28 กุมภาพันธ์ 2562

แอคคอร์ เผยโฉม “ALL” โปรแกรมรอยัลตี้ใหม่ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์



แอคคอร์คือเครือข่ายโรงแรมชั้นนำระดับสากลที่มอบประสบการณ์การพักผ่อนที่โดดเด่นและเป็นที่น่าจดจำในโรงแรม รีสอร์ท และเรสซิเดนซ์กว่า 4,800 แห่งใน 100 ประเทศทั่วโลก แอคคอร์มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับสากลมากมายซึ่งครอบคลุมตั้งแต่โรงแรมระดับหรูหราไปจนถึงโรงแรมชั้นประหยัด แอคคอร์ได้ดำเนินธุรกิจงานบริการด้วยความเชี่ยวชาญมามากกว่า 50 ปี

นอกเหนือจากการบริการด้านที่พักแล้ว แอคคอร์ ยังได้เปิดเส้นทางใหม่ในการเติมเต็มการใช้ชีวิต การทำงาน และ ความสนุกสนาน ด้วยแบรนด์อาหารและเครื่องดื่ม สถานบันเทิงยามค่ำคืน แบรนด์เพื่อสุขภาพและ Co-working แบรนด์ แอคคอร์ได้คิดค้นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนศักยภาพทางธุรกิจ ซึ่งต่างทำหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งในการดำเนินการและรังสรรค์ประสบการณ์แก่ผู้เข้าพัก การเข้าถึงโปรแกรมความภักดีด้านโรงแรมที่สร้างความประทับใจเป็นอันดับต้นๆของโลก

ทั้งนี้แอคคอร์มีความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน และร่วมมีบทบาทสำคัญในการตอบแทนสิ่งดีๆให้กับสิ่งแวดล้อมและชุมชนผ่านโครงการ Planet 21 - Acting Here อันเป็นความพยายามในการสร้าง "งานบริการเชิงบวก" ขณะที่โครงการ Accor Solidarity ซึ่งเป็นกองทุนการกุศล ที่เปิดให้ผู้ด้อยโอกาสได้มีโอกาสเข้าร่วมโปรแกรมฝึกอาชีพและการรับเข้าทำงานในอนาคต


แอคคอร์ เครือข่ายโรงแรมชั้นนำระดับสากล ลงทุน 225 ล้านยูโร  เผยโฉม ALL-Accor Live Limitless” โปรแกรมรอยัลตี้ใหม่สำหรับทุกไลฟ์สไตล์ เติมความเป็นที่สุดแห่งการบริการกับเครือข่ายแอคคอร์อย่างไม่รู้จบ เชื่อมสิทธิประโยชน์ รางวัล บริการ รวมถึงประสบการณ์ประทับใจที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่นและเว็บไซต์ใหม่ภายใต้ชื่อ all.accor.com คาดจะแล้วเสร็จปลายปี 2019

โปรแกรมรอยัลตี้ใหม่ ALL ที่มาจาก Accor Live Limitless เปิดโอกาสให้สมาชิกสัมผัสกับแบรนด์โรงแรมในเครือข่ายกว่า 30 แบรนด์โรงแรม ร้านอาหาร บริการ ประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ และยังรองรับการทำงานทั้งบันทึกข้อมูลจดจำ ดูแล สื่อสารและให้รางวัลสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กลยุทธ์ต่างๆ ได้แก่  เปิดตัวสมาชิกระดับพรีเมี่ยม,  สิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจและเพิ่มคุณค่าแห่งบริการ,   เชื่อมต่อประสบการณ์เหนือระดับจากทั่วโลก รวมทั้งสรรหาพันธมิตรชั้นนำที่จะร่วมมอบประสบการณ์เอ็กซ์คลูซีฟ อาทิ  ขยายความร่วมมือกับ AEG  บริษัทชั้นนำของโลกด้านโปรแกรมกีฬาและการแสดงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของอีเวนท์ดังของโลก,   ร่วมมือกับ IMG ในการเข้าร่วมเชฟมาสเตอร์คลาสและประชันฝีมือปรุงอาหารตั้งแต่ปี 2020  และเข้าร่วมเทศกาล Taste Festivals ที่ลอนดอนปารีส,เซาเปาโลฮ่องกง และโทรอนโต  นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับ สโมสรฟุตบอล Paris Saint-Germain Football Cub โดยแอคคอร์เป็นพันธมิตรหลักและเป็นผู้สนับสนุนเสื้อเจอร์ซี่อย่างเป็นทางการของสโมสร เริ่มต้นจากฤดูกาล 2019/2020 เพื่อนำเสนอสิทธิประโยชน์ได้อย่างตรงใจผู้ชื่นชอบกีฬาต่อไป

ทั้งนี้ แอคคอร์ ได้เปิดตัวอิมเมจและโลโก้ใหม่ โดยทั้งแบรนด์ Accor และ ALL จะใช้สัญลักษณ์อักษรย่อ “A” ตัวแทนแห่งความเป็นเลิศ โดยผสานเข้ากับสัญลักษณ์รูปนก bernache ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของบริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเครือข่าย เพิ่มความโดดเด่น เป็นรูปเชิงสัญลักษณ์ที่เห็นและจดจำได้ง่าย และยังสื่อถึงความน่าสนใจและความเป็นเอกลักษณ์ของโปรแกรมรอยัลตี้  



พม โดย ผส. ประกาศ “ระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ”

ดึงภาคีเครือข่ายร่วมขับเคลื่อนงานพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในทุกมิติ



วันนี้ (๒๘ ก.พ.๒๕๖๒) เวลา ๑๔.๐๐ น. รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นประธานในพิธีประกาศ “ระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “สังคมสูงอายุ สำหรับคนทุกวัย เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน” เพื่อสร้างความตระหนักให้ภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ได้รับทราบถึงสถานการณ์ผู้สูงอายุของประเทศไทย พร้อมบูรณาการความร่วมมือขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การเป็นสังคมสูงอายุที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน โดยมี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์) ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (นายปรเมธี วิมลศิริ) กล่าวรายงาน


พร้อมด้วย อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ (นางไพรวรรณ พลวัน) รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ (นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ) และคณะผู้บริหารกระทรวงการพัฒนาฯ (พม.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวมทั้ง คณะทูต ผู้แทนจากองค์กรสหประชาชาติ องค์กรเครือข่ายงานด้านผู้สูงอายุ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว จำนวนกว่า ๕๐๐ คน


ทั้งนี้มีการแสดงพิเศษ บรรเลงขลุ่ย โดย อาจารย์ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี และเปิดตัวมาสคอตงานประกาศระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ชั้น ๔
โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

https://www.facebook.com/OlderDOP/posts/2384744151549846

ติดตามข่าวสารของกรมกิจการผู้สูงอายุ รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ของผู้สูงอายุ ได้ที่
http://www.dop.go.th/th

พาณิชย์ จุดประกายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จัดสัมมนาสร้างแรงบันดาลใจใช้นวัตกรรมต่อยอดสินค้าเกษตรไทย

“พาณิชย์” จุดประกายผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จัดสัมมนาสร้างแรงบันดาลใจ

ใช้นวัตกรรมต่อยอดสินค้าเกษตรไทย
กรมการค้าต่างประเทศจัดงานสัมมนา APi Inspirational Talk 2019 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “เพราะความสำเร็จเกิดจากแรงบันดาลใจ” ผลักดันผู้ประกอบการนำนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร พร้อมดึงกูรู้มาช่วยถ่ายทอดประสบการณ์สร้างโอกาสทางธุรกิจ การทำตลาดออนไลน์  การพัฒนาสินค้า และการทำแพกเกจจิ้งที่โดนใจ
นางมนัสนิตย์ จิรวัฒน์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรม (APi) ได้จัดกิจกรรมสัมมนาสร้างแรงบันดาลใจ “APi Inspirational Talk 2019” ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ณ โรงแรม S31 สุขุมวิท กรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาธุรกิจจากผลผลิตทางการเกษตรของไทยที่มีอยู่มากมาย ทั้งข้าว ยางพารา สมุนไพร และผลไม้ไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก เพราะนวัตกรรมจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการดึงศักยภาพของสินค้าเกษตรเหล่านี้มาพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นสินค้าที่มีความแตกต่างและสร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 500 ราย
“สถาบัน APi ต้องการสร้างแรงบันดาลใจ และผลักดันให้ผู้ประกอบการที่ใช้สินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ   ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าโดยใช้นวัตกรรมมาเป็นตัวช่วย เพราะการแปรรูปสินค้าเกษตรไปสู่สินค้าสำเร็จรูปด้วยการใช้นวัตกรรม จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม และขายได้ราคาสูงขึ้น และยังส่งผลดีไปถึงเกษตรที่จะขายผลผลิตได้ในราคาสูงขึ้นและมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น”

ทั้งนี้ ในการจัดงานสัมมนาครั้งนี้ ได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “Inspiration with actions” ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แนวคิด และไอเดียใหม่ๆ ในการพัฒนาสินค้าเกษตรให้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยมีวิทยากร ได้แก่ คุณวุฒิชัย หาญพานิช (เจ้าของผลิตภัณฑ์สมุนไพร HARNN) ดร. เอกก์ ภทรธนกุล (ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด) และคุณรัฐศรัณญ์ พีรพงศ์เดชา (เจ้าของน้ำอัดลมจากเปลือกเมล็ดกาแฟ คาสทาวน์) มาแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ทั้งการนำความคิดสร้างสรรค์มาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร แนวโน้มความต้องการของตลาด รวมถึงทิศทางของสินค้าเกษตรนวัตกรรมไทยในอนาคต
ขณะเดียวกัน ได้เพิ่มพูนความรู้ในหัวข้อ Online Marketing” โดยมีคุณเกียรติรัตน์ จินดามณี (นักการตลาดออนไลน์) หัวข้อ “Product Development” โดยคุณนภนีรา รักษาสุข (ผู้บริหารสถาบัน YindeeDesign) และหัวข้อ “Packaging Design” โดยคุณณฐมน ตัณฑ์เกยูร (อดีตแบรนด์เมเนเจอร์ แบรนด์ระดับโลก Hermes, Louis Vuitton เป็นต้น) โดยทั้ง 3 ท่าน ได้เปิดมุมมองใหม่ในการพัฒนาธุรกิจสินค้าเกษตรนวัตกรรม ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสินค้าและแนวโน้มความนิยมของตลาด และการทำการตลาดผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในการทำธุรกิจต่อไป

นางมนัสนิตย์กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการจัดสัมมนาในครั้งนี้ สถาบัน
 APi ยังมีแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรมในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น โครงการประกวดสินค้าเกษตรนวัตกรรม Agri Plus Award 2019 โครงการผลิตและเผยแพร่วีดิทัศน์เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าเกษตรนวัตกรรมไทย รวมทั้งมีแผนจัดหาช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรนวัตกรรมที่หลากหลายให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการท่านใดสนใจสามารถติดต่อ/ติดตามความเคลื่อนไหว
สถาบันส่งเสริมสินค้าเกษตรนวัตกรรมที่เว็บไซต์
 
www.dft.go.th/apiinspire

เปิดตัว โรงพยาบาลชีวา ทรานสิชั่นนัล แคร์ ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม

การดูแลสุขภาพระยะกลาง (Intermediate care ) ระยะฟื้นฟู (sub-acute care) จากภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันด้วยโรคหรืออุบัติเหตุและรวมทั้งการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังนําไปสู่ความจําเป็นด้านสุขภาพ เมื่อผู้ป่วยพ้นจากระยะเฉียบพลัน การดูแลต่อเนื่องในระยะต่อมาเพื่อการฟื้นฟูพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ป่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญ 




พญ.เมธินี ไหมแพง ผู้ช่วยประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า โรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นสถานบริการทางการแพทย์ในระดับตติยภูมิที่มีมาตรฐานในระดับสากล มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ สามารถรองรับผู้รับบริการที่มีโรคซับซ้อน การรักษาโรคซับซ้อนมีความยากต้องอาศัยการดูแลรักษาที่ซับซ้อน เช่น แพทย์หลายแผนกและทีมสหสาขา เครื่องมือที่พร้อม และวิธีการรักษาที่หลากหลาย รวมไปถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพ ด้วยความเปราะบางของร่างกายตามวัยจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคซับซ้อน และเพิ่มอัตราการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล





จากข้อมูลทางสถิติพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีระยะเวลาการพักรักษาตัวและการฟื้นฟูนาน มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง และอาศัยการดูแลแบบองค์รวมจากทีมแพทย์ อายุรแพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู พยาบาลวิชาชีพ ทีมนักกายภาพบำบัด นักกิจกรรมบำบัด เภสัชกร นักโภชนาการ เป็นต้น

ทางโรงพยาบาลกรุงเทพ จึงเล็งเห็นความสำคัญของผู้ป่วยที่ต้องได้ความความดูแลอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดตั้งโรงพยาบาลชีวา ทรานสิชั่นนัล แคร์ ในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อรองรับผู้ป่วยกลุ่มนี้  ช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางไป-กลับโรงพยาบาลกายภาพบำบัดได้อย่างสะดวก  และเป็นข้อดีที่ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยทีมแพทย์และพยาบาลเฉพาะทาง ในมาตรฐานการรักษาพยาบาลเดียวกันกับโรงพยาบาลกรุงเทพ



พญ.พัณณิดา วัฒนพนม  ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์ รพ.กรุงเทพ กล่าวว่า นิยามของคำว่า Transitional care ในเมืองไทยยังไม่เป็นที่รับรู้มากนัก หมายถึง การดูแลในระยะเปลี่ยนผ่าน คือการดูแลผู้ป่วยหลังจากผ่านภาวะวิกฤติ เป็นขั้นตอนการปรับเปลี่ยนการดูแลผู้ป่วยที่เริ่มมีอาการคงที่ในระดับหนึ่ง แต่ยังคงมีความผิดปกติของร่างกายบางส่วนอยู่ และมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน จำเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์โดยทีมสหวิชาชีพก่อนการไปดูแลที่บ้านต่อ ยังคงต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อฟื้นฟูก่อนการไปดูแลที่บ้านต่อไป

นี่จึงเป็นที่มาของของการจัดตั้ง โรงพยาบาลชีวา ทรานสิชั่นนัล แคร์ (Chiva Transitional Care Hospital) เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการทางการแพทย์เพื่อดูแลสุขภาพระยะฟื้นฟูสำหรับผู้ป่วยหลังผ่าตัดและต้องการฟื้นฟูทำกายภาพบำบัด เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผ่าตัดกระดูกสะโพก และผู้ป่วยที่เป็นโรคทางระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง อย่างอัมพาต อัมพฤกษ์ หรือ อาการบาดเจ็บทางศีรษะ (Traumatic brain injury) หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรง มีอาการบาดเจ็บหลายระบบของร่างกาย  หรือกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุที่มีโรคประจำตัว



โดยจะได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์ อายุรศาสตร์ผู้สูงอายุและเวชศาสตร์ฟื้นฟู พยาบาล นักกายภาพบำบัด ให้การดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูสุขภาพ ภาวะโภชนาการ รวมถึงพัฒนาศักยภาพ ความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ครอบคลุมถึงสุขภาพร่างกาย จิตใจ  แบบองค์รวม เพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน ช่วยเหลือตัวเองได้ หรือมีส่วนร่วมในสังคมได้ดีขึ้น  พร้อมด้วยห้องพักผู้ป่วย ที่เป็นสัดส่วน สะอาด ทันสมัย ออกแบบฟังค์ชั่นการใช้งาน โดยคำนึงถึงผู้ป่วยในระยะพักฟื้นโดยเฉพาะ





การบริการที่สำคัญ คือ การดูแลแบบองค์รวม โดยอายุรแพทย์เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ทีมนักกายภาพบำบัด (รวมถึง นักกิจกรรมบำบัด นักอรรถบำบัด)  เภสัชกร นักโภชนาการ และพยาบาลวิชาชีพ พร้อมวางแผนการดูแลอย่างต่อเนื่อง และมีการประชุมร่วมกันเพื่อติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด  มาตรฐานการดูแลอย่างมีคุณภาพ ให้การใส่ใจดูแลอย่างเข้มข้น โดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์เฉพาะทาง ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

มีกิจกรรมสร้างสรรค์ให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วม เพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายและฝึกทักษะในด้านความคิดหรือแม้กระทั่งร่างกาย เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตได้  พื้นที่ส่วนตัว ห้องพักกว้างขวาง สะอาด ปลอดภัย อุปกรณ์ครบครัน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว ด้วยการออกแบบห้องพักส่วนตัวที่เป็นสัดส่วน โปร่ง สะดวกสบาย กว้างขวาง บรรยากาศที่อบอุ่นเสมือนบ้าน และมีเวลาส่วนตัวกับครอบครัว คำนึงถึงความปลอดภัย มีสวิตซ์อัจฉริยะสำหรับขอความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ครบครัน พร้อมสวนหย่อมให้บรรยากาศผ่อนคลายใกล้ชิดธรรมชาติ ออกแบบสถานที่โดยทีมงานสถาปนิกมืออาชีพ เพื่อรองรับการพักอาศัยของผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะพักฟื้น และการดูแลเอาใจใส่เสมือนญาติมิตร อบอุ่น เข้าใจความต้องการของผู้ป่วยเสมือนคนในครอบครัว

จุดเด่น (Highlights of the center) คือ 1.ให้การดูแลแบบองค์รวมโดยทีมแพทย์สหสาขาวิชาชีพ มีแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์และอายุรศาสตร์ผู้สูงอายุโดยเฉพาะร่วมดูแลผู้ป่วย (อย่างน้อย 3 ครั้ง/สัปดาห์)2. โปรแกรมการฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่องมีโปรแกรมฟื้นฟูร่างกายอย่างเข้มข้น โดยทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู และนักกายภาพบำบัด โดยได้รับการทำกายภาพบำบัด และ/หรือ กิจกรรมบำบัด อย่างน้อย 2 ครั้ง/วัน ทุกวัน (ตามศักยภาพของผู้ป่วย) 3. มีกิจกรรมเพื่อผ่อนคลายสำหรับช่วยฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจ การทำกิจกรรมบำบัดเพื่อให้ผู้ป่วยและญาติได้ผ่อนคลาย รวมถึงการให้ความรู้โดยทีมแพทย์และพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ

4. สะดวกสบาย มีเวลาส่วนตัวกับครอบครัว ห้องพักมีความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย และบรรยากาศอบอุ่นเสมือนบ้าน  5. สอนและให้คำแนะนำแก่ผู้ดูแลผู้ป่วย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ดูแล มีความรู้ ความเข้าใจและทักษะที่จะดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องที่บ้านได้  ได้อย่างปลอดภัย 6. พยาบาลประสานงานดูแลผู้ป่วยให้มีความต่อเนื่องในการรักษา ตั้งแต่การพักฟื้นในโรงพยาบาล ทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพในการวางแผนการดูแลผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน และติดตามอาการหลังกลับบ้าน  7. ทีมสหสาขาวิชาชีพมีการประชุมทุกสัปดาห์ เพื่อประเมินผลการรักษา และวางแผนปรับเปลี่ยนการรักษาให้เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย รวมไปถึงการวางแผนการกลับไปดูแลต่อเนื่องที่บ้าน และมีการประชุมร่วมกับผู้ป่วยและครอบครัวทุกเดือน เพื่อให้ผู้ป่วยได้มีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษา


ประโยชน์ที่คนไข้จะได้รับในการเข้ารับการบริการ คือ  ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิต ให้การดูแลผู้ป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ มีอุปกรณ์กายภาพบำบัดที่ครอบคลุม ตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่  ลดภาวะแทรกซ้อน จากความเจ็บปวดโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีการดูแลอย่างต่อเนื่อง ฟื้นฟูสมรรถภาพได้เร็วขึ้น ลดการมาพบแพทย์หรือโรงพยาบาลน้อยลง นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของครอบครัว ในการดูแลผู้ป่วยสูงอายุด้วยการดูแลอย่างใกล้ชิดในกิจวัตรประจำวัน รวมทั้งช่วยลดความเครียดและความเหนื่อยล้าของครอบครัวได้ และช่วยเตรียมความพร้อมก่อนกลับบ้าน และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติเร็วขึ้น ทั้งนี้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน สามารถรับบริการได้อย่างรวดเร็ว ประสานงานส่งต่อได้ทันท่วงที

พ.ต.นพ.อนุวัฒน์ วัลลภาพันธุ์  แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู  รพ.กรุงเทพ กล่าวว่า เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บ ภายหลังการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางแล้ว ผู้ที่จะให้การฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะต่อมา ให้กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว คือ ทีมสหสาขาวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นักกายภาพบำบัด และนักกิจกรรมบำบัด และพยาบาล เป็นต้น

คำว่าผู้ป่วยระยะฟื้นฟู (Sub-acute phase) ก็คือ ผู้ป่วยที่มีอาการผ่านพ้นภาวะเจ็บป่วยเฉียบพลันแล้วและมีอาการคงที่ แต่ยังคงมีความผิดปกติของร่างกายบางส่วนอยู่ มีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และแพทย์ผู้รักษามีความเห็นว่าต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ในช่วงเวลาที่มีการฟื้นตัว เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตในสังคม ทำกิจกรรมและทำงานได้ ตามความสามารถสูงสุดของผู้ป่วย



โดยผู้ที่จะเข้ารับการให้บริการในระยะฟื้นฟู ได้แก่ 1) ผู้ป่วยที่ต้องพักฟื้นหลังออกจากโรงพยาบาล หรือต้องฟื้นฟูทำกายภาพบำบัดหลังผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ผ่าตัดกระดูกสะโพก หรือผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุรุนแรง มีการบาดเจ็บหลายระบบของร่างกาย 2) ผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท เช่น อัมพาต อัมพฤกษ์  3) ผู้ป่วยสูงอายุที่ต้องการการฟื้นฟู เช่นมีภาวะกล้ามเนื้อน้อย มีการช่วยเหลือตัวเองลดลง โดยผู้ป่วยจะได้รับการดูแลด้วยมาตรฐานการบริการในระดับสากล พร้อมด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดที่ทันสมัย ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นฟูสุขภาพได้ดียิ่งขึ้นอย่างเต็มความสามารถ

สอบถามรายละเอียดการบริการได้ที่ โรงพยาบาลชีวา ทรานสิชั่นนัล แคร์ ในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ตั้งอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลกรุงเทพ ซอยศูนย์วิจัย
โทรศัพท์ 02-310-3993  หรือโทร. Contact Center 1719

27 กุมภาพันธ์ 2562

คต.จัดงานหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-กัมพูชา ขับเคลื่อนการค้าการลงทุน 2 ชาติ


หุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา (Thailand-Cambodia Border Economic Partnership)  


กรมการค้าต่างประเทศจัดงานหุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชาเชิญหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนไทย-กัมพูชา ร่วมหารือแนวทางส่งเสริมการค้าและการลงทุน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน พร้อมจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจใน 4 กลุ่มสินค้า คาดตกลงซื้อขายทันทีไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท เผยยังมีการจัดเสวนาแนะนำเทคนิคเจาะตลาดกัมพูชาให้กับผู้สนใจด้วย  



นายอดุลย์  โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ จะจัดงานหุ้นส่วน
เศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา (Thailand-Cambodia Border Economic Partnership) ระหว่างวันที่ 25 - 26 กุมภาพันธ์ 2562  เพื่อกระชับความสัมพันธ์ในระดับท้องถิ่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และมุ่งหวังให้เกิดความเชื่อมโยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันในระดับท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมตามเจตนารมณ์ของยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศได้ลงนามไว้เมื่อปีที่แล้ว




สำหรับ
การจัดงานหุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ กรมฯ ได้เชิญผู้แทนระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา พร้อมผู้แทนภาครัฐและเอกชนจากจังหวัดชายแดนทั้งของไทยและกัมพูชา เดินทางมาร่วมประชุมหารือเพื่อหาแนวทางกระตุ้น และผลักดันการค้าชายแดนและการลงทุนร่วมกัน ตลอดจนส่งเสริมให้มีความร่วมมือระหว่างกันในหลากหลายมิติ เพื่อแก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าระหว่างทั้งสองประเทศ











นายอดุลย์กล่าวว่า ภายในงานยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ได้แก่ การเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างผู้ประกอบการไทย-กัมพูชา รวม 80 ราย จาก 4 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (รวมถึงอาหารเสริม) กลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (รวมถึงสินค้าสุขภาพและความงาม) กลุ่มธุรกิจเครื่องจักรกลการเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่อง และกลุ่มธุรกิจยานยนต์ จักรยานยนต์ และอะไหล่ ซึ่งการเจรจาจับคู่ธุรกิจภายในงานนี้ คาดว่า มีมูลค่าการซื้อขายทันที 30 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค
  

นอกจากนี้ ยังมีการจัดเสวนาในหัวข้อ Tips & Tricks : ดีลธุรกิจอย่างไร...ให้ได้ใจชาวกัมพูชา โดยเชิญวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดและการทำธุรกิจในประเทศกัมพูชามากกว่า 20 ปี มาบอกเล่าเคล็ดลับในการทำธุรกิจกับชาวกัมพูชา พร้อมทั้งให้คำปรึกษาการเข้าสู่ตลาดกัมพูชา ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานอย่างล้นหลาม ขณะเดียวกัน กรมฯ ยังได้นำคณะผู้แทนกัมพูชาเข้าเยี่ยมชม บริษัท เอี่ยมบูรพา จำกัด เพื่อดูงานด้านเทคโนโลยีการแปรรูปมันสำปะหลังด้วย

การจัดงานครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์กัมพูชาเดินทางมายังประเทศไทยเข้าร่วมงาน ซึ่งกรมฯ มั่นใจว่าจะช่วยส่งเสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาที่มีมาอย่างยาวนานเป็นไปอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น
 และยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในฐานะหุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนที่สำคัญของไทยได้เพิ่มมากขึ้น   นายอดุลย์กล่าว





สำหรับสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-กัมพูชาในปัจจุบัน นับว่า มีอนาคตที่สดใส มีอัตราขยายตัว
มากที่สุดของการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านในภาพรวมทั้งหมด โดยมูลค่าการค้าชายแดนกับกัมพูชาในปีที่ผ่านมามีมูลค่า 145,799.82 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 16 ซึ่งกรมฯ เชื่อว่า การจัดงานหุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ อันจะช่วยผลักดันให้มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มสูงขึ้นอีกทางหนึ่ง



ท่านใดที่ต้องการทราบรายละเอียดของกิจกรรมการเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ ภายใต้งาน
หุ้นส่วนเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา
เพิ่มเติมเพียงสแกน
QR code เว็บไซต์
www.tc-bep.com



เพิ่มเติมเพียงสแกน QR code เว็บไซต์ www.tc-bep.com” และรูปตัวสแกน QR code เว็บไซต์ www.tc-bep.com 




26 กุมภาพันธ์ 2562

โครงการ QUINN สุขุมวิท 101 นิยามใหม่ในการใช้ชีวิตคุณภาพ ภายใต้แนวคิด “Vision of Life”



บริษัท เอ็ม บี เค เรียล เอสเตท จำกัด กลุ่มธุรกิจในเครือ MBK GROUP ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาที่ดิน โครงการที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงไฮเอนด์ ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดในชื่อ Park Riverdale, Quinn รัชดา 17, The Indy, Sabai Village และ Loch Palm ตลอดจนบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ “MBK GROUP” มานานกว่า 15 ปี

โดยมีวิสัยทัศน์และพันธกิจที่ว่า “บริษัทที่มุ่งประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี” ได้เปิดตัวโครงการล่าสุด  “QUINN สุขุมวิท 101” นิยามใหม่ในการใช้ชีวิตคุณภาพ ที่เติมเต็มสมดุลระหว่างความสุขแบบชีวิตเมืองที่ง่ายๆ ผสานความหรูหรา สงบส่วนตัว ท่ามกลางธรรมชาติอย่างมีเอกลักษณ์ บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านปุณณวิถี เพียง 0 ก้าว จากสถานีรถไฟฟ้า  BTS ปุณณวิถี ช่วยให้การใช้ชีวิตในทุกๆ วันง่ายขึ้น สอดรับกับวิถีชีวิตคนเมืองที่ต้องการความรวดเร็วและ ความสะดวกสบาย




นายเปล่งศักดิ์  ศรีบัว  ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายบริหารโครงการ 1 บริษัท เอ็ม บี เค เรียล เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า “โครงการควินน์ สุขุมวิท 101 สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้ปรัชญาการทำงานของแบรนด์ MBK Real Estate ที่ว่า “Vision of Life” ซึ่งเราให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกลในเรื่องของที่อยู่อาศัยเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณค่า มีความน่าอยู่และมีคุณค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว

สำหรับโครงการควินน์ สุขุมวิท 101 เราพิถีพิถันในการศึกษาโครงการ เริ่มตั้งแต่การเลือกทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิท เพียง 0 ก้าวจากรถไฟฟ้า BTS ปุณณวิถี ลูกบ้านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางใช้ชีวิตเมืองได้อย่างง่ายๆ สามารถเดินทางถึงศูนย์การค้า คอมมูนิตี้ มอลล์ สถาบันการศึกษาชั้นนำ  และโรงพยาบาล ที่ตั้งอยู่โดยรอบได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ โครงการควินน์ สุขุมวิท 101 ยังเน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุด ด้วยอาคารสูง 31 ชั้น 347 ยูนิต บนพื้นที่ 2 ไร่ 2 งาน 82 ตารางวา ซึ่งถือว่ามีจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มาก เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยที่เป็นส่วนตัว สงบ ร่มรื่น ไม่พลุกพล่าน ให้ความรู้สึกถึงความเป็นบ้านอย่างแท้จริง ตัวอาคารถูกออกแบบให้มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เน้นความสวยงามที่ไม่มีวันตกยุค 

นอกจากนั้นเรายังใส่ใจในทุกรายละเอียดในทุกๆ ฟังก์ชั่น ที่จะต้องตอบสนองรูปแบบการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ ด้วยวัสดุชั้นเยี่ยมโดยทีมนักออกแบบที่มีชื่อเสียงผสานกับนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการอาทิเช่น ระบบความปลอดภัยแบบจดจำใบหน้า Security System Face Detection ซึ่งลูกบ้านของเราไม่ต้องใช้คีย์การ์ดอีกต่อไป ระบบสามารถจดจำใบหน้าของลูกบ้านทำให้สามารถควบคุมความปลอดภัยให้แก่ลูกบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ




นอกจากนั้นยังนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางอาทิ ระบบ Floor Radiant Cooling ซึ่งจะกระจายความเย็นจากพื้นห้อง ทำให้อุณหภูมิของห้องโถงส่วนกลางซึ่งเป็นเพดานสูงมีความเย็นสบายระบบ Outdoor Air Unit Dehumidifier จะช่วยควบคุมความชื้นและคุณภาพอากาศ ผสานกับระบบ Fresh Air Ventilation System จะช่วยให้ลูกบ้านมีอากาศสะอาดอยู่ตลอดเวลา และป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 รวมถึงระบบ Solar Roof Top Floor ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานให้ผู้อยู่อาศัยได้อีกด้วย

สำหรับพื้นที่ส่วนกลาง เราได้ศึกษาถึงความต้องการของลูกค้า จึงได้ออกแบบให้มีห้องโซเชียลเลานจ์ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส ซาวน่า สกายเลานจ์ ห้องฉายภาพยนตร์บริเวณชั้น 31 และรูฟท็อปการ์เด้น ทำให้โครงการควินน์ สุขุมวิท 101 เป็นอีกหนึ่งที่อยู่อาศัยคุณภาพสูงที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่น่าลงทุนมากที่สุดบนถนนสุขุมวิท ในราคาเริ่มต้นเพียง 6.1 ล้านบาท หรือ 175,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งหลังจากเปิดขายมาได้ไม่นาน ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 55% โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน 2563” นายเปล่งศักดิ์ กล่าว