31 มีนาคม 2563

ช่อง 3 และมูลนิธิครอบครัวข่าว ชวนคนไทยร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือ

เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์
       
ช่อง 3 และมูลนิธิครอบครัวข่าว ชวนคนไทยร่วมบริจาคเงินสมทบทุนช่วยเหลือ จัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้หน่วยแพทย์ พยาบาล และโรงพยาบาล ในโครงการ “ช่อง 3 เคียงข้างคนไทย ฝ่าภัย
โควิด-19” เพื่อสู้กับวิกฤตภัยไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้ โดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆเป็นสิ่งจำเป็นต่อการรักษา และตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ที่ส่งผลต่อเนื่องไปสู่คนใกล้ตัว รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องทำการรักษาอย่างใกล้ชิดกับผู้ป่วย

         
เพื่อช่วยกันบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นดังกล่าว ช่อง 3 และมูลนิธิครอบครัวข่าว ขอเป็นส่วนหนึ่งในการรวมพลังสมทบทุน โดยการเชิญชวนคนไทยให้มาช่วยกันซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์มอบให้โรงพยาบาลที่มีความจำเป็นโดยสามารถร่วมบริจาคสมทบทุนได้ทาง บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 014-3-00459-6 ธนาคารกรุงเทพ สาขาอาคารมาลีนนท์ ชื่อบัญชี มูลนิธิครอบครัวข่าว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร.02-262-3277 และ 02-687-5085
ช่อง 3 จะอยู่เคียงข้างคนไทยฝ่าภัยโควิด-19 ไปด้วยกัน

ช่อง 7HD บริจาค 7 ล้าน มอบให้ 10 โรงพยาบาลรัฐฯ สู้ภัยโควิด-19

เชิญชวนคนไทยร่วมสมทบทุน ถึง 7 เมษายนนี้
         

ช่อง 7HD บริจาค 7 ล้านบาท พร้อมอาสาเป็นสื่อกลาง ให้ประชาชน ร่วมบริจาคสมทบทุน ผ่านบัญชี “ช่อง 7 รวมใจสู้ภัยโควิด-19” ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาสำนักเพลินจิต       เลขที่บัญชี 001-0-1-8355-8 (กระแสรายวัน) ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 เมษายน 2563 รายได้ทั้งหมดมอบให้   10 โรงพยาบาลรัฐฯ ที่ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19
           
ผู้ชมสามารถอัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับโรคโควิด -19 และการรับบริจาค เป็นประจำทุกวันในรายการสนามข่าว 7 สี เวลา 07.30 น. และสรุปยอดเงินบริจาคแต่ละวัน ในช่วงรายการข่าวภาคค่ำ เวลา 20.00 น.ทางช่อง 7HD กด 35  ตั้งแต่วันนี้ถึง 7 เมษายน 2563 เงินบริจาคทั้งหมดถูกจัดสรรให้กับโรงพยาบาล          10 แห่ง ดังนี้ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย,โรงพยาบาลศิริราช, โรงพยาบาลรามาธิบดี, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, สถาบันบำราศนราดูร, โรงพยาบาลราชวิถี และ โรงพยาบาลศูนย์ทุกภาค 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่, โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี, โรงพยาบาลชลบุรี จ.ชลบุรี และโรงพยาบาลหาดใหญ่ จ.สงขลา
           
ผู้บริจาคที่ต้องการใบเสร็จลดหย่อนภาษี สามารถส่งหลักฐานการโอนเงิน ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่มาทาง Line @ch7hdfightcovid19
            
ผู้ชมสามารถรับชม ช่อง 7HD กด 35 หรือทางออนไลน์ Facebook, instagram, 
YouTube : Ch7HD หรือรับชมย้อนหลังได้ทางแอพลิเคชั่น  BUGABOO.TV
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ช่อง 7HD    โทร 02-495-7777

นักวิชาการติงห้ามขายแอลกอฮอล์ทั้งจังหวัด

ไม่ช่วยลดการะบาดโควิด-19 ชี้อาจสวนทางให้คนเคลื่อนที่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้หลายหน่วยงานเริ่มตื่นตระหนก เนื่องจาก พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ผู้ว่าราชการบางจังหวัด สั่งห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม ถึง 16 เมษายน 2563 เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ขณะที่หลายฝ่ายเห็นว่า การห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อโควิด-19 เพราะหากผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์อยู่แล้วสามารถซื้อข้ามจังหวัดได้ ที่สำคัญยังเป็นการเคลื่อนไหวจากที่ควรอยู่กับที่ สวนทางนโยบายห้ามเคลื่อนที่ ชี้อาจเลวร้ายเกินคาด

แม้ว่าจังหวัดสกลนคร จะยังไม่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ก็ยังไม่ไว้วางใจได้ว่าอนาคตจะไม่มีการติดเชื้อโควิด-19 จึงทำให้นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ได้มีคำสั่งให้ร้านค้าหรือสถานประกอบการขายสุรา “ห้ามจำหน่ายสุรา” เป็นการชั่วคราว ในระหว่างวันที่ 31 มีนาคม ถึง 16 เมษายน 2563 นี้เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มสังสรรค์ เนื่องจาก เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของ
โควิด-19 สูง รวมทั้งสถานบันเทิงต่างๆ ที่ถูกสั่งปิดไป จนถึงวันที่ 2 เมษายน ให้ขยายเวลาเพิ่มไปจนถึง
16 เมษายนอีก และหากฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี - ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ ปี 2558

