07 มีนาคม 2565

“ตามรอยพ่อฯ” แจงผลสัมฤทธิ์การดำเนินงานตลอด 9 ปี สร้างการรับรู้ดีเกินคาด ณ สวนล้อมศรีรินทร์ พื้นที่ร่วมโครงการปีแรก

โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) จัดงานสรุปผลความสำเร็จหลังดำเนินงานมาครบ 9 ปี โดยเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 – 2564 และมีผลการดำเนินงานดีเกินคาด ทั้งด้านการสร้างคนมีใจ เครือข่าย และศูนย์การเรียนรู้ที่เป็นไปตามเป้าหมาย และกิจกรรมเอามื้อสามัคคีหรือการลงแขกในพื้นที่ตัวอย่างความสำเร็จนั้นได้รับความสนใจจากประชาชนกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก ทำให้แนวคิดในการนำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นไปลงมือปฏิบัติแผ่ขยายแตกตัวไปทั่วทั้ง 22 ลุ่มน้ำในประเทศ เกิดการรับรู้และกระแสความตื่นตัวที่ทำให้ทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาขับเคลื่อนพร้อมกัน รวมถึงเกิดแรงกระเพื่อมสู่การเปลี่ยนเชิงนโยบาย 

ทั้งนี้ งานสรุปผลดังกล่าวจัดขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี พื้นที่ของคนมีใจที่ร่วมกิจกรรมโครงการตั้งแต่ปีแรก โดยเครือข่ายจากทั้งในและนอกลุ่มน้ำป่าสักเข้าร่วมงานและนำผลผลิตทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์แปรรูปร่วมออกร้าน พร้อมจัดกิจกรรมอบรมหลักการออกแบบโคก หนอง นา และฐานการเรียนรู้ต่าง ๆ นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ 9 คน 9 ปี ขึ้นเวทีร่วมเสวนา เพื่อยืนยันว่าศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้วิกฤตได้จริง พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการส่งต่อองค์ความรู้และแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ต่อไป


  ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร นายกสมาคมดินโลก ผู้ก่อตั้งมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ กล่าวว่า “จากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เมื่อวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556 ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ที่ทรงแสดงความห่วงใยต่อปัญหาภัยแล้งและปัญหาอุทกภัยบริเวณลุ่มน้ำป่าสัก ก่อเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้โครงการ “พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2556 ด้วยความร่วมมือระหว่าง บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ และ 7 ภาคีเครือข่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคศาสนา และสื่อมวลชน โดยได้น้อมนำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่สู่การปฏิบัติ เป้าหมายเพื่อหยุดท่วม หยุดแล้งในลุ่มน้ำป่าสักอย่างยั่งยืน จนสามารถสร้างรูปธรรมตัวอย่างความสำเร็จและการขยายผลครอบคลุม 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ โดยการดำเนินงานเริ่มจากการสร้างพื้นที่ต้นแบบ รวมทั้งบุคคล ชุมชน และโรงเรียนต้นแบบ แล้วจึงขยายผลออกไปสู่ลุ่มน้ำอื่น ทั่วประเทศ”

ทั้งนี้ โครงการมีกรอบการดำเนินงาน 9 ปี แบ่งเป็น 3 ระยะ ๆ ละ 3 ปี โดยระยะที่ 1 พ.ศ. 2556 – 2558  คือ ระยะตอกเสาเข็ม เป็นการสร้างการรับรู้ และสร้างตัวอย่างความสำเร็จหลากรูปแบบทั้ง บุคคล ชุมชน โรงเรียน และสร้างศูนย์เรียนรู้ สรุปการดำเนินกิจกรรมในระยะที่ 1 สร้างการรับรู้ด้วยการเดินทางวิ่ง-เดิน-ปั่น กว่า 900 กิโลเมตร ในพื้นที่ 5 จังหวัด มีอาสาสมัครและคนมีใจร่วมกิจกรรมกว่า 8,000 คน

ปีที่ 1 พ.ศ. 2556 เป็นกิจกรรมเดิน วิ่ง ปั่นรณรงค์ ”จากปลายน้ำสู่กลางน้ำ สร้างหลุมขนมครกในแบบโคก หนอง นา โมเดล หยุดท่วมหยุดแล้งอย่างยั่งยืน” จากกรุงเทพฯ ถึง จ.พระนครศรีอยุธยาและ จ.สระบุรี 

ปีที่ 2 พ.ศ. 2557 กิจกรรม ”สร้างหลุมขนมครก เปลี่ยนเขาหัวโล้นเป็นเขาหัวจุก” ที่ จ.เพชรบูรณ์ 

ปีที่ 3 พ.ศ. 2558 กิจกรรม ”สร้างหลุมขนมครก ในแบบของคุณ” ที่ จ.ลพบุรีและ จ.เพชรบูรณ์ 




กรอบการดำเนินงานในระยะที่ 2 พ.ศ. 2559 – 2561 คือ ระยะแตกตัว เป้าหมายเป็นการขยายผลในระดับทวีคูณ สร้างคน สร้างครู สร้างเครื่องมือในการยกระดับศูนย์เรียนรู้สู่การศึกษาตลอดชีวิต (บ้าน วัด โรงเรียน หรือ บวร) สรุปการดำเนินกิจกรรมในระยะที่ 2 สร้างพื้นที่ต้นแบบ 8 แห่งใน 8 จังหวัด สร้างการมีส่วนร่วมของคนมีใจที่ร่วมกิจกรรมกว่า 10,000 คน และเกิดศูนย์การเรียนรู้ 11 แห่งใน 7 จังหวัด

ปีที่ 4 พ.ศ. 2559 คือ การสร้างหลุมขนมครก ”ป่าสักโมเดล” ในพื้นที่  “ห้วยกระแทก” ของหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ต้นแบบ ซึ่งเป็นหลุมขนมครกขนาดพื้นที่ 600 ไร่ และเป็นหลุมขนมครกที่ใหญ่ที่สุดที่เกิดจากการรณรงค์ของโครงการ 

ปีที่ 5 พ.ศ. 2560 ”แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี” ในสภาพภูมิสังคมที่แตกต่าง โดยร่วมสร้าง ”เพลิน area” ที่แปลงเกษตรสาธิต คณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร, สร้างพื้นที่เรียนรู้ตามรอยศาสตร์พระราชาที่ไร่สุขกลางใจ จ.ราชบุรี, สร้างต้นแบบจากชาวบ้านสู่ความร่วมมือ 7 ภาคี ด้วยพลังเอามื้อสามัคคี โดยการรวมกลุ่มของชาวบ้านคริสตจักรนาเรียง จ.อุดรธานี และสร้างพื้นที่ต้นแบบหลุมขนมครกบนพื้นที่สูง “คนอยู่ ป่ายัง อย่างยั่งยืน” ที่ห้วยป่ากล้วย และศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ (บวร.) วัดพระบรมธาตุดอยผาส้ม อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่ 

ปีที่ 6 พ.ศ. 2561 “แตกตัวทั่วไทย เอามื้อสามัคคี“ จากลุ่มน้ำป่าสักสู่ลุ่มน้ำอื่น ๆ สร้างศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชากลางเมืองหลวง ที่ฐานธรรมพระรามเก้า กรุงเทพมหานคร สร้างหลุมขนมครกและเรียนรู้การทำสวนเกษตรอินทรีย์ ที่ จ.จันทบุรี ร่วมสร้าง “หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ชุมชนกสิกรรมวิถี” จ.สระบุรี และ
ร่วมสร้างพื้นที่เรียนรู้ หลุมขนมครกบนพื้นที่สูง เปลี่ยนผู้บุกรุกมาเป็นผู้พิทักษ์ ที่ จ.น่าน 

สุดท้ายกรอบการดำเนินงานในระยะที่ 3 พ.ศ. 2562 – 2564  คือ การขยายผลเชื่อมโยงทั้งระบบ เป้าหมายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย มี 7 ภาคีระดับชาติเข้าร่วม ได้แก่ ภาครัฐ วิชาการ เอกชน ประชาสังคม ประชาชน ศาสนา และสื่อมวลชน เพื่อยกระดับสู่การแข่งขัน วางรากฐานการพัฒนามนุษย์ การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ำ เชื่อมโยงทั้ง 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ 

ปีที่ 7 พ.ศ. 2562 จัดกิจกรรมขึ้นภายใต้แนวคิด “แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี” จากต้นน้ำป่าสักสู่การสร้างแม่ทัพแห่งลุ่มน้ำ โดยจัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีที่ จ.เลย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแม่น้ำป่าสัก และกิจกรรมทัศนศึกษาที่ จ.ลำปาง เป็นพื้นที่ที่เชฟรอนประเทศไทยร่วมกับศูนย์บูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการแก้ไขปัญหาประเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. และภาคีเครือข่าย ร่วมกันจัดทำโครงการวิจัย “การออกแบบเชิงภูมิสังคมไทย การติดตามและประเมินผลเพื่อบริหารจัดการน้ำชุมชนอย่างมีส่วนร่วม” เพื่อจัดเก็บข้อมูลที่ได้มีการออกแบบและปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ไปแล้ว ให้เป็นระบบและได้มาตรฐานทางวิชาการ โดยนำผลสรุปจากโครงการวิจัยมาประมวลผลในมิติต่าง ๆ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม และมิติทางสภาพแวดล้อม 

ปีที่ 8 พ.ศ. 2563 “แตกตัวทั่วไทย สานพลังสามัคคี” จัดกิจกรรมเอามื้อสามัคคีเพื่อฟื้นฟูและปกป้องพื้นที่ป่าต้นน้ำแจ่ม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลุ่มน้ำปิง จ.เชียงใหม่ กิจกรรม “สู้ทุกวิกฤต รอดพอดีด้วยศาสตร์พระราชา” การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรการป้องกัน เตือนภัย และฟื้นฟูชุมชนในภาวะวิกฤต หรือ CMS (Crisis Management Survival Camp) เพื่อสร้างความรู้ความตระหนักแก่ประชาชนในการเตรียมความพร้อมรับมือกับน้ำท่วม น้ำแล้ง โรคระบาด และสถานการณ์ฉุกเฉิน ณ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก โรงเรียนสงครามพิเศษ และศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (วัดใหม่เอราวัณ) จ.ลพบุรี และสร้าง “โคก หนอง นา ชัยภูมิโมเดล” ที่ศูนย์ปราชญ์ศาสตร์พอเพียง บอกเล่าก้าวตาม จ.ชัยภูมิ 

ปีที่ 9 พ.ศ. 2564  “9 ปีแห่งพลังสามัคคี ฟันฝ่าทุกวิกฤต สู่ทางรอดที่ยั่งยืน” มีทั้งแคมเปญ “รวมพลังสู้โควิด-19” กิจกรรมช่วยน้ำท่วมที่ จ.สระบุรี และกิจกรรมเอามื้อสามัคคีแปลง “เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถี” ที่ จ.นครราชสีมา และแปลง “โคกหนองนา โปรดปัน” จ.พระนครศรีอยุธยา รวมถึงการสร้างแหล่งความรู้และเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลความรู้ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัล




สรุปผลสำเร็จของการดำเนินงานโครงการตามรอยพ่อฯ 9 ปี ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนได้ดังนี้

การ “สร้างคน” มีผู้เข้าอบรมและดูงานในศูนย์ฯ ของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติตลอดระยะเวลาของการดำเนินงานโครงการ พื้นที่เครือข่ายลุ่มน้ำป่าสัก 489,984 คน พื้นที่เครือข่ายลุ่มน้ำอื่น ๆ 826,280 คน รวมทั้งสิ้น 1,316,264  คน 

การ “สร้างครู” สร้างวิทยากร และครูพาทำในเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ในลุ่มน้ำป่าสักรวม 124 คน นอกลุ่มน้ำป่าสัก 9 คน รวมทั้งสิ้น 133 คน 

การ “สร้างศูนย์เรียนรู้” มีศูนย์เรียนรู้ที่เกิดจากโครงการ 11 แห่ง อยู่ในลุ่มน้ำป่าสัก 8 แห่ง และนอกลุ่มน้ำ ป่าสัก 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก จ.ลพบุรี, ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (ห้วยกระแทก) “ป่าสักโมเดล” จ.ลพบุรี, บ้านพึ่งพาตนเอง “ฟากนา ฟาร์มสเตย์” จ.เลย, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ค่ายอดิศร จ.สระบุรี, ศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล หรือ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงพึ่งตนเองเอาชนะยาเสพติด จ.สระบุรี, ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ค่ายพ่อขุนผาเมือง จ.เพชรบูรณ์, ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชน หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ วัดใหม่เอราวัณ จ.ลพบุรี, ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติบ้านพะกอยวา จ.ตาก, ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทยคริสตจักรนาเรียง จ.อุดรธานี, และศูนย์กสิกรรมธรรมชาติสุรินทร์ จ.สุรินทร์ 

