31 พฤษภาคม 2566

SCN ร่วมสร้างหลังคาสีเขียว

บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN โดยหัวเรือใหญ่ ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทฯ ส่งเสริมกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมที่ยั่งยื่น ชวนพนักงานร่วมบริจาคกล่องนม UHT กิจกรรมภายใต้โครงการ SCN ร่วมสร้างหลังคาสีเขียว โดยโครงการนี้เป็นการดำเนินภายใต้นโยบายสนับสนุนการแยกขยะและรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้ว นำมาทำประโยชน์ส่งมอบต่อสังคม เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดปริมาณขยะ โดย SCN ร่วมเปลี่ยน “กล่องนม UHT” ให้เป็นหลังคาที่มีความแข็งแรงและใช้งานได้จริง ซึ่งหลังคาที่สร้างได้นั้น จะมอบให้แก่มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย เพื่อส่งไปรีไซเคิลผ่านกระบวนการผลิตเป็นแผ่นหลังคา และมอบให้ชุมชนที่ขาดแคลน
ต่อไป

ทั้งนี้เหล่าพนักงานบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN ได้เป็นตัวแทนในการส่งมอบกล่องนม
ณ จุดรับบริจาค จังหวัดนนทบุรี เมื่อเร็วๆ นี้

THAIFEX – Anuga Asia 2023 ทุบสถิติกับการรจัดงานที่มีผู้เข้าร่วมชมงานระดับโลกมากเป็นประวัติการณ์ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

การรวมตัวของผู้เยี่ยมชมงานกว่า 78,000 คน และผู้แสดงสินค้ามากกว่า 3,000 ราย ที่อิมแพ็คเมืองทองธานี กรุงเทพฯ ประเทศไทย ตอกย้ำถึงการเป็นผู้นำในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมประกาศแผนการจัดงาน THAIFEX – Anuga Asia 2024 และ THAIFEX – HOREC Asia 2024 ในเวลาอันใกล้ต่อไป 

กรุงเทพฯ ประเทศไทย - 31 พฤษภาคม 2566 - THAIFEX – Anuga Asia 2023 งานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปิดฉากด้วยความสำเร็จอย่างล้นหลามเกินความคาดหมายที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กับมาตรฐานการจัดงานที่น่าประทับใจและการมีส่วนร่วมจากนานาชาติอันน่าทึ่ง และยังเป็นการตอกย้ำอันดับต้น ๆ ของการจัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มระดับนานาชาติที่ทรงอิทธิพลที่สุดงานหนึ่ง ในช่วงวันที่  23-27 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยมีผู้จัดแสดงสินค้า 3,034 ราย จาก 45 ประเทศ ครอบคลุมพื้นที่จัดแสดง 130,000 ตารางเมตร การจัดงานนับว่ามีการเติบโตที่โดดเด่น เมื่อเปรียบเทียบกับงานก่อนเกิดการแพร่ระบาดโรคโควิด19 ในปี 2562 ที่มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้า 2,745 ราย


สำหรับประเทศผู้เข้าร่วมในครั้งนี้ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของการจัดงาน ได้แก่ จีน บราซิล อิตาลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย นอร์เวย์ โปแลนด์ เกาหลีใต้ ตุรกี สหรัฐอเมริกา เวียดนาม และอื่น ๆ นอกจากนี้ ในระดับนานาชาติยังมีกลุ่มประเทศใหม่ ๆ ถือโอกาสมาสร้างชื่อเสียงในงานนี้ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย จัดโดย กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการพัฒนาภูมิภาค (DPIRD) ในพาวิลเลี่ยนฝรั่งเศส ส่วนฮังการี จัดโดย สำนักงานส่งเสริมการส่งออกของฮังการี (HEPA) ส่วนศรีลังกา จัดโดย คณะกรรมการการพัฒนาธุรกิจส่งออกของศรีลังกา (Sri Lanka Export Development Board) และสหราชอาณาจักร จัดโดย แผนกสหราชอาณาจักรในส่วนของธุรกิจและการค้า (UK Department of Business and Trade) อีกทั้ง จากรายงานของปี 2566 ระบุด้วยว่ามีผู้เข้าร่วมงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีผู้เข้าชมงานกว่า 78,764 คน จาก 133 ประเทศ เพิ่มขึ้น 17% เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดงานก่อนเกิดโรคระบาดในปี 2562

THAIFEX – Anuga Asia 2023 เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างเครือข่ายธุรกิจแบบพบปะตัวต่อตัว โดยนำเสนอโปรแกรมสำหรับผู้ซื้อที่มีความคาดหวังสูง และมีการอำนวยความสะดวกทั้งเรื่องการประชุมทางธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้จัดแสดงสินค้านานาชาติ ซึ่งล้วนอยู่ในระดับแนวหน้าและมีคุณภาพกว่า 1,900 ราย ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าและความร่วมมืออันดี 

สำหรับ Future Food Experience+ ในงาน THAIFEX – Anuga Asia ส่วนที่จัดแสดงนวัตกรรมอาหารและเครื่องดื่มแห่งอนาคต มีวิทยากรจากทั่วโลก 33 ท่าน เข้าร่วมงานอย่างน่าประทับใจ  ในงานมีช่วงของการประชุม เสวนา ที่ให้ข้อมูลเชิงลึก ทิศทางแนวโน้ม และความก้าวหน้าซึ่งล้วนมีคุณค่าที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรม โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมด 1,794 ราย ใน 23 หัวข้อ และหัวข้อที่มีผู้ติดตามมากที่สุด ได้แก่ 1. อนาคตของอาหารที่มีคุณค่ามากกว่าโภชนาการ 2. เทรนด์อาหารในอนาคต ปี 2566-2568 และ 3. การสร้างโปรตีนทางเลือกใหม่ในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อการเป็นแพลตฟอร์มอันทรงพลังสำหรับการเชื่อมต่อและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การสำรวจศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด เพื่อปรับภูมิทัศน์ด้านอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้มีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดต่อไป 


นอกจากนี้ Exploring World Coffee ยังได้รับการชมว่าเป็นโซนกาแฟที่น่าตื่นตาตื่นใจในขณะที่สมาคมกาแฟไทย (TCA) มีความภูมิใจที่ได้ต้อนรับเอกอัครราชทูตจากบราซิล กัวเตมาลา และเคนยา ซึ่งได้นำเสนอตลาดกาแฟ เทคนิคการทำไร่ และสายพันธุ์อันโดดเด่นของแต่ละประเทศ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 400 คน ล้วนได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและยังได้สัมผัสรสชาติกาแฟกว่า 40 ตัวอย่าง จากแหล่งกำเนิดกาแฟที่หลากหลาย 

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กล่าวว่า  “DITP จัดงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี โดยจัดร่วมกับ 2 พันธมิตรผู้ทรงเกียรติ ประกอบด้วย หอการค้าไทย และ โคโลญเมสเซ่ – ทั้ง 2 พันธมิตรถือว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในความสำเร็จครั้งนี้ โดยผู้จัดงานทั้ง 3 ราย ร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มเพื่อส่งเสริมวิทยาการความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมและดึงดูดผู้จัดแสดงสินค้าทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมจำนวนมาก ในขณะเดียวกันยังได้เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในฐานะผู้เล่นที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับโลกผ่านงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 โอกาสนี้ ประเทศไทยจะยังคงสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมในระบบนิเวศอาหารทั่วโลกต่อไป”

