทั้งยังได้รับทุนการศึกษาจำนวน 20 รางวัล รวมทั้งสิ้น 80,000 บาท ได้แก่ รางวัลชนะเลิศสำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 4 รางวัลๆ ละ 10,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 1 สำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 4 รางวัลๆ ละ 5,000 บาท, รางวัลรองชนะเลิศ อันดับ 2 สำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 4 รางวัล ๆ ละ 3,000 บาทและรางวัลชมเชย สำหรับโรงเรียนทุกประเภท รวม 8 รางวัล ๆ ละ 8,000 บาท  

ผู้สนใจขอเชิญส่งผลงานร่วมประกวดภายในวันที่ 10 กรกฏาคม 2568
ติดต่อสอบถาม คุณนิวัติ มหาบุณย์ โทร 064 3561525



และขอเชิญประชาชน ผู้สนใจทุกท่านร่วมชมนิทรรศการศิลปะเฉลิมพระเกียรติ อาทิ ชมดารา คนดังมีชื่อเสียงวาดภาพบนพัดจีบ, การแสดงพัดศิลป์ถวายองค์ราชันย์, การประกวดผลงานจิตรกรรมบนพัดจีบ, นิทรรศการศิลปกรรมเฉลิมพระเกียรติ, ศิลปะภาพยนต์ชุด "สรรเสริญบารมีสดุดีจักรีวงศ์"   ร่วมถวายพระพร, ร่วมวาดภาพพัดจีบ และกิจกรรมอื่น ๆ ในระหว่างวันที่ 17-28  กรกฎาคม 2568  ณ ลานกิจกรรม Living Hall ชั้น 3 ศูนย์การค้าสยามพารากอน  เวลา 10.00 - 22.00 น. 

สอบถามรายละเอียดกรุณาโทรคุณนริสา ชะมุนี 099-5599842