ทั้งนี้ ศูนย์เรียนรู้ดูงานทั้งหมดของเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติทั่วประเทศมีอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก 12 แห่ง และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ  58 แห่ง รวม 70 แห่ง

ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร  กล่าวเสริมว่า “จะเห็นได้ว่าการดำเนินโครงการประสบผลสำเร็จอย่างดีทั้งในแง่ปริมาณในการสร้างคน สร้างครู สร้างศูนย์เรียนรู้ ส่วนสัมฤทธิผลในเชิงคุณภาพนั้นได้ผลดีเกินคาด การแตกตัวขยายผลครอบคลุมลุ่มน้ำทั่วประเทศ สร้างแรงกระเพื่อมที่ทำให้ทุกภาคส่วนลุกขึ้นมาขับเคลื่อนพร้อมกันจนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เริ่มจากการสั่งการจากผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นให้ดำเนินการอบรมให้ความรู้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการเปิดศูนย์การเรียนรู้ฯ ภายในหน่วยทหาร และยังมีโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ ‘โคก หนอง นา โมเดล’ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย โรงเรียนบ้านโป่งเกตุ และโรงเรียนละหานทรายรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นโรงเรียนในเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงเรียนต้นแบบในโครงการอารยเกษตร สืบสาน รักษา ต่อยอดตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ‘โคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง’ ของกระทรวงศึกษาธิการอีกด้วย

“จากการดำเนินอย่างต่อเนื่อง 9 ปีของโครงการ ‘ตามรอยพ่อฯ’ ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การนำศาสตร์พระราชาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ มาประยุกต์ใช้ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเหมาะสม จะสามารถแก้ปัญหาทุกวิกฤตได้อย่างยั่งยืน” ดร.วิวัฒน์กล่าวสรุป

นายอาทิตย์ กริชพิพรรธ ผู้จัดการใหญ่ฝ่ายสนับสนุนธุรกิจ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวถึงการสรุปผลความสำเร็จว่า “เชฟรอนประเทศไทยได้ร่วมจัดทำโครงการมาตลอดระยะเวลา 9 ปี โดยที่ผ่านมาเราได้เห็นผลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพว่าโครงการได้เข้าไปช่วยในการให้ความรู้ สร้างตัวอย่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนเป็นล้าน ๆ ทั่วประเทศ ทั้งในด้านการอนุรักษ์และอยู่ร่วมกับป่า การนำศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาปรับใช้เพื่อการพึ่งพาตนเองได้ และยังสร้างแหล่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ทั้งผ่านการสร้างศูนย์เรียนรู้ 11 แห่งใน 7 จังหวัด รวมถึงการสร้างศูนย์กลางการแบ่งปันความรู้แบบออนไลน์แก่ผู้ที่สนใจ โดยเราได้สร้างเนื้อหาในสื่อออนไลน์มากมายที่เป็นประโยชน์ อาทิ การจัดทำบทเรียน ‘คู่มือสู่วิถีกสิกรรมธรรมชาติ’ ในรูปแบบบทความและวีดิทัศน์บอกเล่าเนื้อหาเกี่ยวกับศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฏีและปฏิบัติ รวม 14 บท เพื่อให้ผู้สนใจสามารถนำองค์ความรู้ไปลงมือทำเองได้ และยังได้สร้างเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ติดตามกว่า 246,900 คน เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโครงการด้วยช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ทั้งเวบไซต์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และไลน์




“พนักงานของเชฟรอนประเทศไทยเองกว่า 2 พันคน ก็ได้เข้าร่วมอบรมเรียนรู้ และร่วมกิจกรรมเอามื้อของโครงการอย่างต่อเนื่อง มีหลายคนที่นำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาไปลงมือทำที่บ้านเกิดเมื่อเกษียณจากการทำงานประจำ นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับองค์กรและพนักงานเชฟรอนที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการน้อมนำองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและเกษตรทฤษฎีใหม่ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มารณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนทั่วไป จนเกิดแรงบันดาลใจนำไปลงมือปฏิบัติ และได้ร่วมผลักดันขับเคลื่อนจนเกิดเป็นแรงกระเพื่อมอย่างมากมายในสังคมไทย” นายอาทิตย์กล่าวสรุป 

นอกจากนี้ มาตรวัดความสำเร็จในเชิงคุณภาพที่สำคัญอีกประการ คือ การสร้างคนมีใจที่ตอบโจทย์ “ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง” ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับเศรษฐกิจพอเพียงขั้นพื้นฐาน คือ การมีความรู้คู่คุณธรรมและการใช้ชีวิตอย่างพอกิน พอใช้ พออยู่ พอร่มเย็น และระดับเศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้า คือ บุญ, ทาน มีเหลือกินเหลือใช้ก็แบ่งปัน, เก็บ รักษาเคล็ดลับวิชาภูมิปัญญา, ขาย, ข่าย (กองกำลังเกษตรโยธิน) ซึ่งเกิดเป็นตัวอย่างบุคคลผู้ประสบความสำเร็จตาม “ทฤษฎีบันได 9 ขั้นสู่ความพอเพียง” ที่มานะบากบั่นลงมือทำจนทำให้หยุดท่วมหยุดแล้งในพื้นที่ของตัวเอง เกิดการพึ่งพาตัวเองได้ หลุดพ้นจากความยากจน และรอดจากวิกฤตด้วยศาสตร์พระราชา ได้แก่ พิรัลรัตน์ สุขแพทย์ (ผู้ใหญ่อ้อย) ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก จ.ลพบุรี, แสวง ศรีธรรมบุตร (ลุงแสวง) ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทยคริสตจักรนาเรียง จ.อุดรธานี, กรองกาญจน์ ศิราไพบูลย์พร (ต๋อย), และประวีณ ศิราไพบูลย์พร (ติ่ง) 2 พี่น้องชาวปกาเกอะญอ แห่งไร่ไฮ่เฮา ไร่ติ่งตะวัน จ.ลำปาง เป็นต้น





ทั้งนี้ งานสรุปผลจัดขึ้น ณ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ จ.สระบุรี พื้นที่ของนายบุญล้อม เต้าแก้ว ที่ร่วมกิจกรรมโครงการตั้งแต่ปีแรก โดยนอกจากการออกร้านของเครือข่าย ยังมีกิจกรรมฝึกอบรมหลักการออกแบบโคก หนอง นา เบื้องต้น และฐานการเรียนรู้ 4 ฐาน ได้แก่ ฐานคนมีน้ำยา สอนทำน้ำยาอเนกประสงค์ แชมพู, ฐานคนรักษ์แม่ธรณี สอนทำปุ๋ยแห้ง ปุ๋ยน้ำ, ฐานเพาะเห็ดตะกร้า, ฐานเพาะผัก นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ 9 คน 9 ปี ขึ้นเวทีร่วมเสวนา เพื่อยืนยันว่าศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้ปัญหาทุกวิกฤตได้จริง โดยแต่ละท่านได้กล่าวถึงเปลี่ยนแปลง หลังจากร่วมโครงการ รวมทั้งความตั้งใจสานต่อองค์ความรู้ศาสตร์พระราชา ดังนี้

บุญล้อม เต้าแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงสวนล้อมศรีรินทร์ อ.เมือง จ.สระบุรี ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 1 กล่าวว่า “ผมภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตามรอยพ่อฯ ภูมิใจที่ช่วยเหลือคนที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ จนสามารถพึ่งพาตัวเองได้ โครงการทำให้กระบวนการเรียนรู้สั้นลง ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์เหมือนเมื่อก่อน เพราะมีตัวอย่างความสำเร็จในภูมิสังคมที่แตกต่างกันไปในหลายพื้นที่ให้ศึกษาเรียนรู้ หน่วยงานมีการบูรณาการกันที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด คือ การพัฒนาคน ทำให้เกิดคนมีใจที่มาร่วมกันเป็นเครือข่ายเยอะมาก การสืบสานศาสตร์พระราชาไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมีกรณีศึกษาใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ต้องนำองค์ความรู้ไปปรับประยุกต์ใช้เพื่อให้พึ่งพาตัวเองได้ และเป็นแรงบันดาลใจให้คนในชุมชนทำตาม  การขับเคลื่อนจึงต้องทำต่อไปไม่รู้จบ”

ศิลา ม่วงงาม (ครูศิลา) ประธานศูนย์เรียนรู้ชุมชน บ้านหินโง่น อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 2 กล่าวว่า “จากเดิมที่มีการทำเกษตรแบบโคก หนอง นา แค่ 2 ราย ปัจจุบันมีคนทำเพิ่มขึ้นมากถึง 3-4 เท่าตัว สมัยก่อนเส้นทางระหว่างบ้านหินโง่นถึงบ้านสักง่า ระยะทาง 8 กิโลเมตรจะเต็มไปด้วยไร่ข้าวโพด แต่ปัจจุบันมีไม้ผลขึ้นเต็ม 2 ข้างทาง เช่น ทุเรียน เงาะ ส้มโอ เป็นต้น และชาวบ้านยังปลูกไม้ยืนต้นมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2558 ผมได้จัดกิจกรรมทำฝายชะลอน้ำ 89 สายถวายพ่อ ที่ห้วยส้านซึ่งเป็นลำห้วยที่ไหลผ่านหมู่บ้านหินโง่น แล้วไหลลงแม่น้ำป่าสัก ซึ่งตอนนี้ห้วยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ดีมากเลย ผมมีความตั้งใจจะสืบสานศาสตร์พระราชาต่อไป เพราะได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถแก้ปัญหาทุกวิกฤตได้อย่างยั่งยืน”

พิรัลรัตน์ สุขแพทย์ (ผู้ใหญ่อ้อย) ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาคืนป่าสัก ผู้ใหญ่บ้านชุมชนหมู่ 8 สามัคคี อ.เมือง จ.ลพบุรี ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 3 กล่าวว่า “รู้สึกภูมิใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้  เพราะการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องและการสนับสนุนอย่างจริงจังของโครงการ ทำให้การแตกตัวในการเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาและภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมาก ในการสืบสานศาสตร์พระราชาเรายังทำอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการรวบรวมเครือข่ายคนมีใจขับเคลื่อนเป็นระดับภาค และระดับประเทศต่อไป โดยจะทำแบบใกล้ชิดกว่าเดิม มีการประชุมวางแผนงานบ่อยขึ้น มีการลงพื้นที่ให้กำลังใจพี่น้องมากขึ้น มีการจัดทัพแบบกระชับองค์กร เพื่อเข้าถึงปัญหาและแก้ไขในทุกจุดอย่างรวดเร็ว มีการดึงคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยทำงานมากขึ้น เราจะสืบสานต่อไปให้รุ่น 2 รุ่น 3 เหมือนที่อาจารย์ยักษ์วางไว้ค่ะ”

พลเอกธนศักดิ์ เก่งถนอมม้า เลขานุการคณะทำงานศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา อดีตผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ อ.เมือง จ.ลพบุรี ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 4 กล่าวว่า “หลังจากที่ร่วมกิจกรรมกับโครงการตามรอยพ่อฯ แล้ว ได้เรียนรู้ศาสตร์พระราชามากขึ้น เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีเกิดขึ้นมากมาย ผมคิดว่าประชาชนเห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านและเดินตามสิ่งที่พระองค์ทรงสอนมากขึ้น โดยเฉพาะในยามเกิดโรคระบาดหรือเกิดวิกฤตภัยต่าง ๆ ประชาชนเห็นความสำคัญของความพอเพียงและนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น โดยส่วนตัวเชื่อมั่นในศาสตร์พระราชาตามแนวทางที่พระองค์สอนและได้ลงมือทำในพื้นที่ตนเอง 10 ไร่ นอกจากนี้ ยังมีความตั้งใจที่จะสืบสานงานของพระองค์ให้กับหน่วยงานที่ผมเองรับผิดชอบ คือ ศูนย์ศิลปาชีพเกาะเกิด ในฐานะเลขานุการ และตั้งใจนำความรู้ถ่ายทอดกับผู้คนที่สนใจในทุกโอกาส โดยการเป็นวิทยากรให้ความรู้ทั้งในเรื่องโคก หนอง นา และการป้องกันแก้ไขวิกฤตภัยต่าง ๆ นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการทำข้าวคุณภาพ โดยการถ่ายทอดความรู้และแนะนำให้กับเกษตรกรเรียนรู้ถึงขั้นตอนการทำนาที่สามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีคุณภาพ เป็นประโยชน์โดยตรงต่อชาวนา รวมทั้งสุขภาพของประชาชนที่ได้บริโภคข้าวที่มีคุณภาพด้วย”