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย (TCC) กล่าวว่า “งาน THAIFEX – Anuga Asia ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทะลุเป้า ทั้งจำนวนผู้เข้าชมงานและผลประกอบการ งานดังกล่าวเป็นเวทีอันทรงคุณค่าสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยในการแนะนำและเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการของตนสู่ตลาดต่างประเทศส่งผลให้ได้รับคำสั่งซื้อและโอกาสในการขายในทันที ผู้ประกอบการของเราให้ความสำคัญกับโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการทดสอบตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้ซื้อจากต่างประเทศยังรู้สึกประทับใจกับผู้แสดงสินค้าในท้องถิ่นเกี่ยวกับเทรนด์อาหารสมัยใหม่ ซึ่งรวมถึงอาหารออร์แกนิก อาหารจากพืช และความยั่งยืน นอกเหนือจากอาหารและเครื่องดื่มแล้ว งานนี้ยังช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเนื่องจากนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูงวางแผนที่จะสำรวจจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ในประเทศไทย"


นายแมธเธียส คูเปอร์ กรรมการผู้จัดการและรองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ โคโลญเมสเซ่ กล่าวว่า "ในฐานะผู้จัดงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำของเอเชียแปซิฟิก รู้สึกภาคภูมิใจอย่างมากกับความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในงาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 การจัดงานครั้งนี้มีผู้แสดงสินค้าเพิ่มขึ้น 89% และผู้เข้าชมงานเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2565 ความสำเร็จนี้ย้ำถึงบทบาทของเราในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมอย่างมั่นคงและเป็นเวทีที่ยอดเยี่ยมสำหรับประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องด้านอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก มากกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจการค้าด้านอาหารและเครื่องดื่มที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มอันดับต้น ๆ จากการข้าร่วมงาน ที่ให้ทั้งประโยชน์ด้านการเจรจาธุรกิจ การบรรลุเป้าหมายประจำปีที่ตั้งไว้ จากการเข้าร่วมงาน ที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน  อีกบทบาทของเรา คือ เพื่อเปิดตัวงานแสดงสินค้า THAIFEX – HOREC Asia ระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม ในปีหน้า และงาน THAIFEX – Anuga Asia 2024 ครั้งที่ 20 เราขอยืนยันความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม นวัตกรรม และการส่งเสริมความสัมพันธ์อันล้ำค่าต่อไป”

ผู้จัดแสดงสินค้าใหม่และกลับมาพบโอกาสที่ไม่มีใครเทียบได้ที่งาน THAIFEX – Anuga Asia 2023
Dr. Sándor Sipos - เอกอัครราชทูตฮังการี ได้แบ่งปันความคิดเห็นในฐานะผู้เข้าร่วมงานครั้งแรกว่า “การเข้าร่วมงาน THAIFEX – Anuga Asia ในฐานะผู้แสดงสินค้าสำหรับเราถือเป็นสิทธิพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสที่เราฉลองครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและฮังการีในปีนี้ นิทรรศการนี้ทำให้เรามีแพลตฟอร์มอันทรงเกียรติในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของฮังการีและสร้างความสัมพันธ์อันมีค่า เรามีความยินดีกับการตอบรับมากมายจากผู้เยี่ยมชมและผู้เล่นในอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงถึงความสนใจอย่างมากในข้อเสนอพิเศษของเรา เช่น หมู mangalitsa อันปราณีต และส่วนผสมแบบดั้งเดิมของฮังการี เช่น ปาปริก้าและไวน์ของหวาน Tokaji ซึ่งการต้อนรับที่อบอุ่นและบรรยากาศที่เป็นมิตรของประเทศไทยทำให้มีประสบการณ์แบบพิเศษยิ่งขึ้น ขณะที่เรายังคงมุ่งมั่นต่อไปในตลาดเอเชีย และเราหวังว่าจะได้กลับมาที่งาน THAIFEX – Anuga Asia ในปีหน้า เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นและจัดแสดงมรดกการทำอาหารที่ดีที่สุดของฮังการี"

นาย Thierry Mathhou เอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทยที่เข้าร่วมงานเป็นครั้งแรกกล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสำเร็จของผู้แสดงสินค้าชาวฝรั่งเศสที่งาน THAIFEX – Anuga Asia 2023 งานนี้เป็นเวทีที่ยอดเยี่ยมสำหรับแบรนด์ของเราในการแสดงสินค้า ที่แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ นวัตกรรมใหม่ และความเป็นเลิศด้านการทำอาหาร การเปิดตัวและมองหาโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในงาน THAIFEX – Anuga Asia เครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเป็นการเปิดประตูสู่ความร่วมมือ และขยายการเข้าถึงตลาด นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับการยอมรับและการยกย่องนวัตกรรมของฝรั่งเศส เช่น BRAINFINGER ที่ก้าวล้ำ โต๊ะแบบทัชสกรีน (Table Tactile) โดยสตาร์ทอัพฝรั่งเศส และนวัตกรรมของฝรั่งเศสที่นำเสนอโซลูชั่นแห่งปี 2023 ในงาน นับเป็นนวัตกรรมหลากหลายภาคส่วน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม และค้าปลีก”

“เราขอแสดงความยินดีกับแบรนด์ฝรั่งเศสที่เข้าร่วมงานทั้งหมด ที่ตั้งตารอที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องและการเป็นพันธมิตรภายพลังของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่เติบโตไม่หยุดนิ่งของประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ อีกด้วย สำหรับธุรกิจของฝรั่งเศส ฝ่ายการค้าของสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสมีความกระตือรือร้นที่จะร่วมมือกับผู้จัดงาน THAIFEX – Anuga Asia และ French พาวิลเลี่ยน เพื่อให้แน่ใจว่าการมีส่วนร่วมของฝรั่งเศสจะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นในปีหน้า”

ผู้แสดงสินค้ารายใหม่จากประเทศจีน Yichang Yilinghong Ecological Agricultural Development มีรายงานการเปิดตัวที่น่าทึ่งในงาน THAIFEX – Anuga Asia โดยประธาน Wang Enzhen กล่าวว่า "นี่เป็นการเข้าร่วมครั้งแรกของเราในงาน THAIFEX – Anuga Asia และเรารู้สึกขอบคุณสำหรับโอกาสที่จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งนับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่สำหรับเรา โดยเฉพาะการบรรลุข้อตกลงมูลค่า 600 ล้านหยวน ตลอดงาน และเรายังได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับความชอบของผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการส้มจากมณฑลหูเป่ยที่เพิ่มมากขึ้น และความสนใจที่เพิ่มขึ้นในผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ออร์แกนิก และข้อสังเกตเหล่านี้จะเป็นแนวทางสำหรับกลยุทธ์ในอนาคตของเราเพื่อตอบสนองตลาดได้ดียิ่งขึ้น”

“เมื่อมองไปข้างหน้า เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กลับมาที่งาน THAIFEX – Anuga Asia ในปีหน้าโดยมีเป้าหมายที่จะขยายการแสดงของเรา และการบรรลุข้อตกลงมูลค่า 1 ล้านล้านหยวนที่น่าทึ่งในงาน เราพร้อมทุ่มเทเพื่อสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจที่มีความหมายต่อไป  และยังมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาในอนาคต" หวัง เอินเจิ้น กล่าว 