ในเรื่องนี้ นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ นักวิชาการและผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ค้าปลีกไทย บอกว่า การงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น อาจจะไม่ช่วยลดปัญหาการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจาก วินัยของนักดื่มที่ดื่มสังสรรค์เป็นประจำอยู่แล้ว ก็ต้องออกไปหาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ในจังหวัดอื่นๆ ได้ เนื่องจาก จังหวัดใกล้เคียงยังไม่มีการห้ามจำหน่าย
ดังนั้น อยากให้ทางภาครัฐได้ทบทวนการจำหน่ายแอลกอฮอล์ว่า ยังสามารถจำหน่ายได้เหมือนเดิมตามเวลาที่ภาครัฐได้กำหนดไว้ คือ สามารถซื้อได้ในเวลา 11.00-14.00 น. และ เวลา 17.00-00.00 น. แต่ต้องเน้นเรื่องให้ประชาชนมีวินัยในการดื่มแอลกอฮอล์ภายในบ้าน ไม่มีการจัดกลุ่มสังสรรค์ หรือมั่วสุ่ม เพื่อเป็นการหยุดเชื้อ-ช่วยชาติ และหากมีการฝ่าฝืนมีก็ควรมีการลงโทษเป็นแบบอย่าง เพื่อป้องกันการลักลอบการซื้อ รวมถึงการลักลอบการผลิตเหล้าเถื่อนในช่วงนี้ด้วย
ด้านนายสมบูรณ์ แก้วเกรียงไกร นายกสมาคมสุราชุมชน ได้ออกมาระบุว่า มีความกังวลในกรณีที่มีการห้ามขายสุราทั้งร้านขายส่งและร้านขายปลีกทั่วไปนั้น น่าจะทำได้ยาก เพราะอาจมีการแอบไปซื้อที่โรงผลิตเหล้า หรือถ้ามีมาตรการสั่งปิดโรงผลิตเหล้าเบียร์ หรือห้ามนำเข้าจากต่างประเทศมาขายด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ที่พยายามจะเข้ามาหากินกับ “สุราเถื่อน”
ดังนั้น จึงยังไม่แน่ใจว่าการห้ามร้านค้าทั่วไป หรือยี่ปั๊วขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยลดการชุมชมหรือพบปะกันได้จริง เนื่องจาก คนที่อยากเจอกัน สังสรรค์กัน ก็มีวิธีหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ตัวเองชอบมาได้อยู่ดี ขณะที่พวกคนในเมืองก็อาจจะใช้วิธีไปแอบซื้อเหล้า เบียร์ ไวน์ ในตลาดมืด หรือโรงเหล้ามาแอบปล่อยขายได้กำไรเพิ่มขึ้น หรือกลุ่มคนหาผลประโยชน์กักตุนสินค้าจากจุดตรงนี้ด้วย รวมถึงอาจจะมีผลกระทบในเรื่องการตั้งราคาขายแพงขึ้น ส่วนคนต่างจังหวัดในหมู่บ้าน อาจจะหันไปหาซื้อในโรงผลิตเหล้าชุมชนได้

ขณะที่นายธนากร คุปตจิตต์ นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย แสดงความเห็นด้วยกับมาตรการของภาครัฐที่ให้สถานบันเทิงมีการปิดให้บริการชั่วคราว เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ โควิด-19 แต่ในกรณีการห้ามขายแอลกอฮอล์ทั้งร้านขายส่งและร้านขายปลีกทั่วไปนั้น น่าจะทำได้ยาก เพราะอาจจะมีการเดินทางหาซื้อเพื่อมาดื่มกิน

“กลายเป็นว่าจากที่ควรอยู่ในบ้านหรือในพื้นที่ใกล้บ้านเช่นร้านขายของชำ และดื่มกินในบ้านตามวิถีชีวิต กลับกลายเป็นต้องเคลื่อนไหวเดินทางไปหาซื้อเครื่องดื่มข้ามจังหวัดถ้ามีเหตุการณ์เลวร้ายคือติดโควิด-19 มาจากพื้นที่จังหวัดอื่นที่เดินทางออกไปซื้อมาแล้วยังมาติดคนในชุมชนอีก ก็จะเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่ควรจะอยู่ในพื้นที่บ้านที่ไม่มีคนติดเชื้อ ยังไม่นับรวมกรณีเกิดการลักลอบซื้อที่โรงผลิตเหล้าเช่นกัน รวมไปถึงการลักลอบซื้อแอลกอฮอล์แบบหนีภาษีมาดื่มกินด้วย ซึ่งนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่จะทำให้เกิดปัญหา “สุราเถื่อน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ภาครัฐต้องเข้ามาควบคุมเพิ่มด้วย”
นายธนากรกล่าว

30 มีนาคม 2563

‘ไขข้อสงสัย Work from Home อย่างไร ให้มีประสิทธิภาพ พร้อมก้าวไปด้วยกัน สู่การทำงานยุคใหม่’


กรุงเทพฯประเทศไทย  – 30 มีนาคม 2563 – ปัจจุบัน เทรนด์การทำงานแบบใหม่อย่างการทำงานจากบ้าน (Work from home) หรือทำงานจากข้างนอกในระยะไกล (Remote working) เริ่มเป็นที่แพร่หลายและมีบทบาทในองค์กรหรือบริษัทฯต่างๆเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะทั้งในต่างประเทศหรือในประเทศไทยเองก็ตาม โดยการทำงานอย่างยืดหยุ่น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่จะช่วยให้พนักงานสามารถใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานไห้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