แสวง ศรีธรรมบุตร (ลุงแสวง) ปราชญ์แห่งศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทยคริสตจักรนาเรียง อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 5 กล่าวว่า “หลังจากที่เข้าร่วมโครงการตามรอยพ่อฯ ก็มีคนมาขอดูพื้นที่ผม และเอากลับไปทำตามเยอะมาก หน่วยงานราชการก็มาจัดอบรมที่นี่ในฐานะเป็นศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบ ครั้งละ 100 คนบ้าง 50 คนบ้าง พอกลับไปเขาก็ลงมือทำเลย และเมื่อมีปัญหาก็จะโทร.กลับมาปรึกษาให้ช่วยแก้ปัญหาให้ เครือข่ายของคริสตจักรนาเรียงเองก็เข้มแข็งมากขึ้น มี 20 กว่าครัวเรือน ทำโคก หนอง นา ตามศาสตร์พระราชาทุกครัวเรือน จนเดี๋ยวนี้ไม่ต้องซื้อของกินของใช้ เอามารวมกันแลกเปลี่ยนกัน ความภูมิใจของผม คือ ได้เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนไม่เอางานเอาการ ให้กลับใจลุกขึ้นมาลงมือทำตามศาสตร์พระราชา หลังจากเขามาดูงานที่แปลงของผม จนปัจจุบันพื้นที่ที่เขาทำกลายเป็นศูนย์และเป็นครอบครัวต้นแบบ ตัวเขาเองก็กลายเป็นวิทยากรเผยแพร่องค์ความรู้ศาสตร์พระราชาไปแล้ว ผมรู้สึกดีใจและภูมิใจมากที่ตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ได้ จากนี้จะสืบสานงานของพ่อต่อไป ผมพูดกับครอบครัวว่า จะแบ่งปันเผื่อแผ่ คนไหนไม่มีที่ไป ตกงาน อยากเรียนรู้ศาสตร์พระราชาก็จะให้มาอยู่ที่นี่เลย ให้หากินอยู่ที่นี่ มาทำงานอยู่ที่นี่ พอตั้งหลักได้ก็ค่อยขยับขยาย”

บัณฑิต ฉิมชาติ (หัวหน้าฉิม) หัวหน้าอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อ.เวียงสา จ.น่าน ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 6 กล่าวว่า “ตอนนี้ชาวบ้านมีข้าวกินทั้งหมู่บ้าน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผมกลายป็นเทวดาของชาวบ้านไปแล้ว ทุกครั้งที่เจอผู้เฒ่าผู้แก่ก็จะเข้ามากอด ผมดีใจและตื้นตันใจมากครับที่ช่วยแก้ปัญหาปากท้องให้พวกเขาได้  ชาวบ้านลดการปลูกข้าวโพดลงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ได้รับพื้นที่ป่าของอุทยานคืนมา 3,000 กว่าไร่ในเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนชาวบ้านต้องเตรียมเงินไว้ปีละประมาณ 5,000 บาท เพื่อซื้อข้าวกิน แต่ปัจจุบันพื้นที่ทำกิน 3-5 ไร่ของพวกเขาก็สามารถหล่อเลี้ยงครอบครัวได้ มีข้าว มีปลา มีผักกิน ไม่ต้องเสียไปเงินซื้อ ชาวบ้านพึ่งพาตัวเองได้ เมื่อก่อนชาวบ้านต้องซื้อข้าวหัก ๆ กิน เดี๋ยวนี้ชาวบ้านปลูกข้าวพันธุ์ภูฟ้าซึ่งเป็นข้าวขาวที่สวยมากไว้กินเอง เหลือก็แบ่งปันกันในชุมชน ชาวบ้านหลุดพ้นจากความยากจนอดอยาก”

กรองกาญจน์ ศิราไพบูลย์พร (ต๋อย) เจ้าของพื้นที่ “ไร่ไฮ่เฮา” อ.งาว จ.ลำปางตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 7 กล่าวว่า “ปัจจุบันพื้นที่บ้านแม่ฮ่าง จ.ลำปาง มีครัวเรือนที่หันมาทำโคก หนอง นา บนพื้นที่สูงเพิ่มขึ้นเป็น 30 กว่าแปลง ทำกันจริงจังมาก มีการเวียนกันเอามื้อทุก ๆ สัปดาห์อย่างต่อเนื่อง มีการทำแท็งก์น้ำในแต่ละจุดของแต่ละแปลง เพราะเป็นพื้นที่สูงการจัดการน้ำยาก ทุกแปลงจึงจำเป็นต้องมีแท็งก์น้ำเพื่อกักเก็บน้ำไว้เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน และเพื่อการเกษตร และตอนนี้ขยับมาทำพื้นที่ที่สุโขทัยด้วย ซึ่งจะเป็นการขยายผลสู่ลุ่มน้ำยม มีพื้นที่ประมาณ 10 ไร่ รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตามรอยพ่อฯ ที่สร้างประโยชน์มาก มีการประชาสัมพันธ์และทำให้คนได้รับรู้ข้อมูล ข่าวสาร และคนที่สนใจสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ คือ การได้เครือข่ายที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เป็นแรงเสริมเป็นกำลังใจให้กันและกัน ส่วนตัวแล้วก็จะยังสืบสานงานของพ่อต่อไป ทั้งที่เป็นพื้นที่ของตัวเองและการร่วมเป็นเครือข่ายสนับสนุนและส่งต่อองค์ความรู้ศาสตร์พระราชา เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ลงมือทำตามต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

ปราณี ชัยทวีพรสุข ประธานกรรมการศูนย์ปราชญ์ศาสตร์พอเพียง บอกเล่าก้าวตาม อ.เมือง จ.ชัยภูมิ เจ้าของ "สวนฝันสานสุข" บ้านเสี้ยวน้อยพัฒนา อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 8 กล่าวว่า “หลังจากโครงการมาจัดกิจกรรมเอามื้อที่ศูนย์ปราชญ์ฯ ทำให้ปราชญ์ชาวบ้านในชัยภูมิเข้ามาร่วมเป็นเครือข่ายมากขึ้น จึงมีการค้นหาแกนนำที่เป็นจุดแข็งของแต่ละอำเภอ เพื่อเรียกคนที่มีใจเดียวกันมาร่วมขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก โดยที่ศูนย์ปราชญ์ฯ เองมีการวางแผนเอามื้อเดือนละครั้ง เครือข่ายก็จะไปปันแรงกัน ก่อนโควิด-19 ระบาดมีการจัดอบรมและดูงานอยู่เรื่อย ๆ รวมแล้วฝึกอบรมไปประมาณ 6 รุ่น จำนวน 500 กว่าคน ในช่วงโควิด-19 ระบาดได้ไปเป็นจิตอาสาทำหน้าที่พยาบาลสนาม ฉีดวัคซีน เลยถือโอกาสรวมพลังหมอศูนย์บาทของชัยภูมิ ต้มน้ำสมุนไพร 7 นางฟ้า สมุนไพรสุมยา แจกคนป่วยที่โรงพยาบาลสนามและที่ศูนย์สุขภาพชุมชน ตั้งใจจะสืบสานศาสตร์พระราชาต่อไป เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าศาสตร์พระราชาแก้ปัญหาได้ทุกวิกฤตจริง พื้นที่ของตัวเองมี 18 ไร่ ทำโคก หนอง นา ไว้นานแล้ว มีต้นไม้เยอะ มีน้ำเหลือเฟือ ลูกชายเป็นคนรุ่นใหม่เคยบ่นว่าแม่อายุเยอะแล้วกลับมาเหนื่อยอะไรตรงนี้ แต่ต่อมาหลังจากเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ที่แม่ทำ ก็มากระซิบให้แม่ทำต่อไป ขอทำงานเก็บเงินซักพัก แล้วจะกลับมาสานต่อ ฟังแล้วชื่นใจมากเลยที่คนรุ่นใหม่เริ่มเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำค่ะ”

สุณิตา เหวนอก (นวล) เจ้าของพื้นที่เสงี่ยมคำกสิกรรมวิถี อ.จักราช จ.นครราชสีมา ตัวแทนเครือข่ายคนมีใจ ปี 9 พ.ศ. กล่าวว่า “นวลเป็นคนบ้างานบ้าเรียน เวลาที่เหลือ คือ อยู่ในสวน เพราะอยากให้เห็นผลของการเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ เนื่องจากที่บ้านยังไม่เห็นด้วยอยู่ นวลจึงใช้วิธีสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ด้วยหวังว่าครอบครัวจะได้เห็นภาพ ซึ่งปรากฏว่าไม่ใช่เพียงครอบครัวที่เห็น แต่เพื่อนในโซเชียลก็ได้เห็นและเกิดแรงบันดาลใจลงมือทำตามกันหลายคน  เครือข่ายในพื้นที่ใกล้เคียงก็มีการคุยกันในไลน์ ก็ขอมาดูพื้นที่เรา แล้วเกิดพลังใจกลับไปลงมือทำ เขาบอกว่าขนาดนวลเองเป็นคนมีเวลาน้อย ยังสามารถทำได้เลย รู้สึกภูมิใจที่ความตั้งใจของเรา เป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลาย ๆ คน ลุกขึ้นมาทำตาม ในการสืบสานแนวคิดศาสตร์พระราชาจะยังทำอย่างต่อเนื่อง มีความตั้งใจอยากส่งต่อองค์ความรู้ให้เด็ก ๆ ในชุมชน ให้ได้มาเรียนรู้ มาทำกิจกรรมแบบค่อย ๆ ซึมซับ เพื่อเป็นการบ่มเพาะแนวคิดและองค์ความรู้ศาสตร์พระราชาให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยค่ะ ไม่อยากนิยามตัวเองว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จในการเดินตามรอยพ่อ เพราะคิดว่าคุณสมบัติยังไม่ถึงระดับนั้น แต่อยากจะให้เรียกว่าเป็นหนึ่งตัวอย่างของคนที่มุ่งมั่นตั้งใจทำมากกว่าค่ะ”



ผู้ที่สนใจติดตามชมการสรุปผลการดำเนินโครงการ
“พลังคนสร้างสรรค์โลก รวมพลังตามรอยพ่อของแผ่นดิน” (ตามรอยพ่อฯ) ได้ในรายการ “เจาะใจ”
วันที่ 2,9 เมษายน 2565 ทางช่อง MCOT HD เวลา 21.40 – 22.35 น.
ติดตามเนื้อหาโครงการได้ทาง www.facebook.com/ajourneyinspiredbytheking
หรือดูรายละเอียดที่ https://ajourneyinspiredbytheking.org


06 มีนาคม 2565

มีนาแล้ว มา ว้าว! ซัมเมอร์ แอ่วเจียงฮาย..ม่วนขนาด ที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น

มีนาแล้ว มา ว้าว ! ซัมเมอร์ แอ่วเจียงฮาย...ม่วนขนาด ที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น  พบกับห้องดีลักซ์ 1,299.- บาทสุทธิ ไม่รวมอาหารเช้า, ห้องดีลักซ์ 1,599.- บาทสุทธิ รวมอาหารเช้า (สำหรับ 2 ท่าน), ฟรีอัพเกรดห้องพักเป็นห้องสวีท  พร้อมรับส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่ม 20% (ไม่รวมเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์) ,ส่วนลดค่าบริการซัก-รีด 15%, จองได้ตั้งแต่วันนี้ - 30 เม.ย. 2565  และ เข้าพักได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 ต.ค. 2565

ช่องทางการจอง 👉🏻 https://bit.ly/3lolQP8

www.heritagechaingrai.com

  


บทความพิเศษโดย ดร. กมล รอดคล้าย ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

Learning Management System ( LMS)ระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ใหม่สำหรับ กศน. ทั่วประเทศ

          ปัจจุบันระบบการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ได้รับความนิยมอย่างสูงเกือบทุกองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและในภาคส่วนของการศึกษา        การจัดการเรียนรู้ดังกล่าว เป็นการพัฒนาบทเรียนโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา โดยเนื้อหาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน ต้องมีเทคนิควิธีการออกแบบที่เหมาะสมให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้  กศน.ได้มีการพัฒนาการเรียนการสอนแบบออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ซอฟต์แวร์มาตรฐาน อาทิ Google Classroom , Zoom , Google Meet ฯลฯ ซึ่งสำนักงาน กศน. จังหวัดต่างๆได้นำไปประยุกต์ใช้และพัฒนาเพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นที่และวัตถุประสงค์ในการจัด จึงอาจกล่าวได้ว่าระบบการศึกษาแบบออนไลน์ของ กศน. มีการดำเนินการครบทุกพื้นที่ ทุกหน่วยงาน และทุกระดับ

          อย่างไรก็ตาม เพื่อให้กระบวนการจัดการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานใกล้เคียงกันในทุกพื้นที่ของประเทศ บุคลากรของ กศน.ได้มีการพัฒนาระบบการจัดการเรียนการสอนแบบ learning Management System (LMS) ขึ้นโดยครอบคลุมทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาแบบออนไลน์ และได้มีการอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรต้นแบบรวมทั้งครูผู้สอนทุกคนในสำนักงาน กศน. กทม. เรียบร้อยเเล้ว นอกจากนี้กำลังเตรียมการอบรมและมอบระบบให้สถาบันการศึกษาทางไกลและ สำนักงาน กศน. 77 จังหวัดนำไปประยุกต์ใช้ต่อไป