ฉลองผู้ชนะเลิศในประเภทรางวัลอันทรงเกียรติในการแข่งขัน Thailand Ultimate Chef Challenge (TUCC) 2023 การแข่งขัน Thailand Ultimate Chef Challenge (TUCC) ครั้งที่ 9 ยังสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่ชื่นชอบอาหารและเชฟมืออาชีพในอุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะฮอลล์ 12 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 23-27 พฤษภาคม 2566 ซึ่ง TUCC ถือเป็นเวทีการแข่งขันทำอาหารที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดรายการหนึ่งของเอเชีย ที่นำเสนอการแสดงความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ และความเอร็ดอร่อยอันน่าตื่นเต้น

สำหรับผู้ชนะที่ได้รับการยอมรับในประเภทต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้:

● สุดยอดสถานประกอบการที่ดีที่สุด ได้แก่ สมาคมเชฟเชียงใหม่

● การแข่งขันสุดยอดนักชิมแห่งเอเชียที่ดีที่สุด ได้แก่ 

○ Fan Ying-Chih, Nkuht FBM Young Chef

○ Hsu Kuo Fu, Nkuht FBM Young Chef

○ Tsai Shih Hsuan, Nkuht FBM Young Chef

● สุดยอดเชฟแห่งเอเชีย ได้แก่ ไครุล อาชิคิน บีที อัดบุลลาห์ ซูฮามี, โคเลจ โคมูนิตี เชนเดโรห์

● สุดยอดเชฟมืออาชีพ ได้แก่ จาตุรงค์ มยุโรวาส สมาคมเชฟเชียงใหม่

● รางวัลสุดยอดเชฟรุ่นเยาว์ยอดเยี่ยม ได้แก่ ซอฮยอนจุน, World Culinary Arts and Bakery (WCB)

TUCC 2023 รวบรวมเชฟมืออาชีพและผู้มีความมุ่งมั่นจาก 9 ประเทศ เข้าแข่งขันใน 21 หมวดหมู่ ซึ่งครอบคลุมความเชี่ยวชาญด้านการทำอาหารที่หลากหลาย ด้วยผลงานที่ส่งเข้าประกวดกว่า 700 รายการ กับงานเฉลิมฉลองความเป็นเลิศด้านการทำอาหารในระดับโลก

ในปีนี้ การแข่งขันได้นำเสนอธีมใหม่เกี่ยวกับพืช ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นของอาหารที่ยั่งยืนที่เน้นพืชเป็นหลักในอุตสาหกรรม คณะกรรมการที่โดดเด่นซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญกว่า 40 คน ซึ่งได้รับการอนุมัติจากสมาคมเชฟโลก (WACS) ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน ประเมินทักษะ เทคนิค และการนำเสนอของผู้เข้าร่วมอย่างพิถีพิถัน

THAIFEX – Anuga Asia 2024 จะกลับมาที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ
ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2567 ฉลองครบรอบ 20 ปี  

THAIFEX – HOREC Asia จะเปิดตัวที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ
ตั้งแต่วันที่ 6-8 มีนาคม 2567

ข้อเท็จจริง:

จำนวนผู้เข้าชมการค้าทั้งหมด: 78,764

พื้นที่จัดแสดง: 130,000 ตร.ม

ผู้จัดแสดงสินค้าทั้งหมด: 3,034

ผู้จัดแสดงสินค้าต่างประเทศ: 1,925

ผู้จัดแสดงสินค้าไทย: 1,109

จำนวนประเทศ: 45

THAIFEX – Anuga Asia 2023 จัดโดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP)

หอการค้าไทย (TCC) และโคโลญเมสเซ่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://thaifex-anuga.com


กรมการท่องเที่ยวและตำรวจท่องเที่ยวเตือนประชาชนตรวจสอบใบอนุญาตบริษัททัวร์

ป้องกันมิจฉาชีพลอยแพ หลอกพาไปทำงานต่างประเทศผิดกฎหมาย

จากกรณีมีการแอบอ้างเป็นบริษัททัวร์ สามารถส่งคนไทยไปทำงานด้านการเกษตรในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งให้รายได้วันละประมาณ 8,500 เยน หรือประมาณ 2,000 บาทต่อวัน แต่ต้องโอนเงินค่านายหน้าให้บริษัทดังกล่าว เพื่อพาเดินทางออกนอกประเทศในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 29,990 – 100,000 บาท เมื่อถึงวันเดินทางบริษัททัวร์ลอยแพ ขอยกเลิกการเดินทางออกไปก่อน และยังไม่คืนเงินที่เรียกเก็บไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้เสียหายกว่า 80 คน ออกมาร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซ้ำยังถูกบริษัททัวร์ดังกล่าวแจ้งความกลับในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จนทำให้ตกเป็นจำเลยในคดี

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ทันทีที่กรมการท่องเที่ยวและกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวทราบเรื่อง ได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พบว่ามีการจดทะเบียนนิติบุคคลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยบริษัทพารวย ทราเวล จำกัด จดทะเบียนจังหวัดขอนแก่น และบริษัท พิศวริน อินโนเวชั่น จำกัด จดทะเบียนจังหวัดลำปาง แต่ทั้งสองบริษัทไม่เคยได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวจากกรมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด จึงไม่สามารถพาคนไทยออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศในรูปแบบกรุ๊ปทัวร์ตามที่กล่าวอ้างได้ กรณีนี้สร้างความเข้าใจผิด และเสียหายต่อภาพลักษณ์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเป็นอย่างมาก

กรมการท่องเที่ยวและกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวจึงขอฝากความห่วงใยถึงประชาชนที่ต้องการออกไปทำงานในต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ติดต่อผ่านกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานเท่านั้น เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง และเน้นย้ำสำหรับประชาชนที่ประสงค์เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศในรูปแบบทัวร์ สามารถตรวจสอบสถานะใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเที่ยวของบริษัทนำเที่ยวได้ที่ www.dot.go.th

ไอคอนสยาม ร่วมฉลอง PRIDE MONTH ส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษกับแคมเปญ “ICONSIAM Love Proudly”

สนับสนุนนโยบายความหลากหลายและความเท่าเทียม เริ่มวันนี้ ถึง 30 มิ.ย. 66 

ไอคอนสยาม สนับสนุนนโยบายด้านความหลากหลายและความเท่าเทียม ร่วมฉลองเดือนแห่ง Pride Month ด้วยแคมเปญ  “ICONSIAM Love Proudly” เมื่อช้อปปิ้งสินค้าและบริการต่าง ๆ ครบตามยอดที่กำหนด แลกรับ Siam Gift Card เพื่อดื่มด่ำกับประสบการณ์รับประทานอาหารใน 4 ร้านดังที่บรรยากาศสุดโรแมนติกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้ง Blue by Alain Ducasse, Fallabella Riverfront, HOBS และ James Boulangerie พร้อมสนุกไปกับกิจกรรมหลากหลายความสุข ร่วมสร้างคอนเทนต์ให้สนุกกับพื้นที่แห่งแรงบันดาลใจบนถนนสีรุ้งอันสดใส ณ ทางเข้าไอคอนสยาม บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า บริเวณเจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M และชมความงดงามของสายน้ำตกหลากสีรุ้ง (Waterfall) ในโซนอลังการ ชั้น 6  และการแสดง “ICONIC Multimedia Water Features” การแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดีย ธีมสีรุ้ง ที่ยาวที่สุดที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกิจกรรมรับของรางวัลมากมาย ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2566