Work from Home คืออะไร?
Work from Home หากแปลตรงตัวนั่นก็คือการทำงานจากบ้าน โดยที่ไม่ต้องเดินทางเข้าออฟฟิศ ซึ่งอันที่จริงแล้ว การ Work from Home ไม่จำเป็นจะต้องทำงานจากที่บ้านเท่านั้น แต่ยังสามารถรวมไปถึงการทำงานจากที่คุณอยู่ที่ใดก็ได้ในรูปแบบของ Remote Working หรือการทำงานทางไกลที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับการทำงานในออฟฟิศ


จากผลสำรวจปลายปี 2019 ที่ผ่านมาของ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ในหัวข้อ เทรนด์คนออฟฟิศในยุคปัจจุบัน[2] พบว่าไลฟสไตล์การทำงานของคนไทยในปี 2020 เป็นแบบ นินจา ชี้ให้เห็นว่าคนปัจจุบันมีความสามารถในการทำงานให้เสร็จได้ด้วยตนเอง และยังสามารถให้เพื่อนร่วมงานมาช่วยกันทำผลงานให้เสร็จสมบูรณ์ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นผ่านระบบการทำงานแบบดิจิทัล ในขณะเดียวกัน ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจพื้นที่ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในการทำงานมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องการการเข้าถึงไฟล์งานส่วนตัวอันไม่พึงประสงค์จากบุคคลอื่น ซึ่งสอดคล้องไปกับเทรนด์การทำงานแบบ Work from Home ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าขณะนี้ผู้คนจะแยกกันทำงานจากคนละที่ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมายังคงมีประสิทธิภาพ และมีแนวโน้มว่าจะดียิ่งกว่าการนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศทั้งวัน


เทคนิคสู่หนทางความสำเร็จในหน้าที่การงานของ นินจา
ขยายผลจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ตอบแบบสอบถาม ผู้ที่มีไลฟสไตล์การทำงานแบบนินจา ส่วนใหญ่มักจะชอบทำงานในพื้นที่ส่วนตัวของตนเอง ชอบใช้ความคิดอย่างระมัดระวังและมีความรอบคอบ รวมไปถึงมักจะวางแผนล่วงหน้าและคาดการณ์ผลลัพธ์ออกมาในแง่บวกเสมอ ยิ่งในยุคปัจจุบัน กระบวนการทำงานต่าง ๆ เริ่มแปรผันเข้าสู่โลกแห่งยุคดิจิทัลมากขึ้น นินจาจึงยิ่งชอบที่จะซุ่มเงียบทำงานในที่ของตนเอง แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะติดต่อกับโลกภายนอกเพื่อนำเสนอผลงานที่ดีที่สุด

Microsoft Teams (ไมโครซอฟท์ ทีมส์) เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เป็นอาวุธลับในการสื่อสารของนินจาในองค์กรสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นนินจาในองค์กรขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ หรือกระทั่งบริษัทสตาร์ทอัพทั่วไป โดย ทีมส์ เป็นเครื่องมือการทำงานร่วมกันทั้งสำหรับทั้งคนในองค์กรและคนนอกองค์กร เน้นความปลอดภัย คล่องตัว และปรับใช้ได้อย่างเฉพาะตัวตามวิถีการใช้งานของแต่ละบุคคล อาจกล่าวได้ว่า ทีมส์ เกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองชีวิตการทำงานในยุคนี้อย่างแท้จริง ไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ไหนบนโลก เพียงแค่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สามารถสื่อสารได้กับทุกส่วนที่เดี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านฟีเจอร์ต่างๆ ดังนี้

  • แชท วีดีโอคอล แชร์ไฟล์ และแก้ไขงานพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมได้แบบเรียลไทม์ ถึงแม้ว่าจะอยู่บ้านก็ตาม
  • สามารถทำห้องประชุมให้เป็นห้องประชุมออนไลน์ได้โดยไม่ต้องนัดพบนอกสถานที่ พร้อมโชว์ผลงาน ผนวกกับการเปิดรับความคิดในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การเขียนบน whiteboard ร่วมกัน การพิมพ์ text การแชร์ลิงค์ แชร์ไฟล์ เพื่อดึงข้อมูลเฉพาะในกลุ่ม รวมไปถึงยังสามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวด้วยการเบลอฉากหลังขณะประชุมได้อีกด้วย
  • เมื่อเข้าประชุมออนไลน์ ไม่ต้องจดให้เมื่อยมือ เพราะทีมส์มีเครื่องมือในการบันทึกการประชุมแบบเรียลไทม์ขณะวีดีโอคอล และยังสามารถเก็บ Minute แบบ VDO record ได้ เพื่อให้ผู้ที่ต้องออกจากห้องประชุมก่อนหรือมาทีหลังสามารถเปิดทบทวนได้
  • ทีมส์ สามารถสร้าง Form หรือ BOT ไว้ตอบคำถามที่เกิดขึ้นบ่อยๆได้โดยไม่ต้องพิมพ์ซ้ำหลายๆรอบ
  • สามารถเช็คตารางงานของเพื่อนได้ผ่านฟีเจอร์ Calendar ให้ข้อดีตรงที่ไม่ต้องสอบถามโดยตรง
  • หัวหน้างานสามารถสั่งงานคนในทีมได้จากฟีเจอร์ Assignment และสามารถกำหนดเดดไลน์วันส่งงานและตรวจสอบสถานะความคืบหน้าของ task นั้นๆได้อีกด้วย
  • ให้การปกป้องและความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์ได้ในระดับสูงที่สุด และเป็นที่รองรับทางกฎหมาย
  • ตอบทุกโจทย์การใช้งานด้วยความสามารถที่ใช้ร่วมกันกับแอปฯ พื้นฐานที่มีอยู่บน Office 365 หรือ แอปฯเสริม เช่น OneNote หรือ แอปฯ เฉพาะสำหรับองค์กรนั้นๆ
  • ทีมส์ สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายบนหลากหลายดีไวซ์ ไม่ว่าจะเป็น โน๊ตบุ๊ค สมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์ Wearable ต่างๆ เป็นต้น