          สำหรับระบบที่ใช้ จะทำหน้าที่เหมือนกับเป็นโรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยประกอบด้วยระบบจัดการด้านต่างๆที่สำคัญ 3 ระบบคือ

          1) ระบบจัดการหลักสูตร เป็นส่วนของการจัดการเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอน เป็นหน้าที่ของครูผู้สอนที่จะเป็นผู้ทำระบบจัดการหลักสูตร ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ e - learning ประกอบด้วยระบบย่อยสองระบบคือ

                1.1 ระบบจัดการบทเรียน เป็นระบบจัดทำบทเรียนโดยการศึกษาวิเคราะห์เนื้อหาจากหลักสูตร กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ จัดทำสื่อ จัดหาแหล่งข้อมูลแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญและจำเป็น รวมถึงการตกแต่งหน้า web page ให้จูงใจในการเรียน 

               1.2 ระบบการวัดและประเมินความรู้ เป็นระบบการจัดทำแบบฝึกหัด แบบทดสอบสำหรับผู้เรียน เพื่อฝึกทักษะความสามารถในการคิด รวมถึงเป็นการวัดความรู้ความคิดผู้เรียนที่ได้เรียนรู้จากบทเรียนเป็นการประเมินศักยภาพในการเรียนรู้ของผู้เรียนและผู้เรียนจะทราบผลการทดสอบทันทีหลังจากสอบเสร็จ หรืออาจมีการเฉลยคำตอบหรือวิธีการอื่นๆแล้วแต่การออกแบบระบบของผู้สอน

          2) ระบบส่งเสริมการเรียนรู้ เป็นระบบช่วยเหลือในการจัดทำบทเรียนของครูผู้สอนและช่วยในการเรียนรู้ของผู้เรียน ประกอบด้วยโปรแกรมจัดทำบทเรียนที่ครูผู้สอนสามารถบรรจุข้อมูล เนื้อหา คำสั่งกิจกรรม และข้อมูลอื่นๆลงในระบบได้โดยง่าย รวมถึงการใส่ภาพประกอบ ภาพเคลื่อนไหว วิดีโอหรือไฟล์ข้อมูลต่างๆ ซึ่งผู้เรียนสามารถสร้างเนื้อหาตามที่ครูผู้สอนกำหนดกิจกรรมไว้ได้ด้วยวิธีการเดียวกับครูผู้สอน นอกจากนี้ระบบส่งเสริมการเรียนรู้ ยังมีระบบการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนได้เช่น กระดานข่าว ( web board )กระดานสนทนา (chat) จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ( email) หรือการติดต่อผ่านกล้องวิดีโอ( web cam) ในกรณีที่ใช้เครือข่ายสัญญาณความเร็วสูง

          3) ระบบจัดการข้อมูล เป็นระบบจัดการด้านฐานข้อมูล ซึ่งจะเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆของครูผู้สอน ข้อมูลของผู้เรียน สถิติต่างๆ เช่น สถิติการเข้าเรียนวันที่ เวลา ระยะเวลา ข้อมูลส่วนตัว รหัสผ่าน สถิติการทำแบบฝึกหัด แบบทดสอบและคะแนนที่ได้เป็นต้น

          ในส่วนของคุณสมบัติเด่น ของระบบ LMS ที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนของ กศน. ทั่วประเทศในครั้งนี้คือ

          1. เป็นการพัฒนาจาก Open Source พัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง ฟรี ไม่ติดเรื่องลิขสิทธิ์  ซอฟต์แวร์ที่มีความสามารถสูง มีโมดูลกิจกรรมใช้งานจำนวนมาก ใช้สนับสนุนการเรียนการสอนโดยสามารถใช้เป็นสื่อหลัก และสื่อเสริม 

          2. รองรับมาตรฐาน e-learning กลาง scorm ( กลไกรักษามาตรฐานอีเลินนิ่ง)

          3.สามารถติดตั้งได้ทุกระบบปฏิบัติการ ใช้งานง่ายทั้ง สำหรับผู้ดูแลระบบ ผู้สอน และผู้เรียน มีเครื่องมือที่ใช้สร้างแหล่งความรู้และกิจกรรมแบบออนไลน์ครบถ้วน 

          4. รองรับการใช้งานมากกว่า 60 ภาษา รวมทั้งภาษาไทย

          จากการจัดอบรมระบบ LMS ให้กับครูผู้สอนในสำนักงานกศน. กทม.ไปแล้วได้เห็นผลเป็นที่ประจักษ์ว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นระบบซึ่งพัฒนาขึ้นจากบุคลากรภายในของ กศน. เองโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ภายใต้ความเข้าใจถึงบริบทและภารกิจของกศน. โดยตรง จากนี้ไปจะได้มีการขยายผลไปยังสำนักงาน กศน. จังหวัด 77 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งครูผู้สอนของสถาบันการศึกษาทางไกล ทั้งนี้เบื้องต้นจะได้มีการคัดเลือกบุคลากรเข้ารับการอบรมให้เข้าใจเเละสามารถใช้ระบบได้ จังหวัดละประมาณ 10 คน และเมื่อผ่านการอบรมพัฒนาแล้ว ผู้ผ่านการอบรมจะได้มีการนำไปขยายผลให้กับครูในจังหวัดของตนต่อไป

           เชื่อมั่นได้ว่าระบบการสอนแบบ LMS จะเป็นมิติใหม่ของการจัดการศึกษาของ กศน. ช่วยพัฒนาศักยภาพครู ด้านทักษะและความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล(Digital Literacy) และเป็นการเสริมความรู้เพื่อให้สามารถใช้โซเชียลมีเดียและแอพพลิเคชั่นต่างๆในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพในอนาคต

คลายกังวลเรื่องปัญหาการกินของลูกน้อย จินนี่ย์ (JINNY)ตัวช่วยพ่อแม่ยุคใหม่ สารอาหารครบถ้วน ตามหลักโภชนาการ

ปัญหาการกิน ยังเป็นหนึ่งในปัญหาที่คุณพ่อคุณแม่กังวลโดยเฉพาะเด็กเล็กในช่วงปฐมวัย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการเลือกกิน การปฏิเสธการรับประทานอาหารมื้อหลัก ซึ่งอาจส่งผลต่อโภชนาการที่เป็นพื้นฐานของการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ดังนั้นหลายบ้านจึงมีกลเม็ดเคล็ดไม่ลับแตกต่างกันไปในการช่วยให้ลูกน้อยรับประทานอาหารมากขึ้น ด้วยการรังสรรค์เมนูอาหารใหม่ ๆ ปรุงแต่งรสชาติให้อร่อยมากยิ่งขึ้น จินนี่ย์ (JINNY) ผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็ก จึงเป็นหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่เลือกใช้ ช่วยให้การปรุงอาหารเป็นเรื่องง่าย มั่นใจยิ่งขึ้นด้วยขั้นตอนการผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100% ปราศจากผงชูรสและวัตถุกันเสีย สะดวกปลอดภัย ครบถ้วนด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์ ให้ทุกมื้ออาหารเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับครอบครัว  

ยศสรัล แต้มคงคา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม.เอส.กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “ในวันที่ลูกสาว                    ‘น้องไอย’ เริ่มมีพฤติกรรมเลือกรับประทานอาหารและทานยากในแต่ละมื้อ ผมลองหาข้อมูลและพบว่า
เป็นหนึ่งปัญหาใหญ่ของหลายครอบครัว ความคิดที่จะทำผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นตัวช่วยให้ลูกทานอาหารง่ายขึ้นและครบถ้วนด้วยสารอาหารจึงผุดขึ้นมา โดยใช้ประสบการณ์จากธุรกิจเกี่ยวกับอาหารของครอบครัว คิดค้นและพัฒนาเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็กตามช่วงวัย ผลิตภัณฑ์ จินนี่ย์ (JINNY) จึงกำเนิดขึ้นเพื่อเจาะตลาดคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่มักประสบปัญหาการทานอาหารของลูก โดยเฉพาะเด็กในวัย 6 เดือนที่เปลี่ยนจากการดื่มนมสู่อาหารมื้อแรก พ่อแม่ต่างกังวลกับเมนูอาหาร อยากให้ลูกได้รับสารอาหารเหมาะสมตามวัย และเมื่อถึงวัย 1 ขวบเด็กจะเริ่มคุ้นชินกับรสชาติ บางรายมีพฤติกรรมในการต่อต้านอาหารบางประเภท เช่น ไม่ทานผัก ไม่เคี้ยวข้าว เลือกทานและทานยากมากขึ้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเริ่มปรุงแต่งรสชาติอาหารให้ลูกบ้าง แต่เครื่องปรุงที่มีอยู่ตามท้องตลาดทั่วไปอาจจะมีส่วนผสมที่มีสารปรุงแต่งที่ไม่เหมาะสมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว จินนี่ย์ (JINNY) นับเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ 100% ไม่ใส่ผงชูรส ไม่มีวัตถุกันเสีย ไม่แต่งสีและกลิ่น ผลิตจากถั่วเหลืองอินทรีย์ และโซเดียมต่ำ สะดวกปลอดภัย ครบถ้วนด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์ ช่วยให้ลูกน้อยทานอาหารได้มากยิ่งขึ้น มีสุขภาพที่ดีเหมาะสมตามวัย จินนี่ย์ (JINNY) มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลาย ได้แก่ ซอสผัด ซอสปรุงรส และซอสเทอริยากิ ช่วยเสริมรสให้อาหารกลมกล่อม หอมอร่อย ข้าวผักรวม 3 สี และพาสต้าผสมผักหลากสีสัน ที่อุดมไปด้วยวิตามิน รวมทั้งแซลมอนหยอง 3 รสชาติ ให้มื้ออาหารของลูกน้อยอร่อยมากยิ่งขึ้น” 
ยศสรัล แต้มคงคา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ม.เอส.กรุ๊ป จำกัด


ผศ. นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์เจ้าของเพจเฟสบุ๊ค "เลี้ยงลูกตามใจหมอ" กล่าวถึงปัญหาพฤติกรรมการกินตั้งแต่การเริ่มอาหารมื้อแรกไว้ว่า “อาหารตามวัยที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะกินเพื่ออิ่มและเติบโตได้ รวมถึงยังได้เรียนรู้อาหารชนิดต่าง ๆ ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ มองเห็น ได้กลิ่น ได้สัมผัส ได้เคี้ยวและลิ้มรส รวมถึงได้ยินเสียงการเคี้ยวของคนในครอบครัวบนโต๊ะอาหารร่วมกัน จะช่วยให้เด็กเปิดรับอาหารได้มากขึ้นและกล้าที่จะกิน รวมถึงสร้างพฤติกรรมเลียนแบบการกินของผู้ใหญ่บนโต๊ะอาหารที่เขาได้เห็นอีกด้วย ซึ่งอาหารตามวัยที่ดี เริ่มได้เมื่ออายุราว 6 เดือนเพราะก่อนหน้านั้นเด็กจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอแล้วจากนมแม่ สามารถเริ่มอาหารได้ทุกชนิดโดยแบ่งออกเป็น 4 หมวดหลักได้แก่ ข้าว เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ และไขมัน โดยเริ่มอาหาร 1 มื้อ เพิ่มเป็น 2 มื้อ เมื่ออายุราว 7-8 เดือน และ 3 มื้อเมื่ออายุ 9-12 เดือน ควรจัดให้กินเป็นเวลาและกินร่วมกับผู้ใหญ่ พออายุ 1 ขวบ คุณพ่อคุณแม่สามารถปรุงอาหารได้อ่อน ๆ เพื่อให้มีรสชาติมากขึ้นได้ การวางพื้นฐานของพฤติกรรมการกินที่ดี มีวินัย กินเป็นเวลา ไม่กินจุกจิก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยเปิดรับความหลากหลายของชนิดอาหาร และทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้สมวัย" 

ผศ. นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์เจ้าของเพจเฟสบุ๊ค "เลี้ยงลูกตามใจหมอ" 