คุณสุมา วงษ์พันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด  เปิดเผยว่า ไอคอนสยามดำเนินธุรกิจด้วยแนวคิดในการสร้างคุณค่าร่วมกัน โดยมุ่งสร้างและส่งมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้า เรามุ่งมั่นที่จะทำให้พื้นที่ของไอคอนสยามเป็นคอมมูนิตี้ของคนทุกกลุ่ม และสนับสนุนนโยบายด้านความหลากหลายและความเท่าเทียม ที่ให้ความสำคัญต่อผู้คนที่มีความหลากหลายในทุกมิติ อาทิ เพศ เชื้อชาติ สุขภาพ เริ่มตั้งแต่การออกแบบพื้นที่ศูนย์การค้าภายใต้แนวคิด อารยสถาปัตย์ (Universal Design) ซึ่งเป็นการออกแบบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการที่คำนึงถึงผู้คนทั้งมวล ซึ่งไอคอนสยาม ได้รับรางวัลด้านอารยสถาปัตย์ต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 2018  โดยล่าสุดไอคอนสยามได้รับรางวัล  “แหล่งท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล” ในงาน Thailand Friendly Design Expo 2022  หรือ มหกรรมอารยสถาปัตย์ และนวัตกรรมสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 6 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 

“ไอคอนสยาม ร่วมฉลองเดือนแห่ง Pride Month ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศทุกรูปแบบ (LGBTQIAN) ด้วยแคมเปญ  “ICONSIAM Love Proudly” ด้วยการเนรมิตพื้นที่ทางเข้าไอคอนสยามและไอซีเอส บริเวณทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้า และบริเวณเจริญนคร ฮอลล์ ชั้น M กลายเป็นพื้นที่สีรุ้งแบบจัดเต็มให้ทุกคนได้สนุกกับการถ่ายภาพและสร้างคอนเทนท์อย่างอิสระ   พร้อมมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้ทุกคู่รักเพลิดเพลินไปกับการแสดง “ICONIC Multimedia Water Features” การแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดีย ที่ยาวที่สุดที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในธีมสีรุ้ง โดยสามารถชมได้ทุกวัน วันละ 2 รอบ เวลา 19.00 น. และ 19.30 น.  นอกจากนี้ยังตื่นตาตื่นใจไปกับการชมความงดงามของสายน้ำตกหลากสีรุ้ง (Waterfall) ในโซนอลังการ ชั้น 6  ชมได้ทุกวันในเวลา 19.00 – 20.00 น.  ตลอดเดือนมิถุนายนนี้” คุณสุมา กล่าว

คุณสุมา กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ทุกคู่รักได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดพิเศษในเดือนแห่ง Pride Month นี้ ไอคอนสยาม ต้อนรับทุกท่านกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ เพิ่มความคุ้มค่าให้ทุกการซื้อสินค้าและการใช้บริการในไอคอนสยาม สยามทาคาชิมายะ และ ไอซีเอส  (ตรงข้ามไอคอนสยาม)  เมื่อช้อปครบ 20,000 บาทขึ้นไป แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 1,000 บาท เพื่อใช้สำหรับการซื้อสินค้าครั้งต่อไปครบ 3,000 บาทขึ้นไป / ใบเสร็จ  โดยสามารถใช้ได้ที่ร้าน Blue by Alain Ducasse, Fallabella Riverfront, HOBS และ James Boulangerie เท่านั้น  ในส่วนของ ICS เมื่อช้อป ครบ 1,200 บาท แลกรับคูปองส่วนลดมูลค่า 100 บาท พร้อมรับคูปองส่วนลดจากร้านค้าที่ร่วมรายการ ตลอดเดือนมิถุนายนนี้  *สอบถามเงื่อนไขเพิ่มเติม ณ จุดขาย

นอกจากนั้น ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมแสดงความรักในแบบพลังบวกที่สร้างสรรค์  กับแคมเปญ “ICONSIAM Love Proudly”  ให้ทุกคู่รักได้ร่วมฉลองและแสดงพลังความรักอย่างภาคภูมิใจในเดือน Pride Month กันได้ ง่ายๆ เพียงถ่ายรูปคู่กันแบบน่ารักที่ไอคอนสยาม พร้อมติด hashtag  #ICONSIAMLOVEPROUDLY #PRIDEMONTH  และโพสต์ลงโซเชี่ยลมีเดีย แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 200 บาท ต่อ 1 คู่   ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2566 ณ ไอคอนสยาม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1338
หรือ www.iconsiam.com และ Facebook : ICONSIAM

30 พฤษภาคม 2566

“พาณิชย์” ย้ำจุดยืนส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม ด้วยนวัตกรรมและการสร้างแบรนด์ ในงาน “Design and Value Creation Forum” ฉลอง 33 ปี

จาก “ส่งเสริมการออกแบบพัฒนาสินค้า” สู่การ “สร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อความยั่งยืน”

กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ตอกย้ำจุดยืนภารกิจสำคัญ “ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการสร้างแบรนด์” และ “พัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ” ย้ำกับทุกภาคส่วนให้ผลักดันอย่างต่อเนื่อง จะสามารถสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ให้มีบทบาทในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น

ภายใต้นโยบายกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่ม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า เป็นหนึ่งในพันธกิจที่สำคัญ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายใน 2 ด้าน คือ ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการขยายตลาดและดําเนินธุรกิจระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นและผู้ประกอบการได้รับการพัฒนาและส่งเสริมเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ที่มีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมากรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ได้ดำเนินการตามนโยบายมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ นวัตกรรมและการสร้างแบรนด์ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางการตลาด อาทิ DEmark : Design Excellence Award หรือ Thailand Trust Mark (T Mark) รางวัล PM’s Export Award เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและธุรกิจ ส่งผลให้การดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วง 5 ปี  (ปี 2560 -2565) เกิดการพัฒนาและส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ในด้านการสร้างมูลค่าเพิ่ม จำนวน     10,916 ราย และสร้างมูลค่าการค้า ผ่านกิจกรรมกว่า 1,142.5 ล้านบาท


นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ  กล่าวว่า “การจัดงาน Design and Value Creation Forum เป็นเวทีสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการและ  นักออกแบบ ในวาระครบรอบ 33 ปี ของการจัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมการออกแบบเพื่อการส่งออก   เมื่อ 29 พฤษภาคม 2533 สู่การส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มและนวัตกรรมเพื่อการค้า เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการส่งออก นักสร้างสรรค์หลากหลายสาขาทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งตัวแทนหน่วยงาน สมาคมและองค์กรต่างๆ ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิด ค้นหาแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการด้วยใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการด้าน Megatrend และ Next Normal พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ อันนำไปสู่การขับเคลื่อนและยกระดับนโยบายด้านการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งภายหลังจากการจัดงานนี้ จะทำให้ภาคเอกชนและหน่วยงานต่างๆ มีส่วนร่วมในการค้นหาแนวทางใหม่ๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกัน” 

นางสาวประอรนุช ประนุช ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมนวัตกรรมและสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กล่าวถึงการจัดงานในครั้งนี้ว่า “งาน Design and Value Creation Forum เป็นกิจกรรมสร้างเครือข่ายความร่วมมือในการสร้างมูลค่าเพิ่มระหว่างผู้ประกอบการและเครือข่ายนักออกแบบ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “BEHIND THE DOOR, NEW DISCOVERIES” โดยเชิญผู้ที่อยู่เบื้องหลังประตูความสำเร็จของการสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้าของไทยมาร่วมบรรยาย อาทิ ปาฐกถาพิเศษ “การจัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมด้านการออกแบบเพื่อการส่งออกของไทยในวาระครบรอบ 33 ปี” โดย นางสุพัตรา ศรีสุข ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนาสินค้า อดีตผู้อำนวยการศูนย์บริการออกแบบ รวมทั้งการบรรยายพิเศษ “New Discoveries ค้นพบเส้นทางใหม่และโอกาสของนักออกแบบไทยในเวทีโลก” เพื่อเปิดโลกให้กับผู้เข้าร่วมงานได้เห็นแนวโน้มรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นใหม่ (Mega Trends) ซึ่งมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์และพฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อเปิดมุมมองให้ผู้ฟังได้รู้ถึงโอกาส สามารถปรับตัวสู่การตั้งเป้าหมายใหม่เพื่อดำเนินธุรกิจต่อไป ซึ่งได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญและอยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนการทำงานของสำนัก อาทิ ดร.ศิริกุล เลากัยกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แบรนด์บีอิ้ง จำกัด, รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน RISC by MQDC, คุณแดน ศรมณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอดีเอ ดิจิทัล ประเทศไทย จำกัด, คุณณัฐเศรษฐ์ ไตรทิพย์เจริญชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจโนไซส์ ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด, คุณแคทรีน อมตวิวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท เฮด วัน ฮันเดรด จำกัด และนอกจากนี้ ยังได้เชิญนักออกแบบไทยที่เคยเข้าร่วมโครงการกับกรม ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ที่มีความก้าวหน้า มีชื่อเสียงในผลงานด้านการออกแบบ และมีบทบาทในภาคธุรกิจส่งออกของไทยในบริบทที่แตกต่างกัน มาร่วมถ่ายทอดมุมมองและแนวคิดต่อโอกาสและเส้นทางใหม่ๆ อาทิ คุณพลอยพรรณ ธีรชัย ผู้ร่วมก่อตั้ง THINKK Studio, คุณดุลยพล ศรีจันทร์ ผู้ก่อตั้งและ Managing Director PDM Brand, คุณกฤษณ์ พุฒพิมพ์ ผู้ก่อตั้ง Dot Design Studio, คุณศรุตา เกียรติภาคภูมิ เจ้าของแบรนด์ PiN Metal Arts และคุณสมชนะ กังวารจิตต์ ประธานกรรมการบริหารและผู้บริหารฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ บริษัท พร้อม ดีไซน์ เอเชีย จำกัด”

นอกจากนี้ กรมได้เปิดเวทีระดมความคิดเห็น จากผู้ประกอบการส่งออกและนักออกแบบที่เคยเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งผู้แทนจากสมาคมในอุตสาหกรรมส่งออกที่เกี่ยวข้อง อาทิ คุณปิยะชาติ อิศรภักดี          BRANDi and Companies, คุณกวิน ว่องกุศลกิจ กลุ่มมิตรผล, คุณรฐิยา อิสระชัยกุล RISE (Regional Corporate Innovation Powerhouse), คุณโกสินทร์ วิระพรสวรรค์ PLANTOY, คุณอาสา ผิวขำ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA), คุณแดน ศรมณี บริษัท เอดีเอ ดิจิทัล ประเทศไทย จำกัด ร่วมเสวนาและเปลี่ยนความคิดเห็นแนวทางการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม ในหัวข้อ “New Challenge ทิศทางการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่ม ตอบสนองแนวโน้มเมกะ      เทรนด์” เพื่อให้ผู้ประกอบการและนักออกแบบ สามารถเตรียมพร้อมและปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ ตามแนวโน้มความต้องการของตลาดโลกในยุค New Economy และเตรียมพร้อมรับมือกับข้อกีดกันทางการค้าในอนาคต และภายในงาน พบกับนิทรรศการแสดงความก้าวหน้าของนักออกแบบไทยในระดับ โดยรวบรวมข้อมูลสินค้าและผลงานของนักออกแบบไทยไม่น้อยกว่า 100 รายการ ที่มีผลงานโดดเด่นเป็นต้นแบบที่ดีของนักออกแบบไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลมาจัดแสดงไว้ในงานอีกด้วย

“ปัจจุบันการดำเนินงานของศูนย์บริการออกแบบได้ขยายขอบเขตภารกิจจากการส่งเสริมด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่การส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการออกแบบ นวัตกรรมและการสร้าง  แบรนด์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกและเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับผู้ประกอบการส่งออก นักออกแบบและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในการดำเนินธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าการจัดงานนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญและจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ให้กับผู้ประกอบการไทย” ผอ.ประอรนุช กล่าวทิ้งท้าย

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
พฤษภาคม 2566

บูมหนัก GIT World’s Jewelry Design Award นักออกแบบทั่วโลก ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดมากที่สุดในรอบ 5 ปี


ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม กับ โครงการประกวดออกแบบเครื่องประดับ ครั้งที่ 17 ภายใต้แนวคิดนี้ “Glitter & Gold – The Brilliant Way of Gold Shine” เครื่องประดับที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสีทองอร่ามกับประกายระยิบระยับของอัญมณีหลากชนิดที่ผสมผสานเข้ากันจนเป็นงานสร้างสรรค์ที่ลงตัว ซึ่งปีนี้นักออกแบบทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ร่วมส่งผลงานเข้าชิงรางวัลมากถึง 770 ผลงาน จาก 30 ประเทศทั่วโลก มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในการจัดการประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลกของไทย ในรอบ 5 ปี 




นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบัน เปิดเผยว่า จากจำนวนผลงานที่ส่งเข้าร่วมประกวดออกแบบเครื่องประดับกับสถาบันในครั้งนี้ ถือได้ว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 30 มากกว่าปี 2565 การประกวดออกแบบเครื่องประดับของสถาบันได้รับการยอมรับและมีต่างชาติเข้าร่วมส่งผลงานมากขึ้นทุกๆ ปี และในครั้งนี้เรียกได้ว่า เรามีนักออกแบบจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจส่งผลงานเข้าประกวด ทั้ง เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป รัสเซีย อเมริกา และ ประเทศแถบอเมริกาใต้ ทำให้เราได้เห็นถึงมุมมองอันหลากหลายของนักออกแบบ รวมถึงทิศทาง เทรนด์ของเครื่องประดับในประเทศต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากแบบวาดที่ส่งเข้าร่วมประกวด โดยในปีนี้มีนักออกแบบต่างชาติส่งผลงานเข้าร่วมประกวดจำนวน 497 ชิ้นงาน และจากประเทศไทย 273 ชิ้นงาน รวมผลงานทั้งหมดถึง 770 ผลงาน  โดย จำนวนผลงานที่เข้าร่วมประกวดสูงสุด มาจาก ไทย จีน อิหร่าน ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งถือได้ว่าเป็นตลาดส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญของไทยอีกด้วย ซึ่งเทรนด์ต่างๆ เหล่านี้จะเป็นตัวช่วย และ เป็นโอกาสที่ดีที่นักออกแบบไทยจะนำมาปรับใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ และสร้างแบรนด์ของตนเอง เพื่อเข้าสู่ตลาดสากลในที่สุด
 

สำหรับรอบการตัดสินแบบวาด สถาบันได้รับเกียรติจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากทั่วโลก อาทิ คุณสิริน ศรีอรทัยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการขาย บริษัท บิวตี้เจมส์ แฟคตอรี่ จำกัด, ม.ล. ภาวินี สันติศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อโยธยาเทรด (93) จำกัด, คุณธนิษฐ์ ดุรงคพิทยา กรรมการบริหาร บริษัทพรีเมียร์เจมส์เทรดดิ้ง จำกัด, ดร.ธัชวิน สุรเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ L.S Jewelry Group (ห้างเพชรหลีเสง) ,

คุณเกศณี ศิริวัฒนสกุล Head of New Product Development, Swarovski Manufacturing (Thailand), Mr. Yutaka Fukasawa, Japan Precious Magazine Director & Chief Editor ประเทศญี่ปุ่น คุณวรรณพร โปษยานนท์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสาร ฮาร์เปอร์ส บาซาร์ ประเทศไทย และ Ms. Fie Ling Tjia, Senior Lecturer at Raffles College of Higher Education ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลการศึกษาสถาบันแฟชั่น Marangoni ประเทศสิงคโปร์ โดยคัดเลือกผลงานทั้งหมดจาก 770 ผลงาน เหลือเพียง 31 ผลงาน และเลือกเฟ้นหาแบบวาดที่มีคะแนนสูงสุด 4 ผลงาน เพื่อนำไปผลิตเป็นเครื่องประดับขึ้นโชว์ผลงานพร้อมเหล่านางแบบในรอบชิงชนะเลิศ โดยจะประกาศผลการตัดสินรอบคัดเลือกอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มิถุนายน 2566 พร้อมเปิดให้ผู้สนใจร่วมลงคะแนนโหวตให้กับผลงานที่ชื่นชอบ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผลงานที่ชื่นชอบ และลุ้นรับรางวัล GIT Popular Design Award  ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2566 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566


สำหรับการตัดสินรอบชิงชนะเลิศ และการประกาศรางวัล มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2566
ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน จากนั้นสถาบันจะนำผลงานการออกครั้งนี้ไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าต่างๆ รวมถึงการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ GIT Gem and Jewelry Museum เพื่อเป็นการตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลกของประเทศไทย (Gems and Jewelry Hub of The World)

ผู้ที่สนใจ สามารถเข้าไปชมผลงานผู้ที่ผ่านรอบแรก และร่วมโหวต ได้ที่ www.facebook.com/gitwjda 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) โทร. 02 634 4999 ต่อ 311-313


สนามสองคึกคัก! "BGPU CAMPUS TOUR 2023" โรงเรียนโชคชัยรังสิต⁣

เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 66  สโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ร่วมกับ โรงเรียนโชคชัยรังสิต จัดกิจกรรม "BGPU CAMPUS TOUR 2023" ภายใต้โครงการพัฒนากีฬาฟุตบอลเยาวชนในจังหวัดปทุมธานี โดยมีนายอุดม ปัจจะมูล ผู้อำนวยการโรงเรียนโชคชัยรังสิต พร้อมด้วยนางสาวนิตยาพร ธาราสุข ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการตลาดสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ร่วมกล่าวเปิดงาน โดยได้รับความสนใจจากน้องๆ เยาวชนร่วมกิจกรรมจำนวนกว่า 100 คน⁣


สำหรับกิจกรรมในงานเริ่มตั้งแต่ช่วงเช้า โดยน้องๆ เยาวชน ได้ร่วมเล่นเกม และร่วมสนุกภายในบูธกิจกรรม รวมถึงรับของรางวัลจากพาร์ทเนอร์สโมสรฯ มากมาย ได้แก่ น้ำดื่มสิงห์ ผลิตภัณฑ์โกหมึก โพคารี่ สเวท และยูโร่เค้ก ก่อนที่ ช่วงบ่าย เป็นการนำน้องๆ ฝึกทักษะพื้นฐานกีฬาฟุตบอล กับทีมผู้ฝึกสอนจาก BGPU ACADEMY นอกจากนี้ บริษัท มอลเทน (ไทยแลนด์) จำกัด ยังได้มอบลูกฟุตบอล ให้กับทางโรงเรียน และทางสโมสรฯ ได้มอบเสื้อกีฬาให้กับนักเรียน และคณะอาจารย์ เพื่อสวมใส่ในกิจกรรมกีฬาภายในโรงเรียนอีกด้วย ⁣



โดย กิจกรรม "BGPU CAMPUS TOUR 2023" จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล
ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ได้มีโอกาสแสดงฝีเท้า และฝึกทักษะความสามารถด้านฟุตบอล โดยทีมงานผู้ฝึกสอนจาก บีจีพียู อะคาเดมี่ เพื่อสานต่อความฝันการเป็นนักกีฬาฟุตบอลอาชีพต่อไป ส่วนกิจกรรม "BGPU CAMPUS TOUR 2023" ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นที่ โรงเรียนสาธิตนวัตกรรม มทร.ธัญบุรี วันศุกที่ 2 มิ.ย. 66 ⁣



ติดตามข่าวสารของสโมสรได้ทาง⁣

Follow BGPU news on⁣

Website : www.bgputd.com⁣

FB : BG PATHUM UNITED⁣

LINE@ : @BGPU⁣

IG : BGPU_OFFICIAL⁣

TWITTER : BGPU OFFICIAL⁣

YOUTUBE : BG CHANNEL⁣

TikTok : @BGPU_OFFICIAL


#BGPU #บีจีปทุมยูไนเต็ด⁣

#BGPathumUnited⁣

#BGPUCAMPUSTOUR2023⁣

#BGPUONETEAM⁣

#ONETEAM⁣

#ที่สุดในหนึ่งเดียว⁣

#บอลไทย #ฟุตบอลไทย⁣


เชิญผู้ประกอบการเข้าร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจ ในงาน Smart SME EXPO 2023

วันที่ 6-9 ก.ค. 2566 ฮอลล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี

Smart SME EXPO 2023  ขอเชิญชวนผู้ประกอบการในสินค้ากลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม สุขภาพความงาม แฟรนไชส์  เทคโนโลยี ที่จดทะเบียนนิติบุคคลเกิน 1 ปี  สมัครเข้าร่วมกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ Business Matching  ในงาน Smart SME EXPO 2023  ระหว่างวันที่ 6-9 กรกฎาคม 2566 ที่ ฮอล์ 7-8 อิมแพ็คเมืองทองธานี  พบคู่ค้าช่วยคุณขยายตลาดไกลทั้งในและต่างประเทศ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าปลีก  TV Shopping เป็นต้น และคู่ค้า ต่างประเทศ อาทิ ประเทศลาว พม่า เป็นต้น  ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย 


โดยเปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2566

- เจรจาธุรกิจกับคู่ค้าในประเทศ    https://forms.gle/fbUCk39wq25C2rfEA

- เจรจาธุรกิจกับคู่ค้าต่างประเทศ   https://forms.gle/JV2RXpT68S23YPAC8

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  คุณหยก  0949839650  คุณญา 0884524373

มายเฮลท์ กรุ๊ป ชู บริการทางการแพทย์ 4 ระบบ ผ่านแอปพลิเคชันสุขภาพ myHealthFirst


บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด หรือ MHG ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์ทางการแพทย์ ให้กับโรงพยาบาลชั้นนำหลายโรงพยาบาลทั่วประเทศ การก่อตั้งบริษัทเกิดจากแนวคิดและความตั้งใจของคุณหมอและวิศวกร ที่ได้ร่วมกันพัฒนาแอปพลิเคชันสุขภาพ เพื่อช่วยให้คนไทยสามารถดูแลสุขภาพได้ทุกที่ มีประวัติสุขภาพติดตัว เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงประวัติการรักษาได้อย่างรวดเร็วและรักษาได้อย่างทันท่วงที บริษัทยังได้พัฒนาต่อยอดการบริการต่าง ๆ จนใน ปัจจุบัน MHG มีการพัฒนางาน 4 ส่วนหลักคือ ประกอบด้วย 

1. Smart hospital system สำหรับโรงพยาบาลที่มีระบบ HIS (Hospital Information Systems) หรือ ระบบสารสนเทศโรงพยาบาล ทางบริษัทมีระบบ Patient portal ซึ่งประกอบด้วยระบบเปิดประวัติออนไลน์ ระบบนัด ระบบคิว ระบบตรวจสุขภาพและรายงานผลผ่านแอปพลิเคชัน เพื่อช่วยให้คนไข้สามารถเข้าถึงบริการจากโรงพยาบาลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

2. Telemedicine ระบบแพทย์ทางไกลผ่าน Video call ซึ่งสามารถใช้ผ่าน application หรือ Web based มีระบบการอัดวิดีโอ ระบบ chat เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานและมีมาตรฐานความปลอดภัยตามข้อกำหนดของ HIPAA     

3. NCDs monitoring platform ระบบติดตามสถานะสุขภาพของผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจ ผู้ป่วยสามารถวัดค่าสุขภาพและส่งข้อมูลของตัวเองได้รายวันผ่านเครื่องแท็บเล็ตที่มีการรับค่าอัตโนมัติจากอุปกรณ์วัดค่าสุขภาพต่าง ๆ เช่น เครื่องความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ, เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว, เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย, เครื่องเจาะน้ำตาลในเลือด และเครื่องชั่งน้ำหนัก หรือบันทึกข้อมูลสุขภาพผ่าน  Application myHealthFirst ได้เช่นเดียวกัน  ซึ่งข้อมูลสุขภาพที่บันทึกจะส่งไปแสดงในระบบหลังบ้าน (myHealthWorld) สำหรับให้ทีมแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล เฝ้าสังเกตและติดตามข้อมูลสุขภาพ นอกจากนี้ยังมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ไปยังผู้ป่วยและทีมดูแล เมื่อค่าสุขภาพมีความผิดปกติ และยังสามารถพูดคุยปรึกษาแพทย์แบบวิดีโอคอล ผ่านชุดอุปกรณ์ (แท็บเล็ต) หรือ Application myHealthFirst ได้ 

4. Corporate Wellness checkup system ส่วนที่บริษัทร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ออกให้บริการตรวจสุขภาพในโรงงาน-นิคมอุตสาหกรรม ผ่าน program myHealthMob สามารถรายงานผลจัดพิมพ์สมบูรณ์แบบอย่างรวดเร็วผ่านระบบ web application myHealthWorld และโมบาย แอปพลิเคชัน myHealthFirst ทั้งยังสามารถวิเคราะห์ Big Data – ดูแลสุขภาพพนักงานผ่านระบบ myHealthPeek 

บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด เป็นสตาร์ทอัพที่สามารถสร้างรายได้เติบโตจากธุรกิจจนเป็นที่สนใจของ VC หลายราย และยังมีโอกาสก้าวไปกับองค์กรชั้นนำโดยบริษัทสามารถ raise fund series A จาก Nexter Ventures บริษัทในเครือของ SCG นอกจากนี้ บริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ป จำกัด ยังได้รับความไว้วางใจและเสียงตอบรับเป็นอย่างดี เมื่อร่วมงานไปกับหน่วยงานทั้งระดับประเทศและต่างประเทศ ได้แก่

1. ร่วมกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ และ SCG DoCare ให้บริการระบบดูแลผู้ป่วยโควิด-19 IoMT Home isolation

2. ร่วมกับ SCG DoCare จัดทำระบบดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง IoMT Care Connect
โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต

3. ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และธนาคารกสิกรไทย
จัดทำระบบดูแลผู้ป่วย โรงพยาบาลสนาม COVID-19 IoMT myHealthCare 

4. ร่วมกับภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดทำแอปพลิเคชั่น

5. ร่วมกับ SCG DoCare จัดทำระบบดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม. มหิดล

6. ร่วมกับ SCG DoCare จัดทำระบบดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง สถาบันพยาบาลศรีสวรินทิรา
สภากาชาดไทย

Reference Site 

โรงพยาบาลที่ใช้บริการจากทางบริษัท มาย เฮลท์ กรุ๊ปจำกัด มีดังนี้ 

1. เครือโรงพยาบาล BDMS กรุ๊ป 6 

2. เครือโรงพยาบาลธนบุรี เฮลท์แคร์ 

3. โรงพยาบาลเชียงใหม่ใกล้หมอ 

4. ราชวิทยาจุฬาภรณ์ 

5. RSU Healthcare 

6. โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 

7. เทศบาลเมืองแสนสุข 

8. โรงพยาบาลยะลา 

Contact Point 

Wed site: https://tokyo.myhealthgroup.net/

Page: https://www.facebook.com/myhealthfirstofficial 

TikTok: https://vt.tiktok.com/ZSdh1E5J7/

กรมการท่องเที่ยวจับมือหน่วยงานพันธมิตร ร่วมพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรด้านท่องเที่ยวและบริการ


กรมการท่องเที่ยว ลงนาม MOU ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการให้มีคุณภาพในด้านทักษะฝีมือและผลิตภาพให้เพียงพอ
อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบกิจการ รองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต


นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาศักยภาพให้แก่กำลังแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ณ ห้องประชุม 1 กรมการท่องเที่ยว อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผสมเครื่องดื่มและบริการ สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย และชมรมบาร์เทนเดอร์ภาคตะวันออกประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพแรงงานและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการให้มีคุณภาพ ในด้านทักษะฝีมือและผลิตภาพให้เพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบกิจการ รองรับการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาทักษะในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engines of Growth) และรองรับการเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0

นายจาตุรนต์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะบูรณาการการใช้ทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ได้แก่ วิทยากร บุคลากรฝึก อาคารสถานที่ รวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้ วิทยาการ เทคโนโลยีสมัยใหม่ และปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา บุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาฝีมือแรงงานและบุคลากรในสาขาอาชีพ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งมาตรการต่าง ๆ ในการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานและ บุคลากรให้มีทักษะ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามแผนการฝึกอบรมที่แต่ละฝ่ายตกลงร่วมกันตามภารกิจที่เหมาะสม 

“นอกจากนั้นทุกหน่วยงานยังร่วมกันส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ
จัดส่งพนักงานเข้าทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาท่องเที่ยวและบริการ และได้รับค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานดังกล่าว รวมทั้งทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่นักเรียน นักศึกษา
หรือกำลังแรงงานก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน และจัดแข่งขันฝีมือแรงงาน” นายจาตุรนต์ กล่าวทิ้งท้าย

อลาวรี่ (Allowrie) แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสยอดขายอันดับ 1 ยาวนานถึง 7 ปีซ้อน


อลาวรี่ (Allowrie) เนยและชีสยอดนิยมอันดับ 1 ปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ เพิ่มธงชาติออสเตรเลีย ตอกย้ำมาตรฐานคุณภาพแบบต้นตำรับ ล่าสุดคว้า 3 รางวัล Superior Taste Award จากสถาบัน International Taste Institute การันตีคุณภาพและรสชาติ โดยผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพกว่า 200 คนจากทั่วโลก

อลาวรี่ (Allowrie) แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสยอดขายอันดับ 1 ยาวนานถึง 7 ปีซ้อน ที่มีต้นกำเนิดแบรนด์จากประเทศออสเตรเลียตั้งแต่ปี ค.ศ.1869 ตอกย้ำความเป็นเจ้าตลาดเนยและชีสระดับพรีเมียมในไทย เปิดตัวดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ย้ำความเป็นโปรดักส์ออสเตรเลีย สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าแห่งที่มาของแบรนด์และวัตถุดิบเกรดพรีเมียมจากแดนจิ้งโจ้สู่ครัวไทย พร้อมเปิดตัว TVC ใหม่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกมื้อพิเศษได้ด้วยอลาวรี่ ผ่าน 2 นักแสดงภาพยนตร์โฆษณาอลาวรี่ “มายด์-วรัทยา และอติล่า” 

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “KCG” ผู้จัดจำหน่าย “อลาวรี่ (Allowrie)” แบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสระดับพรีเมียม เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสื่อสารให้กลุ่มผู้บริโภคได้ทราบถึงคุณภาพและที่มาของแหล่งวัตถุดิบที่ใช้ผลิตเนยและชีสแบรนด์ อลาวรี่ (Allowrie)  เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จึงได้ทำการปรับดีไซน์บรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยได้เพิ่มธงชาติออสเตรเลีย พร้อมข้อความ “Original Australian Brand” ที่มุมบรรจุภัณฑ์ทุกชนิด ซึ่งเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยสร้างการรับรู้และขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม professional และ premium mass ให้เพิ่มขึ้น และที่สำคัญ อลาวรี่ ยังได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากสำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (ออสเทรด) ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จในภาพรวมธุรกิจ และสร้างการยอมรับให้แก่กลุ่มสินค้าที่มีถิ่นกำเนิดจากออสเตรเลียในทุกประเทศทั่วโลก

“เมื่อวัฒนธรรมการกินจากฝั่งตะวันตกได้รับความนิยมมากขี้น อลาวรี่ ได้ออกมาตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีความพร้อมในการผลิต รวมถึงการมีแหล่งวตัถุดิบคุณภาพ ทำให้สามารถขยายตลาดสินค้ากลุ่มเนยและเพิ่มสินค้า กลุ่มชีส เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้ และจากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 50 ปี พร้อมทั้งมียอดขายมากกว่า 10 ล้านชิ้นต่อปีและมีสินค้าหลากหลายมากกว่า 100 SKUs ส่งผลให้ อลาวรี่ มีส่วนแบ่งทางการตลาดในเชิงมูลค่าและปริมาณสูงเป็นอันดับ 1 ของไทยอย่างต่อเนื่องตลอดมา” นายดำรงชัยกล่าวเสริม


นอกจากจะความสำเร็จในประเทศไทยแล้ว ล่าสุด อลาวรี่ ยังโชว์ศักยภาพคว้ารางวัล Superior Taste Award  ของสถาบัน  International Taste Institute มาครองได้ถึง 3 รางวัลจาก 3 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย อลาวรี่ เนยแท้ (Allowrie Pure Creamery Butter),  อลาวรี่ MTC Butter ทางเลือกใหม่สำหรับคนรักสุขภาพ มีส่วนผสมสารสกัด MCT Oil จากน้ำมันมะพร้าวธรรมชาติ และ อลาวรี่ เชดด้าชีสสไลด์ (Allowrie Cheddar Cheese Product Slices) “Superior Taste Award เป็นเครื่องหมายการันตีรสชาติอาหารที่ผ่านการทดสอบและประเมินจนได้รับการยอมรับจากเชฟชั้นนำจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่มากด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ผ่านการแข่งขันทดสอบความสามารถจากเวทีชั้นนำ และบางส่วนได้รับรางวัลระดับโลก เช่น รางวัลมิชลินไกด์ (Michelin Guide) นั่นหมายความว่า สินค้าที่ได้รางวัลการันตีไม่เพียงแค่มีรสชาติอร่อยแต่ยังต้องมีรสชาติกลมกล่อมและมีคุณภาพ ในทุกๆ ปีมีสินค้าเข้ารับการประเมินหลายพันรายการ แต่มีเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ได้เครื่องหมายรับรอง และความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ อลาวรี่ ได้รับในครั้งนี้ก็ถือเป็นเครื่องยืนยันมาตรฐานคุณภาพผลิตภัณฑ์สมกับการเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เนยและชีสที่ครองความนิยมเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย”   -นายดำรงชัย  กล่าวสรุป




รับโล่ประกาศเกียรติคุณภาคเอกชนผู้สนับสนุนป่าชุมชน

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานเปิดงานวันป่าชุมชนแห่งชาติและ มอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ผู้สนับสนุนป่าชุมชน ให้แก่นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกิจกรรมสนับสนุนป่าชุมชนนี้ ทางบริษัททีซีเอ็มซี ได้ร่วมสนับสนุนการปลูกป่าชุมชน จำนวนรวมทั้งสิ้น 15 ไร่ เป็นเงินสนับสนุนกิจกรรมจำนวน 660,000 บาท ซึ่งกิจกรรมนี้จะมีการนำทีมผู้บริหาร และพนักงาน ทีซีเอ็มซี ไปร่วมปลูกป่าชุมชนที่บ้านโคกพลวง หมู่ที่ 11 ตำบลหินโคน อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 26 มิถุนายน 2566 


โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้แก่พนักงาน และแสดงเจตจำนงในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างโลกที่น่าอยู่สำหรับคนรุ่นต่อ ๆ ไป ตามนโยบายของบริษัทที่ส่งเสริมการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยังได้รับสิทธิประโยชน์ด้านคาร์บอนเครดิตอีกด้วย โดยบริษัทจะปลูกต้นไม้ทั้งหมด 3,000 ต้น และสามารถวัดค่าเฉลี่ยในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศได้ทั้งหมด เท่ากับ 27,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ทั้งนี้ การรับโล่ประกาศเกียรติคุณแก่ภาคีเครือข่ายภาคเอกชน ผู้สนับสนุนป่าชุมชน ทีซีเอ็มซี เป็นหนึ่งในอีก 9 องค์กรที่ได้รับรางวัลภายในภาคีเครือข่ายภาคเอกชนผู้สนับสนุนป่าชุมชน 

จัดขึ้นที่ ห้องประชุมไดมอนด์ฮอลล์ โรงแรมเอเชีย แอร์พอร์ท