ทั้งนี้ จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นไม่เพียงแต่การทำงานรูปแบบเดิม ๆ ที่จะสามารถสร้างความสำเร็จในหน้าที่การงานให้ทุกคนได้ แต่การที่จะกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆรอบตัว รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อต่อยอดความสามารถให้ไปถึงจุดสูงสุดก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่เทรนด์การทำงานจากบ้านกำลังมาแรง แพลตฟอร์ม ไมโครซอฟท์ ทีมส์ จึงถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะมาช่วยซัพพอร์ตการทำงานของคุณให้ลื่นไหลไปได้โดยไม่มีสะดุด

สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ http://aka.ms/ContactMSFTTH และสามารถดาวน์โหลดเพื่อเริ่มใช้งาน ไมโครซอฟท์ ทีมส์ ได้เลยที่ https://teams.microsoft.com/downloads

ไวตามิ้ลค์ ร่วมรณรงค์ชวนทุกคน #อยู่บ้านเพื่อชาติ


ไวตามิ้ลค์ ส่งแมสเสจชวนทุกคนให้อยู่บ้าน ผ่านโลโก้แบรนด์เป็นภาพโลโก้หลักอยู่ในบ้าน พร้อมติดแฮชแท็ก #StayAtHome เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรณรงค์ให้คนอยู่บ้านลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมส่งความห่วงใยชวนทุกคนดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายทุกวัน #กายพร้อม ใจพร้อม เราทำได้

#ไวตามิ้ลค์ #เติมโปรตีนเพิ่มความแข็งแรง
#กายพร้อมใจพร้อมเราทำได้
#อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
#StayAtHome

ธ.ออมสิน เดินเครื่อง GSB Smart Homestay


โฮมสเตย์มีสไตล์ นำทีมผู้บริหารพร้อม 6 ดาราบัดดี้ ลุยเสริมแกร่งชุมชนมุ่งพัฒนามาตรฐานโฮมสเตย์ไทยสู่สากลนำทีมผู้บริหารพร้อม 6 ดาราบัดดี้ ลุยเสริมแกร่งชุมชนมุ่งพัฒนามาตรฐานโฮมสเตย์ไทยสู่สากล
ธนาคารออมสิน ในฐานะสถาบันการเงินที่ให้การสนับสนุนชุมชนอย่างใกล้ชิดเสมอมา เดินหน้าสานต่อ โครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ภายใต้แนวคิด “GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์” จัดกิจกรรมติวเข้มเพื่อให้ผู้นำพร้อมด้วยสมาชิกของทั้ง 6 ชุมชน ได้เตรียมความพร้อมก่อนลงมือพัฒนาชุมชนของตัวเอง ด้วยการส่งตัวแทนของทุกชุมชนเดินทางไปศึกษาดูงานโฮมสเตย์ต้นแบบประชารัฐสีชมพู
ณ บ้านท่าขันทอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เพื่อเติมเต็มองค์ความรู้ที่จะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อการพัฒนาต่อไป


คุณวินัย สิทธิไวทยาภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า กิจกรรมการศึกษาดูงานโฮมสเตย์ต้นแบบในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญซึ่งสืบเนื่องจากโครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ปีที่ 4 GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์ โดยธนาคารออมสิน มีความ
ตั้งใจที่จะส่งเสริมการพัฒนาทุกชุมชนที่เข้าร่วมโครงการได้มีโอกาสเรียนรู้การบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนให้มีศักยภาพที่เข้มแข็งในทุกด้าน ทั้งด้านสังคม สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรม วัฒนธรรม ขนบประเพณีและวิถีชุมชน จึงได้ประสานความร่วมมือกับผู้นำชุมชนบ้านท่าขันทอง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โฮมสเตย์ที่คว้ารางวัลโครงการประชารัฐสีชมพู ปีที่ 3 "GSB Smart Homestay" เมื่อปี 2561 มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ แบ่งปันองค์ความรู้ ซึ่งทั้ง 6 ชุมชนที่ผ่านการคัดเลือกสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดให้สอดคล้องกับบริบทของโฮมสเตย์และแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนของตนได้




สำหรับตัวแทนจากทั้ง 6 ชุมชนที่ผ่านการคัดเลือกในโครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ปีที่ 4 GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์ ได้แก่ ชมรมท่องเที่ยวบ้านมุงเหนือ อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก วิสาหกิจชุมชนโฮมสเตย์บ้านปรางค์นคร อ.คง จ.นครราชสีมา ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวและโฮมสเตย์บ้านวังมน อ.ภูผาม่าน จ.ขอนแก่น ชมรมท่องเที่ยวโดยชุมชนและโฮมสเตย์บ้านป่าหนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี วิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ บ้านน้ำราด อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี กลุ่มตลาดน้อยโฮมสเตย์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ต่างก็ได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ

สถานที่จริงของโฮมสเตย์ต้นแบบ พร้อมร่วมทำกิจกรรมเวิร์คช็อปกับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งได้รับคำชี้แนะอันเป็นประโยชน์อย่างมาก

นายเศรษฐศักดิ์ พรหมมา ปลัดเทศบาล ต.บ้านแซว และที่ปรึกษาโฮมสเตย์บ้านท่าขันทอง กล่าวว่า การพัฒนาโฮมสเตย์และแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละท้องถิ่นมีหลักการไม่แตกต่างกันนัก เพียงแต่ต้องปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของชุมชนที่มีพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ประเพณีที่ต่างกันออกไป ใจความสำคัญของการพัฒนาคือการยกระดับโฮมสเตย์ให้ได้มาตรฐาน ที่จะนำไปสู่ความไว้วางใจของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นความสะอาด ความปลอดภัย ศักยภาพด้านการบริการ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วคงไม่ต่างจากมาตรฐานที่พักอย่างที่โรงแรมทั่วไปพึงมี แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการจะเป็นโฮมสเตย์ก็คือการสื่อสารที่เด่นชัดในอัตลักษณ์ชุมชน ที่จะเป็นมนต์เสน่ห์ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว จะด้วยกิจกรรมที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในท้องถิ่นกับนักท่องเที่ยวก็ดี สินค้า และบริการก็ดี สิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะของชุมชนและทำให้เกิดการบอกต่อได้

นายเศรษฐศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ความท้าทายอีกด้านที่ชุมชนส่วนใหญ่ต้องพบแน่นอน คือทักษะด้านการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ส่วนนี้ธนาคารออมสินจะมีส่วนช่วยอย่างมากในการเติมเต็มองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำและสมาชิกชุมชนทุกแห่งที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างสม่ำเสมอและสอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณที่โปร่งใส่ กระจายรายได้สู่สมาชิกในชุมชนอย่างเป็นธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นการพัฒนาความเข้มแข็งและรักษาความยั่งยืนให้ชุมชนพึ่งพาตนเองต่อไปได้

โดยกิจกรรมและความคืบหน้าของโครงการชุมชนประชารัฐสีชมพู ปีที่ 4 GSB Smart Homestay โฮมสเตย์มีสไตล์ โดยธนาคารออมสิน ยังคงมีเรื่องราวให้ทุกท่านสามารถติดตามได้อย่างต่อเนื่องจาก

Facebook Fanpage : ชุมชนประชารัฐออมสินสีชมพูหรือสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสิน เว็บไซต์ www.gsb.or.th Facebook : GSB Society



พร้อมด้วยช่องทาง Youtube : GSB SMART HOMESTAY โฮมสเตย์มีสไตล์
ทาง Official Line : GSB ธนาคารออมสิน และรายการ “GSB SMART HOMESTAY โฮมสเตย์มีสไตล์” ทุกวันเสาร์ เวลา 08.30 - 09.00 น.ออกอากาศทางช่อง PPTV HD ช่อง 36

เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป ขยายเวลาปิดให้บริการเป็นการชั่วคราว


ยกเว้นเก็บค่าเช่าและค่าบริการ ในช่วงที่ศูนย์การค้าฯ ปิดชั่วคราวตามประกาศรัฐบาล ร่วมมือร่วมใจก้าวผ่านวิกฤติ COVID-19สืบเนื่องจากประกาศของกรุงเทพมหานคร เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 4) ลงวันที่ 27 มีนาคม 2563 โดยระบุว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ประกอบกับการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม – 30 เมษายน 2563 นี้ เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พร้อมขยายคำสั่งประกาศ ที่จะมีผลถึง 12 เมษายน 2563 จึงกำหนดให้ปิดสถานที่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งห้างสรรพสินค้า เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 28 มี.ค. – 30 เม.ย.นี้


บริษัท เดอะ แพลทินัม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้า เดอะ แพลทินัม แฟชั่น มอลล์ , เดอะ มาร์เก็ต แบงคอก ราชประสงค์ ,เดอะ นีออน ไนท์ บาซาร์   จึงขอขยายเวลาปิดให้บริการ จนถึง 30 เมษายน 2563 โดยยกเว้นพื้นที่และบริการในส่วนของ ร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ หรือสินค้าเบ็ดเตล็ด ที่จำเป็น     ต่อการดำรงชีวิต ยังเปิดให้บริการตามปกติ  โดยในส่วนของร้านอาหารเปิดเฉพาะการจำหน่ายอาหารเพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่นเท่านั้น

สำหรับร้านค้าที่ต้องปิดให้บริการเป็นการชั่วคราวระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2563 ตามประกาศภาครัฐนั้น ทางบริษัท ได้พิจารณาช่วยเหลือแบ่งเบาภาระด้วยการยกเว้นการเรียกเก็บค่าเช่าและค่าบริการ

ทั้งนี้บริษัท ยังคงยืนยัน  ในการจัดการมาตรการอันเข้มงวดเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส COVID-19   
ในทุกธุรกิจศูนย์การค้าเพื่อพนักงาน ร้านค้า และลูกค้า ได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด นอกจากนี้ยังได้เตรียมแผนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทยภายหลังจากสถานการณ์นี้ผ่านพ้นไป พร้อมขอขอบพระคุณทุกท่าน ที่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจกันมาโดยตลอด 

ทรู ช้อปปิ้ง ชวนช้อปที่บ้านลดเสี่ยง


เปิดแคมเปญ “ทรู ช้อปปิ้ง พลัส” ยิ่งช้อป ยิ่งคุ้ม

ฉลองสู่ปีที่ 9 คืนเงินสะสมให้ช้อปสนุกทุกแพลตฟอร์มทีวีและออนไลน์
ตอกย้ำ Beauty Channel อันดับ 1 โฮมช้อปปิ้งของไทย จัดเต็มสินค้าช้อปที่ใช่ รู้ใจคุณ 
ชูโมเดลใหม่ “โททัล โซลูชั่น” จัดการสินค้าบริการแบบครบวงจร


สนับสนุนสู้ภัยโควิด-19


นายอานนท์ ฐานวิชชานนท์ กรรมการผู้จัดการ และพนักงานบริษัท โรงสีเอกไรซ์ จำกัด ส่งมอบข้าวสารหอมมะลิปิ่นเพชร จำนวน 200 ถุง มูลค่า 50,000 บาท และร่วมบริจาคเงินมูลค่า 100,000 บาท ให้แก่ พลตรี ผศ.นพ.ดุสิต จันทยานนท์ ผู้แทน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อสนับสนุนสู้ภัยโควิด-19 ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันก่อน

นายอานนท์ ฐานวิชชานนท์ กรรมการผู้จัดการ และพนักงานบริษัท โรงสีเอกไรซ์ จำกัด ส่งมอบข้าวสารหอมมะลิปิ่นเพชร จำนวน 200 ถุง มูลค่า 50,000 บาท และร่วมบริจาคเงินมูลค่า 100,000 บาท ให้แก่ พลตรี ผศ.นพ.ดุสิต จันทยานนท์ ผู้แทน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อสนับสนุนสู้ภัยโควิด-19 ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อวันก่อนฅ

ททท.สำนักงานลพบุรี ร่วมสู้ภัย COVID-19


เช้าวันนี้ (30 มีนาคม 2563) นางจิรารัตน์ มีงาม ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานลพบุรี พร้อมคณะฯ ได้เดินทางให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ พร้อมสนับสนุนอาหาร
และชุดป้องกันการติดเชื้อสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช
จังหวัดลพบุรี


โดยมี นายแพทย์สมศักดิ์ สุทธิพงศ์เกียรติ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช ให้เกียรติต้อนรับ และเป็นผู้รับมอบฯ

เอสซีลอร์ชูนวัตกรรมเลนส์ระดับโลก “Crizal” และ “Optifog”

ใส่แว่นตาช่วยลดการสัมผัสเพื่อสุขอนามัยของคนไทยกรุงเทพฯ – บริษัท เอสซีลอร์ ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบ
การผลิต และการจัดจำหน่ายเลนส์แว่นตาจากประเทศฝรั่งเศส ตระหนักถึงสถานการณ์ไวรัสโควิด19 (Covid-19) ที่กำลังแพร่กระจายเป็นวงกว้างในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งนอกจากการสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค การสวมแว่นตาซึ่งนอกจากช่วยแก้ไขปัญหาการมอง
เห็นและปกป้องดวงตาแล้ว ยังถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการป้องกันไวรัสโควิด 19 ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากแว่นตาช่วยป้องกันฝอยละอองจากการไอ จาม รวมถึงสารคัดหลั่งไม่ให้ฟุ้งกระจายเข้าดวงตาโดยตรง ทั้งยังช่วยลดการสัมผัสดวงตาหรือใบหน้าซึ่งเป็นบริเวณจุดเสี่ยงในการติดเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ในสื่อต่างประเทศก็ได้มีการแนะนำเรื่องการสวมใส่แว่นตาเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสดวงตาในช่วงที่มีแนวโน้มการระบาดที่สูงขึ้นนี้ หรือแม้ผู้ที่ไม่มีค่าสายตาก็สามารถใส่แว่นที่ใช้
เลนส์ไม่มีค่าสายตาหรือแว่นกันแดดเพื่อเป็นการป้องกันได้

ทว่า การสวมหน้ากากอนามัยพร้อมกับการใส่แว่นตานั้น ทำให้ผู้สวมแว่นตาต้องพบปัญหาคราบไอน้ำและรอยนิ้วมือบนผิวเลนส์เป็นประจำ เอสซีลอร์ได้พัฒนาโค้ทติ้งเคลือบผิวเลนส์ เป็นที่รู้จักกันในชื่อเลนส์มัลติโค้ท “ครีซอล  (Crizal)” ซึ่งสามารถคงความสะอาด เลนส์เคลียร์ใสได้ตลอดวันเพื่อการมองเห็นที่คมชัดที่สุด ลดคราบรอยนิ้วมือ ฝุ่นและไอน้ำเกาะ นอกจากนั้น ยังมีเลนส์เฉพาะทางอีกหนึ่งนวัตกรรม คือเลนส์ “อ็อปติฟ็อก (Optifog)” ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ทำงานในที่เย็นจัด ซึ่งมักพบปัญหาฝ้าเกาะผิวเลนส์บ่อยครั้ง ซึ่งนวัตกรรมเลนส์ชนิดนี้ช่วยให้เลนส์แว่นเคลียร์ใสไร้ฝ้าไอน้ำเกาะ คุณจึงไม่ต้อง
หยิบจับแว่นตาเพื่อทำความสะอาดบ่อยๆ และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนจากการสัมผัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ใครหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า เลนส์มัลติโค้ทของเอสซีลอร์สามารถเช็ดทำความสะอาดผิวเลนส์ได้ด้วยแอลกอฮอล์ โดยไม่ทำให้โค้ทเคลือบผิวเลนส์เสียหายเหมือนเลนส์ปกติทั่วไป
จึงทำให้มั่นใจเรื่องความปลอดเชื้อมากยิ่งขึ้น

เอสซีลอร์มีความห่วงใยผู้บริโภคและขอรณรงค์ให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานรัฐบาลอย่างเคร่งครัดในการฝ่าฟันวิกฤติครั้งนี้ร่วมกัน เพื่อให้เราทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง พร้อมวิสัยทัศน์การมองเห็นที่คมชัดสดใสตามแนวคิดของเอสซีลอร์ “See More. Do More.”

29 มีนาคม 2563

แจก สมุนไพรฟ้าทะลายโจร 1 ห่อ เจลแอลกอฮอล์ 1 หลอด ท่านละ 1 ชุด

สรรพคุณ ‘ฟ้าทะลายโจร’  

 สารสกัด "ฟ้าทะลายโจร" ของประเทศไทย สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสในหลอดทดลองได้ ซึ่งทางกรมการแพทย์แผนไทยฯ จะนำไปพัฒนาต่อยอดสู่ยาฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ Covid-19 ในผู้ป่วย



องพจนกรโกศล ดร. (พิสิฐษ์ เถี่ยนบ๊าว) ผู้ช่วยปลัดซ้ายอนัมนิกาย ประชาสัมพันธ์คณะสงฆ์อนัมนิกาย เจ้าอาวาสวัดธรรมปัญญารามบางม่วง พร้อมด้วยพระภิกษุสามเณร เจริญพระพุทธมนต์ อธิษฐานจิตน้ำพระพุทธมนต์ สมุนไพร เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ เพื่อแจกจ่ายให้กับสาธุชน ให้รอดพ้นจากภัยอันตราย ด้วยโครงการพระยูไลต้านภัย โควิด-19




แจก สมุนไพรฟ้าทะลายโจร 1 ห่อ เจลแอลกอฮอล์ 1 หลอด ท่านละ 1 ชุด
ติดต่อสอบถามได้ที่ 099-7131891 องสมุห์ณัฐกิจ 
Line ID : @MAHAYUAN

28 มีนาคม 2563

อธิบดี พส. งัดมาตรการดูแลคนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน และผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ สู้ภัยโควิด-19


วันที่ 28 มีนาคม 2563 เวลา 14.00 น. นายสุทธิ จันทรวงษ์ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (อพส.) กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย และการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนในทุกระดับ ซึ่งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายในสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดต่อจากไวรัสโคโรนา  (COVID-19) เป็น 3 ระยะ ดังนี้

ระยะแรก กรมพัฒนาสังคม ฯ ได้ดำเนินมาตรการป้องกันในพื้นที่กรุงเทพ ฯ ที่มีการแพร่ระบาดรุนแรง ได้มอบหมายให้ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ให้ข้อมูลความรู้ และวิธีปฏิบัติตนแก่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทั้งนี้ได้ประสานความร่วมมือกับนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ในการขับเคลื่อนโครงการ "จิตอาสา เพื่อสังคมวุฒิสภา" ในการนำหน้ากากอนามัยแบบผ้ากว่า 5,000 ชิ้น ไปแจกให้กับประชาชนทั่วไป คนไร้บ้าน และผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ ในจุดที่เป็นจุดศูนย์กลางการเดินทาง ที่มีนักท่องเที่ยวและประชาชนคนทั่วไป รวมตัวอยู่จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นจุดเสี่ยงที่จำเป็นต้องมีการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส ดังนี้

บริเวณ สถานีรถไฟกรุงเทพ ฯ (หัวลำโพง) บริเวณ สถานีขนส่งโดยสารกรุงเทพ ฯ (จตุจักร)  บริเวณตรอกสาเก ถนนราชดำเนิน นอกจากนี้ กรมพัฒนาสังคม ฯ ได้จัดกิจกรรม “Give Masks Get More” (หน้ากากอนามัยจากใจเพื่อน) หน้ากากผ้า ตัดเย็บโดยเจ้าหน้าที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง และศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งทั่วประเทศ รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) โดยส่งมอบผ่านองค์กร ภาคีเครือข่ายในการทำงานกับคนไร้บ้าน ได้แก่ “มูลนิธิกระจกเงา” “มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย” และ“มูลนิธิอิสระชน” นำไปแจกจ่ายให้กับคนไร้บ้าน และผู้ใช้ชีวิตในที่สาธารณะ เพื่อให้มีหน้ากากที่สามารถนำไปซัก แล้วกลับมาใช้ใหม่อีกได้ เป็นการลดขยะ ลดภาระค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ได้วางมาตรการเผชิญและรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค โดยคำนึงถึงหลักการปฏิบัติ การจัดเตรียมสถานที่ ทีมงาน การป้องกันเฝ้าระวัง และคำนึงถึงสวัสดิภาพของผู้ใช้บริการ

 ระยะที่ 2 ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุ ซึ่งเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา กรมพัฒนาสังคม ฯ ได้เปิดศูนย์บริการสำหรับพี่น้องคนไร้บ้านที่เข้ารับบริการรายใหม่ ซึ่งเข้ามาภายหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา (COVID-19) เข้ามาพักอาศัย เพื่อไม่ให้ไปใช้ชีวิตร่วมกับผู้ใช้บริการรายเดิม ศูนย์บริการดังกล่าว ถือเป็นจุดคัดกรองเบื้องต้นลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโรค ให้บริการด้านปัจจัยสี่ และที่พักกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน พร้อมกันนี้ได้จัดชุดปฏิบัติการ ปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง สำหรับแผนรองรับด้านสถานที่ในภาวะวิกฤติ กรณีที่สถานที่คัดกรองในการลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโรคไม่เพียงพอรองรับ ได้จัดสถานที่ เจ้าหน้าที่ และบริการต่าง ๆ เป็นสถานที่รองรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวแล้ว

ระยะที่ 3 การเยียวยาหลังภาวะวิกฤติแก่กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ กรมพัฒนาสังคม ฯ ได้กำหนดแผนการเยียวยาพัฒนาศักยภาพด้านทักษะอาชีพและการช่วยเหลือในลักษณะทุนประกอบอาชีพตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสร้างช่องทางและโอกาส เพื่อการระดมทรัพยากรการช่วยเหลือจากภาคส่วนต่าง ๆ ส่งมอบต่อผู้ประสบปัญหาเดือดร้อน โดยได้มอบหมายให้ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัด ทั่วประเทศ บูรณาการทำงานร่วมกับอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ประสานภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน ขอเชิญชวนทุกท่าน ร่วมบริจาคผ้า และอุปกรณ์สำหรับตัดเย็บหน้ากากผ้า หรือร่วมบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภค กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พร้อมเป็นสื่อกลางในการส่งต่อความช่วยเหลือไปยังผู้ที่อยู่ในสภาวะยากลำบากต่อไป ทั้งนี้ ติดต่อสอบถามได้ที่ โทร 02 659 6273 ในวัน เวลาราชการ หรือ สายด่วน ศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง นายสุทธิ กล่าวในตอนท้าย

27 มีนาคม 2563

ออมสิน จับมือ สำนักสลากกินแบ่งรัฐบาล

รับขึ้นเงินรางวัลสลากฯ เริ่มงวดแรก 16 พ.ค. นี้ 


ธนาคารออมสิน ร่วมกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากฯ ให้กับประชาชนและผู้รับซื้อ ทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1 ผ่านธนาคารออมสิน 1,062 สาขาทั่วประเทศ เริ่มงวดแรก 16 พฤษภาคมนี้

วันนี้ (27 มีนาคม 2563) ณ ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะประธานกรรมการธนาคารออมสิน และประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการให้บริการขึ้นรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ระหว่าง ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งธนาคารออมสินจะเป็นตัวแทนในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัล ผ่านธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่อเพิ่มทางเลือกและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถูกรางวัลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
 ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ พร้อมเป็นตัวแทนสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในการให้บริการรับขึ้นเงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ผ่านช่องทางธนาคารออมสินสาขาทั่วประเทศ ที่มีอยู่กว่า 1,062 แห่ง เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนผู้ถูกรางวัล และผู้รับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล/สลากการกุศล สามารถขึ้นเงินรางวัลได้ง่าย และสะดวกสบายขึ้น นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูง เพราะสามารถฝากเงินเข้าบัญชี เพื่อทำธุรกรรมอื่นๆ ของธนาคารได้ทันที รวมถึงสาขาของธนาคารออมสินทุกแห่ง สามารถตรวจสอบสลากฯ ด้วยเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันปัญหาการปลอมแปลง

ทั้งนี้ การขอรับขึ้นเงินรางวัล ผู้ถูกรางวัลจะต้องนำสลากกินแบ่งรัฐบาล/สลากการกุศล ฉบับจริง มาติดต่อด้วยตนเองที่ธนาคารออมสินสาขา โดยธนาคารจะรับขึ้นเงินทุกรางวัล ยกเว้นรางวัลที่ 1 และรับเฉพาะสลากงวดปัจจุบันเท่านั้น ซึ่งสามารถขึ้นรางวัลได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ของวันออกรางวัลในงวดนั้น ไปจนถึงเวลา 12.00 น. ของวันออกรางวัลในงวดถัดไป โดยจะคิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 1 ของมูลค่ารางวัลแต่ละรางวัล และค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ 0.5 – 1.0 ของมูลค่ารางวัล ตามประเภทของสลาก รวมเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.5 – 2.0 ของมูลค่ารางวัล ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการขึ้นรางวัลสลากฯ ได้ตั้งแต่งวดแรกวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามได้ตามสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารออมสินทุกช่องทาง ได้แก่ Website : www.gsb.or.th, Line Official, Facebook : GSB Society

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าหน้าที่ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ธนาคารออมสิน Call Center โทร.1115

พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สำนักงานสลากฯ มีตัวแทนให้บริการรับขึ้นเงินรางวัล ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย จากเดิมสามารถขึ้นเงินรางวัลได้ที่สำนักงานสลากฯ ถนนสนามบินน้ำ จังหวัดนนทบุรี เพียงแห่งเดียว หรือตามแผงลอตเตอรี่และร้านค้าบางแห่ง ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมสูงถึงร้อยละ 2-5 สำหรับความร่วมมือนี้ในครั้งนี้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ถูกรางวัลมีทางเลือกมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บเมื่อนำสลากไปขึ้นเงินรางวัลที่แผงลอตเตอรี่หรือร้านค้าบางแห่ง และสามารถช่วยบรรเทาปัญหาการนำสลากฯปลอมมาขึ้นเงินรางวัลได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากสาขาของธนาคารออมสินมีมาตรฐานในการตรวจสอบสลากฯที่ดี มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย และมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมเป็นอย่างดี