ด้าน โอบอุ้ม-รัสรินทร์ ชุมสาย ณ อยุธยา เซเลบสาวคนดัง ตัวแทนคุณแม่ยุคใหม่ กล่าวว่า “โอบอุ้มทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการดูแลลูกชายน้องไอออนวัย 3 ขวบด้วยตัวเองค่ะ ดังนั้นการเข้าครัวเพื่อปรุงอาหารให้ลูกถือเป็นสิ่งสำคัญ เน้นเสริมสร้างโภชนาการให้ครบ 5 หมู่ สะอาดและถูกหลักอนามัย จินนี่ย์ (JINNY) คือแบรนด์ที่โอบอุ้มไว้วางใจ และเป็นตัวช่วยที่ดีในทุกมื้ออาหารของลูกค่ะ เพราะนอกจากจะปลอดภัย มีมาตรฐานรับรอง และมีรสชาติอร่อยถูกปากน้องไอออนแล้ว ยังช่วยให้น้องทานอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย เมนูประจำที่ทำบ่อยและอยากแนะนำ คือ ข้าวไก่ย่างค่ะ แค่นำจินนี่ย์ซอสผัดอเนกประสงค์ผสมปลาทูน่าญี่ปุ่น 2 ช้อนโต๊ะผสมคลุกเคล้ากับเนื้อไก่เท่านั้น และแช่ตู้เย็นหมักไว้ประมาณ 1 ชม. นำไก่มาย่างให้สุกแล้ววางบนข้าวผักรวม แค่นี้ก็พร้อมเสริฟแล้วค่ะ เรียกว่าเป็นเมนูโปรดของน้องไอออน ทำง่ายเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่อย่างอุ้มมากค่ะ”  

อบอุ้ม-รัสรินทร์ ชุมสาย ณ อยุธยา เซเลบสาวคนดัง

ตลอดระยะเวลา 3 ปี แบรนด์ จินนี่ย์ (JINNY) ได้รับการตอบรับที่ดี มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง              คุณพ่อคุณแม่ไว้วางใจเลือกให้ จินนี่ย์ (JINNY) เป็นเครื่องปรุงอาหารประจำครัว สำหรับการเปิดตัวในช่วงที่ผ่านมา เน้นทำการตลาดสื่อสารแบรนด์ในรูปแบบออนไลน์ ทั้งเว็บไซด์และเฟซบุ๊กแฟนเพจ Jinny 4kids ซึ่งมีช่องทางการจัดจำหน่ายทางออนไลน์เป็นหลัก ได้แก่ www.jinny4kids.com , www.facebook.com/jinny4kids ,Jinny4kids Official Store บน Lazada, Shopee, ร้านสินค้าแม่และเด็ก และผู้แทนจำหน่ายทั่วประเทศ สำหรับในปีนี้มีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายไปที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศในโซนเอเชียเป็นต้น

ครูโอ๊ะ-ทปษ.ชัยรัตน์ คนเมืองชาละวัน ขน ชุดตรวจ ATK-หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์-อุปกรณ์กีฬา-ทุนการศึกษา

สร้างความปลอดภัยและโอกาสทางการศึกษา แก่ผู้เรียน-สถานศึกษาในจังหวัดพิจิตร

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ดร.ชัยรัตน์ จำนงค์การ ที่ปรึกษา รมช.ศธ. ร่วมพิธีมอบชุดตรวจ ATK หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ พร้อมด้วยอุปกรณ์กีฬาและทุนการศึกษา เพื่อสร้างความปลอดภัยในการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 พร้อมสร้างโอกาสทางการศึกษา แก่ผู้เรียนในโรงเรียนชุมชนวังหลุมวิทยาคาร ตลอดจนโรงเรียนและสถานศึกษาสังกัด สพฐ. และ กศน. จำนวน 40 แห่ง โดยมีพระครูพิสิทธิ์ธรรโมภาส ดร. เจ้าอาวาสวัดต้นชุมแสง ซึ่งเป็นศิษย์เก่า กศน. และพระอธิการธงชัย ฉันทธัมโม เจ้าอาวาสวัดราฎร์เจริญ ตลอดจนนายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร ว่าที่ร้อยตรีฉัตรชัย บัวกุล รักษาราชการแทนนายอำเภอทับคล้อ นายธนู อักษร ศึกษาธิการจังหวัดพิจิตร นายจันทบูรณ์ เขตการ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) พิจิตร เขต 2 ว่าที่พันตรีดำริห์ ติยะวัฒน์ รักษาการ ผอ.กศน.จังหวัดพิจิตร พร้อมด้วย ผอ.กศน.อำเภอในจังหวัดพิจิตร นางเกศรา ศรีบุญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) วังหลุม นางนัยนา จันทร์เกิด รองนายก อบต.วังหลุม นางพรนิภา จำนงค์การ นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ รพ.สต.วังหลุม และนายวิรัตน์ เกตุเรือง ผอ.โรงเรียนชุมชนวังหลุมวิทยาคาร ครู นักเรียน และประชาชน ร่วมพิธีด้วย ณ โรงเรียนชุมชนวังหลุมวิทยาคาร อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

รมช.ศึกษาธิการ กล่าวแสดงความชื่นชม ผอ.สพป.พิจิตร เขต 2 ที่ปรับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนให้เข้ากับสภาวะการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่รับผิดชอบทั้ง 6 อำเภอ เป็นอย่างดี ในรูปแบบการเรียนการสอนรูปแบบผสมผสาน แบบออนไลน์และออนไซต์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในกลุ่มนักเรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา รวมถึงผู้ปกครองของนักเรียนและประชาชนในพื้นที่ 

โดยในวันนี้ ครูโอ๊ะและที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดการศึกษาในโรงเรียนและสถานศึกษา จึงได้นำชุดตรวจ ATK พร้อมหน้ากากอนามัย มามอบให้กับสถานศึกษาทั้ง 40 แห่ง แบ่งเป็น โรงเรียนประถมศึกษา สังกัด สพป.พิจิตร เขต 2 รวม 27 แห่ง และสถานศึกษาสังกัด กศน. รวม 13 แห่ง ที่จะเป็นด่านแรกในการสร้างความปลอดภัยและมั่นใจในการส่งบุตรหลานมาโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วย ชุดตรวจ ATK จำนวน 800 ชิ้น หน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ จำนวน 4,609 หลอด พร้อมทุนการศึกษาอีกกว่า 20 ทุน รวมจำนวน 20,000 บาท ตลอดจนอุปกรณ์กีฬาฟุตบอลและฟุตบอลอนุบาล วอลเลย์บอล และตะกร้อ ตลอดจนชุดกีฬา แก่โรงเรียนชุมชนวังหลุมวิทยาคาร และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านวังหลุม ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นการทำงานตามสไตล์ครูโอ๊ะ เพื่อทลายทุกข้อจำกัดด้านการจัดการศึกษา แม้มิใช่หน่วยงานในกำกับดูแล แต่ก็พร้อมบูรณาการการทำงานร่วมกันกับภาคการศึกษา เครือข่ายภาคเอกชน การเมืองการปกครอง และชุมชน เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา และการเรียนรู้กับคนไทยทุกช่วงวัย  





ในโอกาสนี้ รมช.ศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “บ้านต้นไม้เพื่อน้อง” โดยมี ดร.ชัยรัตน์ จำนงค์การ ที่ปรึกษา รมช.ศึกษาธิการ ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนวังหลุมวิทยาคาร ครู และนักเรียน เข้าร่วม โดยบ้านต้นไม้เพื่อน้อง เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของโรงเรียน ภาคเอกชน และชุมชน โดยการนำของที่ปรึกษา รมช.ศธ. ซึ่งช่วยสอนให้นักเรียนได้รู้จักการดูแลรักษาต้นไม้ใหญ่ ให้เป็นทรัพยากรอยู่คู่ชุมชน และไม่เพียงแต่ให้ร่มเงาหรือเป็นที่ปีนป่ายของเด็ก ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะกับออกกำลังกายด้วย

04 มีนาคม 2565

๋JCB พลิกกลยุทธ์โชว์ผลงาน ยอดขายเติบโตกว่า16% พร้อมเผยพฤติกรรมการใช้บัตรเปลี่ยนไปเน้นไร้การสัมผัสมากขึ้น

เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 65 บริษัท เจซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จํากัด (บัตรเครดิต JCB) ผู้นําด้านบัตรเครดิตในประเทศไทย แถลงโชว์ผลงานปี 2021 ยอดขายเติบโตสูงกว่า 16% แสดงออกถึงการปรับตัวและปรับกลยุทธ์เท่าทันกับสถานการณ์ และเพื่อให้ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต JCBได้รับข่าวสาร JCB ได้มีการเปิดตัว JCB Thailand LINE Official Account พร้อมทั้งโปรโมชั่นที่พิเศษโดยเฉพาะ ที่บอกเลยว่าแคมเปญในครั้งนี้ได้รับกระแสตอบรับจากผู้ใช้บัตรเครดิต JCB อย่างล้นหลามเลยทีเดียว

ถือเป็นกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องเมื่อ บริษัท เจซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)จํากัด (บัตรเครดิต JCB) ผู้นําด้านบัตรเครดิตในประเทศไทย ได้เผยถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตช่วงก่อนหน้าสถานการณ์ Covid-19 ว่า หมวด “ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และการใช้จ่ายเชิงสัมผัส” ยังคงเป็ น 3 หมวด ลําดับต้น แต่ช่วงระหว่างการระบาดของโควิด-19 นั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความต้องการที่ลดความเสี่ยงในการใช้ชีวิตนอกบ้าน ทําให้ลูกค้าใช้เวลาส่วนใหญ่ หรือเวลาเกือบทั้งหมดอยู่ที่บ้านกับครอบครัว ซึ่งในปัจจุบัน ลูกค้าเลือกใช้การซือของออนไลน์ การจัดส่งอาหาร และกิจกรรมการชําระเงินในรูปแบบที่ไม่ต้องสัมผัส หรือไร้การสัมผัสมากยิ่งขึ้น

โดยคุณเรียว โมริตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจซีบี อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า ปัจจุบันด้วยข้อจํากัดด้านการเดินทางระหว่างประเทศ จึงทําให้เราเน้นการทําการตลาดในต่างประเทศน้อยลง และมีการวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์มามุ่งเน้นการทําโปรโมชั่นเพิ่มเติมภายในประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของหมวด ช้อปปิ้งออนไลน์ การส่งอาหาร บริการการชําระเงินแบบไร้สัมผัส และส่วนอื่นๆ แทน

จากตัวเลขจะพบว่า ปี 2018-2019 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนกว่า 55 % แต่ด้วยผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ทําให้ยอดขายในปี 2020 ลดลงไป 7% เมื่อเทียบกันกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ทาง JCB ได้มีการปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมและโดนใจกับกลุ่มลูกค้าในไทย ตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมของผู้บริโภคและลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต JCB จึงทําให้ยอดขายกลับมาเพิ่มขึ้นกว่า 16% ซึ่งกลับมามากกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19

สําหรับด้านจํานวนผู้ถือบัตรในปี 2021 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นกว่า 8 % ถึงแม้จะอยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด แต่อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นนั้นยังเป็นอัตราที่ช้ากว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ในส่วนของยอดขายมีปริมาณลดลงในปี 2020 ด้วยสถานการณ์โควิด แต่หลังจากนั้นได้มีการดีดตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงกว่าปี 2019 ทําให้ยอดของการใช้จ่ายต่อบัตรนั้นไม่เปลี่ยนแปลงมาก

คุณเรียว โมริตะ เผยว่า “ทางด้านความสนใจของลูกค้าบัตรเครดิต JCB ช่วงก่อนหน้าโควิด-19กับระหว่างสถานการณ์โควิด ความสนใจของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างมากในส่วนของการรับประทานอาหารที่ร้าน ปรับเปลี่ยนเป็นการทำกิจกรรมอื่น ๆ ทดแทน เช่น การช้อปปิ้งออนไลน์ ช้อปปิ้งที่ซุเปอร์มาร์เก็ตและการเลือกซื้อของแต่งบ้าน อย่างไรก็ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เลือกใช้โดยรวมยังคงมีส่วนคล้ายกับยุคก่อนโควิด-19 แต่สิ่งที่แตกต่าง คือ การเลือกใช้วิธีชำระเงินที่เปลี่ยนไป 



ดังนั้นทาง JCB จึงมีการทำงานร่วมกับกลุ่มพันธมิตร เพื่อให้ตอบโจทย์ในส่วนนี้ โดยปรับเปลี่ยนวิธีการชาระเงินให้ตรงกับพฤติกรรมและ ความต้องการของลูกค้ามากที่สุด”

นอกจากนี้JCB (สํานักงานใหญ่ในโตเกียว) ได้มีจัดตั้งแผนกส่งเสริมและสร้างสรรค์ธุรกิจของอาเซียนในสิงคโปร์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 โดยเปิ ดตัวธุรกิจใหม่เพื่อรองรับการขยายตัวต่อไปของเราในพื้นที่อาเซียน ความคิดริเริ่มแรกของหน่วยงานนี้เริ่มต้นด้วยการลงทุนใน Soft Space ซึ่งเป็นบริษัทฟินเทคที่ตั้งอยู่ในมาเลเซีย ใช้งบลงทุนประมาณ 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้เป็นจุดรับชําระเงินและ solution รูปแบบใหม่ โดยได้รับใบอนุญาตสําหรับการดําเนินการออกบัตร JCB และจัดหาผู้ค้าในมาเลเซีย ให้สามารถใช้อุปกรณ์Tap on Mobile (ToM) และรวมเทคโนโลยีของ Soft Space เข้ากับธุรกิจของ JCB ในอนาคต เพื่อเพิ่มการบริการให้เกิดประโยชน์กับลูกค้าปัจจุบันของ JCB และขยายธุรกิจของ JCB ไปทั่วทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากไปกว่านั้น Platinum Service 2022 ที่เป็นสิทธิประโยชน์หลักยังคงมอบสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ในทุกไลฟ์ สไตล์ของผู้ถือบัตรเครดิต JCB โดยมุ่งเน้นไปยัง 4 หมวดดังนี้

มากไปกว่านั้น Platinum Service 2022 ที่เป็นสิทธิประโยชน์หลักยังคงมอบสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ในทุกไลฟ์ สไตล์ของผู้ถือบัตรเครดิต JCB โดยมุ่งเน้นไปยัง 4 หมวดดังนี้

- Platinum Daily Dining อิ่มอร่อยที่ร้านอาหารชื่อดังพร้อมรับส่วนลดพิเศษ 10%* ทุกวันตลอดปี

ที่ Akiyoshi, Chabuton, Dak Galbi, DGB, Gyukaku, Katsuya, On Yasai, Pepper Lunch, See

Fah, Tenya และ Yoshinoya

- Platinum Journey ให้ทุกการเดินทางของคุณพิเศษกว่าใคร กับบริการ Airport loungeพร้อม

ส่วนลดการจองที่พัก บริการรถเช่า ประกันการเดินทาง และ Pocket WiFi ในราคาสุดพิเศษ

ที่ Agoda**, AVIS, MSIG, SKYBERRY และ 4WIFI

- Platinum Lifestyle ช้อปสนุกกันได้ทุกไลฟ์ สไตล์พร้อมสิทธิพิเศษ ในการจองสนามกอล์ฟ และ

ส่วนลดร้านค้าอีกมากมาย ที่ Dolfin, Golfdigg, GrabFood, HomePro Online, Lazada,LINEMAN, Major Cineplex, Tsuruha และ Villa Market

- Platinum Crown Dining สัมผัสประสบการณ์อาหารญี่ปุ่นเหนือระดับ เมื่อทานครบ 1,000 บาท บฟรีอาหารจานพิเศษ Crown Dish ที่รังสรรค์โดยเชฟมืออาชีพสูตรต้นตํารับ 15 ร้านจากประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ลูกค้าบัตรเครดิต JCB นอกจากจะสามารถติดตามข่าวสาร รวมทั้งโปรโมชั่นในประเทศไทยและต่างประเทศได้จาก

- ติดตามทาง Facebook: JCB Thailand

- เว็บไซต์ภาษาไทย http://www.th.jcb/th/

- โปรโมชั่นในประเทศและต่างประเทศ http://www.specialoffers.jcb/th/

- ช่องทางใหม่ล่าสุด JCB Thailand LINE Official Account @JCBThailand

สําหรับการสมัครบัตรเครดิต JCB สามารถติดต่อวันนี้ได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์ บมจ. อิออน
ธนาคารกสิกรไทย บริษัท บัตรเครดิตกรุงศรี และ บริษัท บัตรกรุงไทย

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผนึกกำลัง สมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย จัดงาน HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022

เพื่อพัฒนาศักยภาพกีฬาเอ็กซ์ตรีมของประเทศไทย พร้อมกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของภาคใต้

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบหมาย การกีฬาแห่งประเทศไทย และ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผลักดันอุตสาหกรรมท่องเที่ยวผ่านทางกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬา พร้อมผนึกกำลัง สมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย และ สมาคมกีฬากระดานโต้คลื่นแห่งประเทศไทย ในการจัดการแข่งขันกีฬาเอ็กซ์ตรีม รายการ “HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022” ในวันที่ 7-10 เมษายน 2565 

ณ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พร้อมกำหนดการแข่งขันขึ้นทั้งหมด สามชนิดกีฬา SKATEBOARD, INLINE SPEED SKATE และ SURF SKATE ชิงรางวัลมูลค่ากว่า 500,000.00 บาท โดยการแข่งขันนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสมัคร พร้อมดึงวิทยากรระดับโลกจาก WORLD SKATE ร่วมให้ความรู้ผู้ฝึกสอนและ

ผู้ฝึกสอนกีฬา SKATEBOARD เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับประเทศไทยในการจัดการแข่งขันกีฬาเอ็กซ์ตรีมระดับนานาชาติในอนาคต 

          นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวถึงการจัดงานว่า “รายการ HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022” เป็นหนึ่งนโยบายของกระทรวงฯ ที่ต้องการร่วมกระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย ผ่านทางกิจกรรมทางกีฬา โดยกระตุ้นการเดินทางข้ามภูมิภาคของนักกีฬาและผู้ชม ซึ่งนำมาสู่กระแสเงินสดหมุนเวียนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในระดับภูมิภาค 

            ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างของงาน HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022  คือ การติดอาวุธสำหรับผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินกีฬา SKATEBOARD ของประเทศไทย โดยการเชิญวิทยากรระดับโลกจาก WORLD SKATE SKATE อาทิ MR.MARTIN KARUS ตำแหน่ง WORLD SKATE – TECHNICAL DELEGATE FOR SKATEBOARDING, MR.DANIEL LEBRON ตำแหน่ง WORLD SKATE GLOBAL และ OLYMPIC STREET JUDGE, MR. SEAN HAYES ตำแหน่ง OLYMPIC SKATEBOARD COACH ของ ประเทศแคนาดา ในการร่วมแบ่งปันประสบการณ์และให้ความรู้ในหัวข้อ FUNDAMENTALS OF SKATEBOARD JUDGING & COACHING แด่ผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินกีฬา SKATEBOARD ของประเทศไทย ในวันที่ 4 – 7 เมษายน 2565 ณ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาศักยภาพผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินกีฬา SKATEBOARD ของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐาน WORLD SKATE และเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการจัดการแข่งขันกีฬา SKATEBOARD ระดับนานาชาติในประเทศไทยในอนาคต 

โดยการแข่งขัน HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022 กำหนดจัดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 7 – 10 เมษายน 2565 เป็นระยะเวลา 4 วัน (วันที่ 7 - วันฝึกซ้อม / วันที่ 8-10 - วันแข่งขัน) ณ CENTRAL FESTIVAL หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยกิจกรรมครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ทาง สมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย และ สมาคมกีฬากระดานโต้คลื่นแห่งประเทศไทย ร่วมดำเนินการจัดงาน ซึ่งการตัดสินกีฬา SKATEBOARD, INLINE SPEED SKATE และ SPEED SURF SKATE จะบริหารจัดการแข่งขันด้วย สมาคมกีฬาเอ็กซ์ตรีมแห่งประเทศไทย และ กีฬา SURF SKATE จะบริหารการจัดการแข่งขันด้วย สมาคมกีฬากระดานโต้คลื่นแห่งประเทศไทย ซึ่งใช้วิธีการตัดสินในรูปแบบการแข่งขันกีฬากระดานโต้คลื่น จึงสามารถกล่าวได้ว่า การแข่งขันรายการ HATYAI EXTREME FESTIVAL 2022 จะเป็นหนึ่งรายการที่มีมาตรฐานการแข่งขันที่ดีอันดับต้นๆของประเทศไทย และภายในงาน ทางการกีฬาแห่งประเทศไทยยังได้เชิญ แบรนด์ชั้นนำต่างๆในอุตสาหกรรมเอ็กซ์ตรีม เข้าร่วมงานเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้เยาวชนและประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างได้มีโอกาสในการทดลองอุปกรณ์ใหม่ๆ และ ผู้เข้าร่วมงานทุกท่านยังสามารถสนุกกับกิจกรรม “ปล่อยของ และ คลีนิคกีฬา SKATEBOARD และ SURF SKATE” ตลอดระยะเวลาจัดการแข่งขัน

ในด้านมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้รับความร่วมมือจาก สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสงขลา ในการจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อดำเนินการการคัดกรองตามมาตรการด้านสาธารณสุข VUCA ที่เป็นไปตามระเบียบ ของ ศบค และ จังหวัดสงขลา เพื่อความปลอดภัยต่อผู้เข้า
ร่วมงาน โดยผู้ที่สนใจกิจกรรมสามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมและตารางการแข่งขันได้ทาง
FACEBOOK : HATYAI EXTREME FESTIVAL 

“เราหวังว่านักกีฬา และ นักท่องเที่ยว ทุกท่านจะได้รับประสบการณ์ความสนุกสุดมันส์ของการแข่งขันกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ได้มาตรฐานระดับประเทศ รวมถึงความประทับใจในการมาเยือนหาดใหญ่ ไม่ว่าจะในส่วนของ อาหาร สถานที่ท่องเที่ยว และ การต้อนรับของพี่น้องจังหวัดสงขลา รับรองว่าท่านจะเลือกให้หาดใหญ่เป็นหนึ่งเมืองโปรดในใจของท่านอย่างแน่นอน” นายพิพัฒน์กล่าวทิ้งท้าย

เนสวิต้าชูนวัตกรรมใหม่“เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์”เครื่องดื่มธัญญาหารพร้อมดื่มครั้งแรกของโลก

เพิ่มทางเลือกให้สาวยุคใหม่ใส่ใจสุขภาพพร้อมคุณประโยชน์อัดแน่นเต็มกล่อง ดื่มได้ทุกที่ทุกเวลา

กรุงเทพฯ 4มีนาคม2565 –เนสวิต้าผู้นำด้านเครื่องดื่มธัญญาหารระดับโลก เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่“เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์”นำเสนอนวัตกรรมเครื่องดื่มธัญญาหารในรูปแบบ UHT พร้อมดื่มในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกตอบรับเทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากพืช (Plant-based)เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับสาววัยรุ่น วัยทำงานยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบตลอดวันให้สามารถอิ่มอร่อย และมีสุขภาพดีด้วยคุณประโยชน์จากธัญพืชได้ทุกที่ ทุกเวลา ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูปในประเทศไทย

ในปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีแนวโน้มหันมาใส่ใจสุขภาพและรักษ์โลกกันมากขึ้น เห็นได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทรนด์การบริโภคอาหารจากพืช (Plant-based Food)และการรับประทานมังสวิรัตแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการสำรวจพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคประเทศไทยโดย Mintelพบว่า 70% ของคนไทยรุ่นใหม่ รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-based product) ตรงกับความต้องการของพวกเขาเป็นอย่างมาก และมีผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศที่เลือกรับประทานอาหารแบบ Flexitarianโดยจัดเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพมากถึง 65%แต่ในขณะเดียวกัน ยังพบอีกหนึ่งปัจจัยซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่ไม่ควรมองข้าม จากผลสำรวจโดย สสส. ระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงบริโภคผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์โดยเฉลี่ยส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบจากการเรียนหรือภาระงาน จึงเกิดเป็นความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ และความสะดวกสบายมากขึ้นในผู้บริโภคกลุ่มนี้


กรุงเทพฯ 4มีนาคม2565 –เนสวิต้าผู้นำด้านเครื่องดื่มธัญญาหารระดับโลก เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่“เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์”นำเสนอนวัตกรรมเครื่องดื่มธัญญาหารในรูปแบบ UHT พร้อมดื่มในประเทศไทยเป็นที่แรกของโลกตอบรับเทรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพจากพืช (Plant-based)เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับสาววัยรุ่น วัยทำงานยุคใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบตลอดวันให้สามารถอิ่มอร่อย และมีสุขภาพดีด้วยคุณประโยชน์จากธัญพืชได้ทุกที่ ทุกเวลา ตอกย้ำความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูปในประเทศไทย

ในปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีแนวโน้มหันมาใส่ใจสุขภาพและรักษ์โลกกันมากขึ้น เห็นได้จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทรนด์การบริโภคอาหารจากพืช (Plant-based Food)และการรับประทานมังสวิรัตแบบยืดหยุ่น (Flexitarian) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากการสำรวจพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคประเทศไทยโดย Mintelพบว่า 70% ของคนไทยรุ่นใหม่ รู้สึกว่าผลิตภัณฑ์จากพืช (Plant-based product) ตรงกับความต้องการของพวกเขาเป็นอย่างมาก และมีผู้บริโภคเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศที่เลือกรับประทานอาหารแบบ Flexitarianโดยจัดเป็นกลุ่มคนรักสุขภาพมากถึง 65%แต่ในขณะเดียวกัน ยังพบอีกหนึ่งปัจจัยซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่ไม่ควรมองข้าม จากผลสำรวจโดย สสส. ระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงบริโภคผักและผลไม้ต่ำกว่าเกณฑ์โดยเฉลี่ยส่งผลให้ร่างกายไม่ได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบจากการเรียนหรือภาระงาน จึงเกิดเป็นความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขภาพ และความสะดวกสบายมากขึ้นในผู้บริโภคกลุ่มนี้


นายไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์นมและโภชนาการ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า “ด้วยวิสัยทัศน์ Good food, Good life ของเนสท์เล่ และในฐานะแบรนด์เครื่องดื่มธัญญาหารที่ครองใจผู้บริโภคและอยู่คู่คนไทยมานานกว่า 25 ปี เนสวิต้าได้ให้ความสำคัญกับการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของคนไทยมาโดยตลอดด้วยความเชี่ยวชาญด้านธัญญาหารของเนสวิต้าและการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เรามองเห็นโอกาสที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด ประกอบกับศักยภาพทางการตลาดในการพัฒนาธุรกิจจากเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูปประเภทชงร้อนที่เราสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งอยู่มากกว่า 70%และเป็นแบรนด์ Top of mind ที่อยู่ในใจผู้บริโภคมาโดยตลอดการเปิดตัว เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์ ในครั้งนี้ จึงถือเป็นการแตกไลน์ผลิตภัณฑ์สู่นวัตกรรมเครื่องดื่มธัญญาหารในรูปแบบ UHTพร้อมดื่มเป็นครั้งแรกของโลก เพื่อเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค อีกทั้งยังช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์ในPortfolio ของเนสวิต้าให้ครอบคลุมทุกรูปแบบพร้อมช่วยขับเคลื่อนตลาดเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูปให้มีการขยายตัวและเติบโตมากยิ่งขึ้น”

จากการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมจนได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์เครื่องดื่มธัญญาหารจากพืช (Plant-based) สูตรเจ ไม่มีส่วนผสมของนมวัวในรูปแบบ UHT พร้อมดื่มที่นำเสนอความสะดวกสบาย และคุณประโยชน์จากข้าวและข้าวโอ๊ตให้รสชาติที่อร่อยกลมกล่อม และกลิ่นหอมจากธัญพืชตามแบบฉบับเนสวิต้าพร้อมคุณค่าทางด้านโภชนาการที่อัดแน่นไปด้วยใยอาหารสูงช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่ายและวิตามินซีสูงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง1 กล่อง ให้พลังงานเพียง 90 กิโลแคลอรี่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้หญิงยุคใหม่ที่ต้องการดูแลสุขภาพและมีไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบเป็นอย่างยิ่งมีให้เลือกถึง
2 รสชาติ ได้แก่ รสดั้งเดิมนำเสนอความอร่อยที่คุ้นเคย จากความหอมละมุนของธัญพืชซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเนสวิต้าและรสโกจิเบอร์รี่ที่อัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์ และความหอมหวานสดชื่น จาก Superfruitพร้อมด้วยนวัตกรรมหลอดกระดาษรักษ์โลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยไม่เปลี่ยนรสชาติ
ความอร่อยที่สำคัญได้รับการรับรองว่าเป็นเครื่องดื่มทางเลือกสุขภาพอีกด้วย

“การเปิดตัวเนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์ในครั้งนี้ เราได้วางแผนกลยุทธ์การตลาด รวมถึงการพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ตลอดจนวางแผนสื่อสารการตลาดไว้อย่างครอบคลุมทุกช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งการจัดกิจกรรมแจกผลิตภัณฑ์ ให้ผู้บริโภคได้ทดลองชิม โดยตั้งเป้าแจกให้ชิมทั้งหมดกว่า 400,000 กล่องและวางแผนจำหน่ายสินค้าในช่องทางร้านสะดวกซื้ออย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น ในช่วงแรก เพื่อการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศนอกจากนี้เรายังได้รับเกียรติจากคุณเต้ย - จรินทร์พร จุนเกียรติ แบรนด์แอมบาสเดอร์เนสวิต้ามาร่วมเป็นตัวแทนสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้หญิงยุคใหม่ที่ชอบดูแลและใส่ใจสุขภาพ มีไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องและพร้อมที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างผู้หญิงวัยรุ่น ไปจนถึงวัยทำงานได้เป็นอย่างดี”

“เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค และสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดเครื่องดื่มธัญญาหารพร้อมดื่มรูปแบบ UHT ในเมืองไทยได้อย่างแน่นอน เพราะ เนสวิต้า ซีเรียล ดริ้งค์ ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นเครื่องดื่มธัญญาหารทางเลือกในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มอบความสะดวก อร่อยถูกปาก และดื่มง่ายได้ประโยชน์ทันที สอดคล้องกับการเติบโตของเทรนด์การบริโภค Plant-basedเพื่อสุขภาพในประเทศไทย และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป” นายไชยงค์ กล่าวเสริม


02 มีนาคม 2565

แรงงาน จัดงาน “วันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ.2565

แรงงาน จัดงาน “วันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ” ประจำปี พ.ศ.2565

วันที่ 2 มีนาคม 2565 เวลา 10.00น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ ประจำปี 2565 ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงแรงงาน นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน 

นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน นายประทีป ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน เข้าร่วมพิธี โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้แรงงานและช่างฝีมือไทย รวมถึงประชาชนทั่วไป ตระหนักถึงคุณค่าของแรงงานและช่างฝีมือ ภายในงานมีพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร องค์พระบิดาแห่งมาตรฐานการช่างไทย การจัดแสดงนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ และกิจกรรมการเผยแพร่ข้อมูลภารกิจมาตรฐานฝีมือแรงงาน จากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณ อันหาที่สุดมิได้ ที่ทรงเล็งเห็นและให้ความสำคัญ แก่วงการช่างฝีมือด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล 


ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นพิธีถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร แล้ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้เยี่ยมชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ และกิจกรรมการเผยแพร่ข้อมูลภารกิจมาตรฐานฝีมือแรงงานอีกด้วย

ทรู ดิจิทัล เดินเกมขับเคลื่อน “ทรู เฮลท์” จับกระแสดิจิทัลเฮลท์แคร์ 4.0

ย้ำจุดเด่นแพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะที่เชื่อมโยงบริการทั้งออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อเผยโฉมแอปใหม่ “หมอดี” หมอประจำบ้านในมือคุณ พร้อมแนะนำพรีเซนเตอร์“หมอเจี๊ยบ-ลลนา”ชวนคนไทยหาหมอออนไลน์ได้ทุกที่ รักษา รับยา เคลมประกัน ครบจบในแอปเดียว

ทรู ดิจิทัล ผู้นำบริการด้านดิจิทัลครบวงจร เดินหน้าธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ สร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสุขภาพ ร่วมยกระดับวงการสาธารณสุขรับเทรนด์การเติบโตของเทเลเมดิซีน ต่อยอดนวัตกรรม “ทรู เฮลท์” แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ เชื่อมโยงบริการด้านสุขภาพทั้งออนไลน์และออฟไลน์  (O2O) แบบไร้รอยต่อ อัปเกรดบริการออนไลน์ปรับโฉมสู่แอปพลิเคชันใหม่ “หมอดี” (MorDee) หมอประจำบ้านในมือคุณ ให้คนไทยหาหมอออนไลน์ได้ทุกที่โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากสถาบันชั้นนำได้ง่ายๆ ผ่านวิดีโอคอล  โทร หรือแชต เลือกได้กว่า 500 คน ครอบคลุมกว่า 20 สาขาเฉพาะทาง รวมถึงคลินิกเฉพาะทาง ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ โดดเด่นด้วย 6 ฟังก์ชันที่เหนือกว่า ครบจบในแอปเดียว ไม่ว่าจะเป็น การนัดพบแพทย์ตามวันและเวลาที่ต้องการ หรือเลือกพบทันที ช่วยให้เข้าถึงการรักษาได้เร็วกว่า ระบบค้นหาแพทย์ด้วยคีย์เวิร์ดที่ใช้งานง่าย  สะดวกด้วยบริการส่งยาถึงบ้านทั่วประเทศ  สบายกระเป๋ากับ “เทเลเมดิเคลม” 

เคลมประกันกับบริษัทประกันที่เป็นพันธมิตรโดยไม่ต้องสำรองจ่าย อีกทั้งยังสามารถบันทึกข้อมูลสุขภาพและเรียกดูข้อมูลได้ตลอดเวลา และบริการทักแชตสอบถามได้ทันที พร้อมกันนี้ ทรู เฮลท์ ยังเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาและพรีเซนเตอร์ “หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์” ที่จะชวนคนไทยร่วมสร้างสุขภาพดีไปด้วยกัน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอดี” (MorDee) ได้แล้ววันนี้ที่ App Store, Play Store และ Huawei AppGallery หรือพบหมอออนไลน์ได้ที่ “มุมสุขภาพทรู เฮลท์” ในโลตัสและแม็คโครกว่า 18 สาขาทั่วประเทศ

นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ร่วม) บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เทคโนโลยีดิจิทัลที่ก้าวล้ำในปัจจุบันล้วนมีบทบาทขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตประจำวัน ทั้งยังพลิกโฉมธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม โดยในภาคสาธารณสุขเห็นได้ชัดถึงการเติบโตของเทเลเมดิซีนทั่วโลกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพในยุคดิจิทัล ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล และแก้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  กลุ่มทรู ในฐานะผู้นำโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและดิจิทัล จึงได้นำศักยภาพระบบนิเวศดิจิทัล ทั้งเทคโนโลยี Cloud, IoT, AI, Blockchain และ Robotics ร่วมยกระดับคุณภาพชีวิตและการสาธารณสุข เพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายขึ้น เดินหน้าสานต่อนวัตกรรม “ทรู เฮลท์” แพลตฟอร์มดูแลสุขภาพอัจฉริยะ โดยยังคงจุดเด่นบริการ O2O ที่เชื่อมโยงทั้งออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันแบบไร้รอยต่อ  ซึ่งล่าสุดได้พัฒนาบริการออนไลน์ไปอีกขั้น พร้อมปรับโฉมและอัปเกรดแอปพลิเคชันใหม่ “หมอดี” (MorDee) หมอประจำบ้านในมือคุณ หาหมอออนไลน์ได้ทุกที่ มีบริการส่งยาถึงบ้าน และเคลมประกันกับพันธมิตรบริษัทประกันภัยโดยไม่ต้องสำรองจ่าย ครบจบในแอปเดียว พร้อมขยายบริการออฟไลน์เพิ่ม “มุมสุขภาพทรู เฮลท์” ที่โลตัสและแม็คโครกว่า 18 สาขาทั่วประเทศ ให้บริการตรวจเช็กสุขภาพเบื้องต้น พบแพทย์ออนไลน์ และซื้อยาตามแพทย์สั่งได้ทันที สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ไม่ต้องเดินทางไปคลินิกหรือโรงพยาบาล 

นายณัฐวุฒิ กล่าวเสริมว่า กลุ่มทรู โดย ทรู ดิจิทัล มีเป้าหมายในการพัฒนาแพลตฟอร์ม “ทรู เฮลท์” และเปิดรับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ บริษัทประกันภัย และผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ที่จะร่วมกันเติมเต็มบริการดูแลสุขภาพให้ครอบคลุมครบทุกมิติมากยิ่งขึ้น อาทิ บริการตรวจเช็กสุขภาพ (Health Check-up) บริการฉีดวัคซีนถึงบ้าน ตลอดจนการบันทึกข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล ซึ่งสอดรับกับเทรนด์ดิจิทัลเฮลท์แคร์ที่จะมีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเชื่อมโยงและเก็บข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ต่างๆ แบบเรียลไทม์ อาทิ สมาร์ตวอตช์ เซ็นเซอร์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้แพทย์ใช้ในการออกแบบการรักษา ตลอดจนการวิเคราะห์เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการเจ็บป่วยในอนาคต ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้น และบุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย

ดร.อดิภัทร ชัยชนะสกุล กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจดิจิทัล เฮลท์ บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ทรู เฮลท์ ให้บริการดูแลสุขภาพโดยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันชั้นนำกว่า 500 คน ด้วยความร่วมมือกับชีวีบริรักษ์คลินิกเวชกรรม ครอบคลุมกว่า 20 สาขาเฉพาะทาง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต รวมถึงคลินิกเฉพาะทาง อาทิ คลินิกภูมิแพ้ คลินิกไมเกรน และคลินิกสุขภาพจิต เป็นต้น โดยนำข้อมูล Insight ของผู้บริโภคมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาบริการและอัปเกรดแอปพลิเคชันให้ตอบโจทย์และครอบคลุมความต้องการในการใช้บริการเทเลเมดิซีนมากยิ่งขึ้น พร้อมปรับโฉมสู่แอปพลิเคชันใหม่ “หมอดี” หมอประจำบ้านในมือคุณ ที่ให้บริการด้านสุขภาพได้อย่างครบถ้วนและสะดวกสบายยิ่งขึ้น ล้ำกว่าด้วยฟังก์ชันอัจฉริยะ ใช้เทคโนโลยี AI และ Cloud สร้างประสบการณ์พบแพทย์ออนไลน์แบบครบจบในแอปเดียว  สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา ลดค่าใช้จ่ายทั้งค่าบริการและค่าแพทย์ ไม่ต้องเดินทางและรอคิวที่โรงพยาบาล  พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาและพรีเซนเตอร์ “หมอเจี๊ยบ-ลลนา ก้องธรนินทร์” ที่จะมาชวนคนไทยร่วมสร้างสุขภาพดีไปด้วยกัน  โดยแอป “หมอดี” (MorDee) พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ ทั้งสำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กรสามารถเพิ่มเป็นสวัสดิการในการดูแลสุขภาพพนักงาน

แอปพลิเคชัน “MorDee-หมอดี” มาพร้อม 6 ฟังก์ชันที่เหนือกว่า ดังนี้

1. นัดหมายปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพตามวันและเวลาที่ต้องการ หรือพบแพทย์ได้ทันทีจากทุกที่ เลือกได้ทั้งแบบวิดีโอคอล โทร และแชต ช่วยให้เข้าถึงการรักษาได้เร็วกว่าโดยไม่ต้องรอ 

2. ระบบค้นหาแพทย์ด้วยคีย์เวิร์ด เพียงพิมพ์อาการเจ็บป่วย ชื่อคลินิก หรือชื่อแพทย์  

3. บริการส่งยาถึงบ้านทั่วประเทศ เมื่อสั่งซื้อยาตามคำแนะนำของแพทย์ จัดส่งภายใน 3 ชั่วโมงในพื้นที่กรุงเทพฯ  พร้อมมีเภสัชกรโทรแนะนำวิธีการใช้ยาอย่างถูกต้อง  

4. “เทเลเมดิเคลม” เคลมค่ารักษากับบริษัทประกันที่เป็นพันธมิตรโดยไม่ต้องสำรองจ่าย

5. บันทึกข้อมูลสุขภาพและประวัติการรักษา สามารถเรียกดูข้อมูลได้ตลอดเวลา

6. บริการทักแชตสอบถามได้ทันที โดยมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือในการใช้งานแอปพลิเคชัน

ทั้งนี้ ในอนาคต จะมีการอัปเกรดฟังก์ชันให้สามารถรองรับการใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และครอบคลุมบริการทางการแพทย์มากยิ่งขึ้น อาทิ ระบบ AI Doctor ฟังก์ชันอัจฉริยะที่จะช่วยคัดกรองและแนะนำแพทย์และคลินิกให้ตรงกับอาการป่วย รวมถึงบริการร้านยา เวชภัณฑ์ และสินค้าสุขภาพ แบบออนไลน์บนแอปฯ ที่ดูแลโดยเภสัชกรชำนาญการ

สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการแอป MorDee-หมอดี สามารถพบหมอออนไลน์ได้ทุกที่ สะดวกสบาย ง่าย และรวดเร็วใน 5 ขั้นตอน เพียงดาวน์โหลดแอป MorDee-หมอดี ที่ App Store, Play Store และ HUAWEI AppGallery แล้วลงทะเบียน จากนั้นทำการค้นหาแผนกหรือคลินิกตามอาการป่วย เลือกแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ต้องการปรึกษา ทำการนัดหมาย พร้อมเลือกช่องทางในการปรึกษา และชำระเงินหรือเคลมประกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพตามเวลาที่นัดหมายไว้ได้แบบส่วนตัว โดยจะได้รับสรุปผลการปรึกษา และสามารถซื้อยาตามคำแนะนำของแพทย์ แล้วรอรับยาที่บ้าน

ชาวระยองเตรียมตัวให้พร้อม!

พบกับคลื่นความสนุกแห่งใหม่ “ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน บ้านฉาง” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านฉาง บ้านฉัน ให้ทุกวันมีแต่เรื่องดีย์ๆ” ที่พร้อมมอบประสบการณ์ กิน ช้อป เที่ยว และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกครอบครัวแบบครบจบในที่เดียว ในบรรยากาศการออกแบบที่สะท้อนความโดดเด่นของอำเภอบ้านฉางได้อย่างงดงาม จัดเต็มทั้งทัพสินค้าแบรนด์ดังกว่า 200 แบรนด์ และร้านค้าชั้นนำกว่า 100 ร้านค้า พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษและกิจกรรมความสนุกที่ยกขบวนมาสร้างความสุข   สุดฟินแก่ชาวอำเภอบ้านฉาง และชาวจังหวัดระยอง พบกัน วันที่ 3 มี.ค.นี้ เป็นต้นไป!

เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น.
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook page : Robinson Lifestyle, Robinson Lifestyle Banchang, Robinson Department Store และ Robinson Department Store Banchang

01 มีนาคม 2565

ออริจิ้น เปิดแผน Origin Multiverse เติบโตแบบพหุจักรวาลสู่อาณาจักรแสนล้าน เล็งนำบริษัทย่อยเข้า IPO สร้าง Multiverse of Happiness

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” เปิดแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล “Origin Multiverse”กับ 3 ขั้นตอน Expanding-Growing-Connecting ขยายอาณาจักรจากธุรกิจอสังหาฯสู่ 4 กลุ่มจักรวาลธุรกิจควบหลากธุรกิจใหม่ ทั้งโลจิสติกส์-เฮลท์แคร์-ประกันภัย-พลังงาน-การเงิน-ร้านอาหาร-กัญชงจัดทัพมืออาชีพกุมบังเหียนการเติบโตจักรวาลย่อย วางแผนปั้นบริษัทในเครือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม นำร่องด้วย พรีโมเซอร์วิส โซลูชั่น-วัน ออริจิ้น-แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น หวังเกิด Multiverse of Happiness เชื่อมทุกจักรวาลสู่อาณาจักร Market Cap รวมแสนล้านภายในปี 2568 สร้างอีโคซิสเท็มที่ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคได้แบบครบวงจร ด้านจักรวาลที่อยู่อาศัยปี 2565 ตั้งเป้าทุกด้าน All Time High เปิดตัวโครงการใหม่เฉียด 42,000 ล้าน ตั้งเป้ายอดขายที่ 35,000 ล้านพร้อมลุยเมกะโปรเจกต์แห่งปี “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์”

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI
ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า หลังจากก่อตั้งบริษัทมาได้กว่า12 ปี บริษัทได้พัฒนา ปรับตัว และเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับทุกสถานการณ์ ตลอดจนเมกะเทรนด์ระยะยาวของโลก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค จากวันแรกที่มีเพียงธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม สู่ปัจจุบันที่มีอาณาจักรธุรกิจใหม่ๆ แตกแขนงออกมาจำนวนมาก ในปี 2565 นี้ จึงเตรียมแผนการดำเนินงานใหม่ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญภายใต้แนวคิด “ORIGIN MULTIVERSE” หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล








ภายใต้แผน ORIGIN MULTIVERSE ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1.ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe) จากเดิมที่ออริจิ้นมีจักรวาลหลักคือจักรวาลพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขยายตัวเองเข้าสู่จักรวาลใหม่ๆ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มจักรวาล ได้แก่ 1.กลุ่มจักรวาลที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential for Sales) 2.กลุ่มจักรวาลธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) 3.กลุ่มจักรวาลธุรกิจบริการ (Service Business) 4.กลุ่มจักรวาลเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega TrendsBusiness)โดยทั้ง 4 กลุ่มจักรวาล ยังคงประกอบด้วยจักรวาลธุรกิจย่อยๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เช่น โลจิสติกส์เฮลท์แคร์ประกันภัยพลังงานการเงินร้านอาหารกัญชง และยังอาจมีจักรวาลย่อยๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต

2.แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline) ให้ทุกบริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตแบบคู่ขนานในจักรวาลของตัวเอง ผ่านการจัดทัพผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจนั้นๆ เข้าไปช่วยดูแลทิศทางการเติบโต สร้างจุดแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ โดยจะมีบริษัทย่อยที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) เพิ่มเติมนำโดย บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้นำธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) เช่น โรงแรม ออฟฟิศ ค้าปลีก บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด บริษัทร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม เช่น คลังสินค้า โลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ครบวงจร หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่งบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เข้า IPO ไปแล้วในช่วงปลายปี 2564 คาดว่าภายในปี 2568 ออริจิ้นและทุกบริษัทที่เข้าจดทะเบียนจะกลายเป็นอาณาจักรที่มีมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท

3.เชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem) เชื่อมโยงทุกจักรวาลที่แยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาดูแลผู้บริโภคร่วมกันเป็นอีโคซิสเท็ม สร้าง Multiverse of Happinessที่ครอบคลุมการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

“เมื่อก่อนทุกคนรู้จักออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เฉพาะจากจักรวาลหลักอย่างธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วันนี้ เรามีผู้บริหารที่เปรียบเสมือนตัวผมในอีกหลากหลายจักรวาล หลากหลายธุรกิจ ที่จะช่วยกันพาแบรนด์ใหม่ๆ ธุรกิจใหม่ๆ พาทุก Multiverse ให้เติบโต เป็นที่รู้จัก และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญในธุรกิจเหล่านั้น และทุกธุรกิจเหล่านั้นจะเชื่อมโยง รวมพลังกันกลับมาเป็น Multiverse of Happiness เป็นอีโคซิสเท็มที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย ทุกเจเนอเรชั่น และทุกจังหวะการใช้ชีวิต” นายพีระพงศ์ กล่าว

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้จะมีการเติบโตไปยังจักรวาลใหม่ๆ แต่บริษัทจะยังคงรักษาระดับการเติบโตในจักรวาลอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 นี้ ตั้งเป้าทุกด้านแบบ All Time High เริ่มต้นจากเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 31โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 42,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 137% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 12โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,400 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 19โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,600ล้านบาทโดยในฝั่งคอนโดมิเนียมจะเติบโตไปในทุกเซ็กเมนท์ มีแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้น เช่น แบรนด์ ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และบุกทำเลใหม่ๆ เช่น ฝั่งธนบุรี ทั้งนี้ จะมีโครงการใหม่ที่เป็นเมกะโปรเจกต์ย่านทองหล่อ ภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” (Origin Thonglor World) ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท โดยจะมีการทยอยเปิดตัวโครงการอีกครั้งเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวม 17,500 ล้านบาท หลังจากปี 2564 ทำผลงานทุกด้านเติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม สร้าง New High ยอดโอนรวมโครงการกิจการร่วมค้ากว่า 16,157 ล้านบาท มีรายได้รวม 15,943ล้านบาท และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 กว่า 43% อีกทั้ง มีกำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 กว่า 20% ส่งผลให้บริษัทเตรียมจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสิ้นปี 2564ในอัตรา 0.42 บาท ต่อหุ้น


ด้านนางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า ในฐานะบริษัทที่ดูแลบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร อาทิ บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hotel & Residence Management Operator) บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจบริการใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตการดูแลผู้บริโภค รวมถึงมีหลากกลยุทธ์ที่จะชิงส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) ในธุรกิจนี้อย่างต่อเนื่อง โดยปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้ได้ถึง 490 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจนี้ คาดว่าบริษัทจะเป็นบริษัทแรกในเครือนับจากนี้ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในช่วงปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566 และมีเป้ารายได้ ณ ปี 2566 ที่ 750 ล้านบาท โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินคือบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัทเจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด


ด้านนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ทยอยปรับโครงสร้างภายในอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ธุรกิจค้าปลีก แต่จะมีธุรกิจอื่นๆ ภายใต้การบริหาร เช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัด ธุรกิจร้านอาหาร โดยภายในช่วง 5 ปีจากนี้ จะได้เห็นโครงการภายใต้การพัฒนาของวัน ออริจิ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 49,100 ล้านบาท สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB)


ด้านนายปธาน สมบูรณสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กล่าวว่า หลังจากเปิดตัวบริษัทเมื่อช่วงปลายไตรมาส 3/2564 บริษัทเดินหน้าแผนการเติบโตได้เร็วกว่าแผนงาน โดยณ สิ้นปี 2564 มีที่ดินเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่เช่าทางอุตสาหกรรมกว่า 155,000 ตร.ม. จากแผนเดิมประมาณ 40,000 ตร.ม. สำหรับการพัฒนาโครงการแรกในย่านบางนา กม.22 ภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 2/2565และเริ่มรับรู้รายได้ได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลากหลายโปรเจกต์ภายใต้แผนงาน ทั้งผ่านการซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 1 ล้าน ตร.ม. ภายในปี 2568สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 98 โครงการ (ณ สิ้นปี 2564) เช่น แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN), ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play), ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington), แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 143,800 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเฮลท์แคร์ ฯลฯ เพื่อยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร โดยปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัท (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท