30 กันยายน 2565

อีกหนึ่งเมนูประสบการณ์ ท่องเที่ยววิถีชุมชนหมู่บ้านนกกะเรียนพันธุ์ไทยแห่งแรกของประเทศ ที่บุรีรัมย์



บ่ายวานนี้ (30 ก.ย. 2565) นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ผู้แทน ททท.
เข้าร่วมพิธีเปิดงานท่องเที่ยววิถีชุมชนหมู่บ้านนกกะเรียนพันธุ์ไทย จ.บุรีรัมย์ โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมต.ว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี และท่านผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์  ให้เกียรติกล่าวต้อนรับ แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนที่เข้าร่วมงานคับคั่ง


การจัดกิจกรรมนี้เพื่อต้อนรับนทท.ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามายังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อร่วมงาน MotoGP รายการ “โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2022” ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 โดยเล็งเห็นถึงโอกาสอันดี ที่จะใช้โมโตจีพีเป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เป็นแฟนมอเตอร์สปอร์ตหลายแสนคน ให้มีโอกาสได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งใหม่ และสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยววิถีชุมชนของชาวบุรีรัมย์ โดยเฉพาะนกกระเรียนพันธุ์ไทย ที่เคยสาบสูญไปจากธรรมชาติเมืองไทยนานถึง 50 ปี แต่ตอนนี้นกกะเรียนได้กลับมาแล้ว ซึ่งเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเหล่านักอนุรักษ์ และชาวนาแห่งอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ นี้ สพหรับการจัดงานจะมีต่อเนื่อง จนถึง เดือน มกราคม 2523 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ
แวะหมุนเวียน มาร่วมงาน กว่า 50,000 คน และจะเกิดรายได้หมุนเวียนในช่วงการจัดงานกว่า 120 ล้านบาท


การจัดกิจกรรมนี้เพื่อต้อนรับนทท.ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามายังจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อร่วมงาน MotoGP รายการ “โออาร์ ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2022” ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 โดยเล็งเห็นถึงโอกาสอันดี ที่จะใช้โมโตจีพีเป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่เป็นแฟนมอเตอร์สปอร์ตหลายแสนคน ให้มีโอกาสได้รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งใหม่ และสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยววิถีชุมชนของชาวบุรีรัมย์ โดยเฉพาะนกกระเรียนพันธุ์ไทย ที่เคยสาบสูญไปจากธรรมชาติเมืองไทยนานถึง 50 ปี แต่ตอนนี้นกกะเรียนได้กลับมาแล้ว ซึ่งเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเหล่านักอนุรักษ์ และชาวนาแห่งอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ นี้ สพหรับการจัดงานจะมีต่อเนื่อง จนถึง เดือน มกราคม 2523 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ แวะหมุนเวียน มาร่วมงาน กว่า 50,000 คน และจะเกิดรายได้หมุนเวียนในช่วงการจัดงานกว่า 120 ล้านบาท

#AmazingThailand

#เที่ยวเมืองไทยAmazingยิ่งกว่าเดิม

#ยิ่งไปยิ่งให้ยิ่งสุขใจกว่าที่เคย

ข้าวมาบุญครอง สนับสนุนการแข่งขัน Gourmet & Cuisine Young Chef2022


นายกฤษ  โอสถาเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด (CMO) บริษัทไทยเบสท์ โพลทรี จำกัด เป็นตัวแทนร่วมนำผลิตภัณฑ์จากพอลดีย์ ฟาร์มไก่อารมณ์ดี ยูริกต่ำ เพื่อมอบรางวัลผู้ชนะกิจกรรมการแข่งขันทำอาหาร “Gourmet & Cuisine Young Chef 2022” ระดับอุดมศึกษา โดยแชมป์สมัยแรกเป็นของทีม YOLO จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา และรองชนะเลิศอันดับ 1 เป็นของทีม Stellar_UTCC จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่วนรองชนะเลิศ อันดับ 2 เป็นของทีม DTC Team จากวิทยาลัยดุสิตธานี นอกจากนี้รางวัล Popular Vote ตกเป็นของทีม SISTER จากวิทยาลัยดุสิตธานี โดยได้ทำการประกาศผลและจัดมอบรางวัล ณ ศูนย์ฝึกปฏิบัติการอาหารนานาชาติ โรงเรียนการเรือน มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เมื่อเร็วๆ นี้


ข้าวมาบุญครอง สนับสนุนการแข่งขัน Gourmet & Cuisine Young Chef 2022

หนุนศักยภาพการแข่งขันของไทยในอุตสาหกรรมอาหาร

บริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจในเครือข้าวมาบุญครอง  หนุนศักยภาพอุตสาหกรรมอาหาร เปิดพื้นที่ให้เยาวชนไทย บ่มเพาะประสบการณ์การเป็นเชฟ ผ่านการร่วมสนับสนุนการแข่งขัน Gourmet & Cuisine Young Chef 2022 เพื่อผลิตเชฟรุ่นใหม่ สร้างสรรค์ผลงานสุดเจ๋ง พร้อมนำวัตถุดิบท้องถิ่น และเมนูอาหารไทย ต่อยอดให้ไกลสู่ตลาดโลก




เชื่อว่ากิจกรรมในครั้งนี้ จะช่วยให้ดึงศักยภาพในตัวน้องๆ นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ที่ดีขึ้นให้กับวงการอาหาร จากคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดีย รวมถึงอยากเห็นการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ภายในประเทศของเรา ไม่ว่าจะเป็นภาคการเกษตร ภาคการประมง  ที่เรามีทรัพยากรที่มีคุณภาพมากๆ และเป็นอาชีพพื้นฐานของคนในประเทศ มารังสรรค์เป็นเมนูใหม่ๆที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถช่วยเหลือเกษตรกร และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้านอาหารและการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

ทีม YOLO จากมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา ทีมชนะเลิศการประกวด Gourmet & Cuisine Young Chef 2022 กล่าวว่า รายการการแข่งขันดังกล่าว มีระยะเวลาในการเตรียมตัว และครีเอทเมนูประมาณ 1 เดือนก่อนการแข่งขันในรอบตัดสิน ซึ่งมีแรงบันดาลที่อยากคงรสชาติที่มีเอกลักษณ์ความเป็นอาหารไทย และยกระดับให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เสิร์ฟทั้งหมด 3 เมนู ประกอบด้วย เมนูหลัก (Main Course) จำนวน 1 เมนู และเมนูเรียกน้ำย่อย (Appetizer) จำนวน 2 เมนู โดยเมนูหลักนำเสนอเป็นเมนู ข้าวอบไรซ์เบอร์รี่ ที่ทำคล้ายกับซาโมซ่า ด้านในจะเป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่อบเครื่องเทศกระหรี่พัฟ และเมนูเรียกน้ำย่อยคือแซลมอนเจลลี่ต้มข่า และเบบี้คอร์สสลัด และเพิ่มความสดชื่นด้วยเมนูส้มซ่า ฮอลแลนเดซ ซึ่งเป็นการนำผลไม้ไทยอย่างส้มซ่ามาประยุกต์ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการเข้าประกวดทำให้มีประสบการณ์มากยิ่งขึ้น เรียนรู้ที่จะวางแผน และการทำงานตามขั้นตอน เพื่อให้ทันต่อเวลาในการประกวด และขอขอบคุณทางคณะผู้จัด และผู้สนับสนุนเป็นอย่างสูง ที่เปิดพื้นที่ให้พวกเราได้พัฒนาศักยภาพ และเป็นพื้นที่ในการก้าวสู่การเป็นเชฟมืออาชีพที่เราใฝ่ฝัน

ทีม Outstanding ผู้ชนะรางวัลพิเศษ จากการนำวัตถุดิบข้าวไรซ์เบอร์รี่ ของข้าวมาบุญครองมารังสรรค์เป็นเมนูพิเศษ กล่าวว่า คอร์สเมนูที่นำมาประกวด มีแรงบันดาลใจจากสำรับไทย ผสมผสานกลิ่นอายฟิวชั่นตะวันตก โดยคำนึงจากวัตถุดิบหลัก คือข้าวไรซ์เบอร์รี่ ที่มีสี กลิ่น และเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนข้าวตัวอื่นเลย ซึ่งเป็นสเน่ห์เฉพาะตัว ซึ่งต้องดึงเสน่ห์ของเขาออกมาให้ได้มากที่สุด จึงเป็นที่มาของการรังสรรค์เมนูในครั้งนี้ ในรูปแบบคล้ายเมนูอารันชินี โดยด้านในเป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่สัมผัสนุ่มหนึบเคล้ากลิ่นและรสชาติของคะน้าปลาเค็มกำลังดี  ตรงกลางข้าวสอดใส้ชีส ที่เมื่อทานจะทำให้รสนัวขึ้น ส่วนด้านนอกนำข้าวไรซ์เบอร์รี่มาทำเป็นข้าวพอง ที่ถูกบด คลุกกับปลาแซลมอนแล้วนำไปทอดอีกครั้ง เมื่อทานรวมกันจะให้ความรู้สึกถึงข้าวคะน้าปลาเค็มที่ต่างไปจากเดิม ในรสชาติที่นัว และสนุกกับการทานมากขึ้นจากความกรุบกรอบของข้าวไรซ์เบอร์รี่พอง และเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งเมนูขึ้นชื่อของไทย ที่ชาวต่างชาติอยากลิ้มลอง

สร้างความยั่งยืนผ่านแรงบันดาลใจกับเรื่องเล่า

การเปลี่ยนแปลงที่ดีมีพื้นฐานมาจากความเชื่อและความเข้าใจ ฉะนั้นหนึ่งในวิธีที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนคือการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  เวที Planet Possible ที่ National Geographic จัดขึ้นในงานมหกรรมความยั่งยืน Sustainability Expo 2022 ร่วมสร้างแรงบันดาลจาก “การเล่าเรื่อง” อันทรงพลังผ่านสื่อต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบโดยช่างภาพและศิลปินรุ่นใหม่ที่ช่วยกระทุ้งและสร้างแรงกระเพื่อมในสังคม

เจรมัย พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Media & Event Business บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  เกริ่นนำว่าการเล่าเรื่องที่ดีจะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้  การพัฒนาอย่างยั่งยืนก็ต้องอาศัยแรงบันดาลใจที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ “ในการเล่าเรื่องให้มีอิมแพ็ค เราเน้นการตั้งคำถาม เพราะถ้าเราสงสัย เราจะออกไปหาคำตอบ เมื่อเราออกไปค้นหาเราจะเห็นปัญหา เมื่อเราเห็นปัญหา เราจะออกไปแก้ไข ออกไปปกป้อง และถ้าเราทุกคนเห็นพ้องว่าจะต้องแก้ไข เราจะลงมือทำและสามารถแก้ปัญหานั้นได้” เจรมัยกล่าวถึงกระบวนการสร้างแรงบันดาลใจที่มีจุดเริ่มต้นที่ต้นตอและแก่นของปัญหา ที่แตกยอดออกมาเป็นเรื่องราวที่ทั้งให้ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 

การเปลี่ยนแปลงที่ดีมีพื้นฐานมาจากความเชื่อและความเข้าใจ ฉะนั้นหนึ่งในวิธีที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนคือการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  เวที Planet Possible ที่ National Geographic จัดขึ้นในงานมหกรรมความยั่งยืน Sustainability Expo 2022 ร่วมสร้างแรงบันดาลจาก “การเล่าเรื่อง” อันทรงพลังผ่านสื่อต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบโดยช่างภาพและศิลปินรุ่นใหม่ที่ช่วยกระทุ้งและสร้างแรงกระเพื่อมในสังคม

เจรมัย พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ Media & Event Business บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  เกริ่นนำว่าการเล่าเรื่องที่ดีจะสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้  การพัฒนาอย่างยั่งยืนก็ต้องอาศัยแรงบันดาลใจที่จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ “ในการเล่าเรื่องให้มีอิมแพ็ค เราเน้นการตั้งคำถาม เพราะถ้าเราสงสัย เราจะออกไปหาคำตอบ เมื่อเราออกไปค้นหาเราจะเห็นปัญหา เมื่อเราเห็นปัญหา เราจะออกไปแก้ไข ออกไปปกป้อง และถ้าเราทุกคนเห็นพ้องว่าจะต้องแก้ไข เราจะลงมือทำและสามารถแก้ปัญหานั้นได้” เจรมัยกล่าวถึงกระบวนการสร้างแรงบันดาลใจที่มีจุดเริ่มต้นที่ต้นตอและแก่นของปัญหา ที่แตกยอดออกมาเป็นเรื่องราวที่ทั้งให้ความรู้และกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 


เวทีสัมมนา Planet Possible จึงได้ชวนคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในโครงการ “Explorer” ของ National Geographic มาเล่าเรื่องที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมผ่านภาพถ่ายและโครงการที่เปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์เริ่มจากมอลลี่ เฟอร์ริล สาวนักสำรวจที่เริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมผ่านเลนส์กับการทำงานในประเทศเมียนมาร์ก่อนที่จะย้ายมาประเทศไทย การเข้าไปถ่ายภาพสัตว์ป่าและการใช้ชีวิตคลุกคลีกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทำให้เธอได้เห็นความตั้งใจจริงและความเสียสละของเจ้าหน้าที่ในการดูแลอนุรักษ์สัตว์ป่า พืชพรรณ ได้เข้าใจถึงระบบนิเวศ และเริ่มตั้งคำถามที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม 

วัชรพงษ์ หงส์จำรัสศิลป์ นักชีววิทยาจากภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นเวทีเพื่อเล่าเรื่อง “กุ้งเดินขบวน” ปรากฏการณ์ธรรมชาติสุดมหัศจรรย์ที่จังหวัดอุบลราชธานี ที่วัชรพงษ์ต้องปีนบันไดลงไปติดตั้งกล้องที่ก้นเขื่อนเพื่อสังเกตดูพฤติกรรมของกุ้ง ตามลงไปถ่ายบนโขดหินสูงเพื่อติดตามการเดินขบวนของกุ้งนับหมื่นนับแสนตัว ถ่ายภาพกุ้งตัวเล็กที่กระดืบตัวขึ้นจากน้ำ เดินไปบนเส้นทางข้ามโขดหิน กิ่งไม้เพื่อจะเดินทางกลับ “บ้าน” ที่อยู่ต้นน้ำ เนื่องจากกระแสน้ำแรงเกินกว่าที่ขาเล็ก ๆ ของพวกมันจะพาตัวเองว่ายน้ำกลับบ้านได้

นอกจากจะเข้าใจเรื่องธรรมชาติของกุ้งแล้ว เรายังได้เห็นว่ากุ้งพวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความเชื่อและวัฒนธรรมพื้นเมือง ในฤดูแล้งเมื่อน้ำในแม่น้ำลดลงหินสลักรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ก้นแม่น้ำจะโผล่ขึ้นมาให้เห็น ชาวบ้านจึงเชื่อว่ากุ้งเหล่านี้เดินทางขึ้นมาบูชาพระนารายณ์  และในงานประจำปีของที่นี่ชาวบ้านจะจัดแสดงการเต้นรำพื้นเมืองที่มีเนื้อเพลงเกี่ยวกับการเดินขบวนของกุ้ง รวมถึงมีการทำรูปปั้นกุ้งขนาดใหญ่เพื่อโปรโมตการท่องเที่ยวด้วย 

“พอการท่องเที่ยวมา เราสังเกตว่าธรรมชาติเริ่มถูกรบกวน กุ้งลดจำนวนลง  ในอนาคตถ้าจำนวนกุ้งลดลงเรื่อย ๆ อาจมีผลกระทบต่อวิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นก็ได้ ดังนั้นสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาดูกุ้งเดินขบวน อยากจะฝากให้ทุกคนช่วยกันแค่อ่านป้ายคำแนะนำและปฏิบัติตามกฎก็จะช่วยอนุรักษ์ธรรมชาติได้” วัชรพงษ์กล่าว

ตากล้องรุ่นใหม่อีกคนหนึ่งที่มีดีกรีรางวัลระดับโลกการันตีฝีมือ “ชิน” ศิรชัย อรุณรักษ์ติชัย มาพร้อมกับเรื่องเล่าที่จะสร้างแรงบันดาลใจอีกเรื่องจากท้องทะเล

ความเครียดความกังวลที่สะสมระหว่างการล็อคดาวน์ช่วงโควิดระบาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ชินตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังหมู่เกาะอาดัง-ราวี จังหวัดสตูล เพื่อเยียวยาจิตใจ  แม้จะตั้งความหวังว่าจะได้ลงไปว่ายน้ำ ถ่ายภาพฉลามวาฬตัวโต แต่สิ่งที่ชินได้ค้นพบน่าประทับใจกว่านั้น ชินได้ใช้เวลาสังเกตการทำประมงของคนพื้นเมืองชาวอูรักลาโว้ย หรือชาวเลแห่งหมู่เกาะอาดัง-ราวี ที่ดูเรียบง่ายแต่มีเรื่องราวสะกิดใจอย่างมาก 

ชาวอูรักลาโว้ยใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมในการจับปลา ใช้ไม้ที่เหมือนหวายมาทำโครง และใช้ลวดมาดัดทำตาข่ายเป็นเครื่องดักปลา พวกเขาดำน้ำลงไปโดยใช้คอมเพรสเซอร์ป้อนอากาศผ่านท่อพลาสติกที่ติดตัวนักดำน้ำลงไปที่ก้นทะเล พวกเขาวางเครื่องดักปลาขนาดใหญ่นี้ไว้อย่างแน่นหนาที่ก้นทะเลไม่ให้เคลื่อนที่ไปทำลายหินหรือสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลเหมือนอวนลากของการทำประมงในเชิงพาณิชย์

“ชาวอูรักลาโว้ยเป็นนักดำน้ำและนักจับปลากันมาหลายชั่วอายุคน เขารู้ว่าปลาชนิดไหนอยู่ที่ไหน ต้องจับอย่างไร วิธีการจับปลาของพวกเขาจึงเลือกจับเฉพาะปลาที่ต้องการเท่านั้น และด้วยวิธีที่นุ่มนวล ไม่ทำลายท้องทะเล ไม่ทำลายปะการัง ปลาที่ได้จึงเป็นปลาที่ต้องการ และมีสภาพสมบูรณ์”

นี่เป็นที่ที่ทำให้ชินได้พบกับเชฟโจ ณพล จันทร์เกตุ เจ้าของร้านสามล้อที่เลือกสรรวัตถุดิบจากท้องถิ่นที่พบระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวมาทำเป็นอาหารจานเด็ดเสิร์ฟในร้าน และเชฟโจได้นำปลาสด ๆ จากทะเลอันดามันมาทำพล่าปลาให้ผู้ชมในงานได้ชิมกันด้วย

อีกหนึ่งเรื่องเล่าที่สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมคือเรื่องเล่าจากกลุ่มศิลปินในฟิลิปปินส์ที่ใช้จินตนาการและตั้งคำถามว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเราคิด มองโลก และทำทุกอย่างราวกับเราเป็นเกาะในทะเล โดยมีซาแมนธา ซารานดิน ที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ชักชวนเดวิด โลรัน ภัณฑารักษ์รุ่นใหม่ นิโคลา เซบาสเตียน นักเขียนสาว และ ฮานนาห์ เรเยส โมราเลส ช่างภาพจาก National Geographic มาร่วมกันสร้างโปรเจ็คเก๋ ๆ ที่ชื่อว่า Emerging Islands โครงการพิเศษของพวกเขาก็เกิดขึ้นในช่วงการล็อคดาวน์เช่นกัน

ในการรังสรรค์แต่ละโปรเจ็ค กลุ่ม Emerging Islands ชวนให้ศิลปินได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ และออกไปค้นหาคำตอบด้วยการพูดคุยกับผู้คน สังเกต และนำข้อมูลมาประมวลและนำเสนอในรูปแบบงานศิลปะที่มีความหลากหลาย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ หลากหลาย เช่น Follow the Water นิทรรศการภาพถ่ายกลางแจ้งที่สะท้อนภาพของท้องทะลและชีวิตที่เกี่ยวข้องกับทะเล  Plastic Passages ที่เก็บเอาเศษพลาสติกจากในท้องทะเลขึ้นมารังสรรค์เป็นงานศิลปะ Mebuyan’s Vessel งานศิลปะจัดวางที่แสดงความเคารพต่อเทพแห่งท้องทะเลซึ่งเป็นความเชื่อของชาวพื้นเมือง A Fold in the Horizon งานศิลปะที่ผสมผสานศิลปะการแสดงที่สะท้อนความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต

เดวิด โลรัน กล่าวว่า “ความร่วมมือเป็นปัจจัยสำคัญ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนทุกระดับทำให้เราได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ ในโลก ก็เหมือนกับหมู่เกาะที่เกิดขึ้นจากเกาะหลายแห่งรวมกัน และอยู่ร่วมกันกับน้ำ ลม อากาศ สิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย ทุกสิ่งอยู่ร่วมกันและร่วมมือกันจึงเกิดความสมดุลของธรรมชาติขึ้นมาได้”เรื่องเล่าจากคนรุ่นใหม่ที่รักการถ่ายภาพเหล่านี้ได้สร้างแรงบันดาลใจและชี้ให้ผู้เข้าชมงาน Sustainability Expo 2022 ได้เข้าถึงหัวใจของความยั่งยืน ได้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่าง ๆ และได้ตระหนักว่าการสร้างสมดุลคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความยั่งยืน

#SX2022 #GoodBalance #BetterWorld #BetterMe #BetterLiving #BetterCommunity
#SustainabilityExpo #SustainabilityExpo2022 #Sustainablity #สมดุลที่ดีเพื่อโลกที่ดีกว่า
#FrasersProperty #GC #SCG #ThaiBev #ThaiUnion #SXfoodFestival

มจ.เออาร์ไอพี และ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ.

มอบรางวัล THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2022 เชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ฅ

            เมื่อเร็ว ๆ นี้ นิตยสาร BUSINESS+ โดย บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานมอบรางวัล “THAILAND TOP CEO OF THE YEAR 2022”  รางวัลเพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กร   โดยได้รับเกียรติจาก ฯพณฯ นุรักษ์ มาประณีต (ที่ 4 จากซ้าย), คุณมนู เลียวไพโรจน์ ประธานกรรมการ บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) (ที่ 5 จากซ้าย), คุณแจ็ค มินทร์ อิงธเนศ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) (ที่ 6 จากซ้าย),  รศ.เกศินี วิฑูรชาติ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ที่ 3 จากซ้าย) , ผศ.ดร.มณฑล สรไกรกิติกูล หัวหน้าสาขาวิชาการบริหารองค์การ การประกอบการ และทรัพยากรมนุษย์ และรักษาการผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ที่ 2 จากซ้าย)  และ คุณบุญเลิศ นราไท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) (ที่ 7จากซ้าย)  ร่วมแสดงความยินดี 

ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ

“20 ปี พม. พัฒนางานสวัสดิการสังคม ก้าวสู่สังคมสวัสดิการ”


   วันศุกร์ที่ 30 กันยายน 2565 เวลา 09.00 น. นายอนุกูล ปีดแก้ว อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสวัสดิการสังคมไทย : 20 ปี พัฒนางานสวัสดิการสังคม ก้าวสู่สังคมสวัสดิการ ภายใต้งาน “20 ปี พม. เสริมพลัง สร้างโอกาส พัฒนาคนทุกช่วงวัย” พร้อมมอบใบประกาศนียบัตรสำหรับโครงการที่มีผลงานดีเด่น จำนวนทั้งสิ้น 83 องค์กร 83 โครงการ โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ และนางสาวธิดาพร เสาวนะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีผู้แทนส่วนราชการ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ผู้แทนหน่วยงานเครือข่ายระดับจังหวัด ผู้แทนคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์กรด้านการจัดสวัสดิการสังคม รวมทั้งสิ้น 430 คน เข้าร่วมโครงการ ณ ห้องราชาบอลรูม โรงแรมปรินซ์ พาเลซ มหานาค กรุงเทพมหานคร

   นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวง พม. ได้ดำเนินการขับเคลื่อนงานด้านสวัสดิการสังคมในภาพรวมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ 4 ระบบสวัสดิการหลัก ประกอบด้วย ระบบการช่วยเหลือทางสังคม ระบบการบริการทางสังคม ระบบประกันสังคม และระบบส่งเสริมหุ้นส่วนทางสังคม เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะครัวเรือนเปราะบาง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการสร้างความร่วมมือและประสานงานกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาหนุนเสริมการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน 


   นายอนุกูล กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมุ่งสู่สังคมสวัสดิการ กระทรวง พม. จึงได้จัดโครงการสวัสดิการสังคมไทย : 20 ปี พัฒนางานสวัสดิการสังคม ก้าวสู่สังคมสวัสดิการ ขึ้น เพื่อเป็นเวที นำเสนอผลงานด้านวิชาการและจัดให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของภาคีเครือข่ายด้านการจัดสวัสดิการสังคมที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม การแสดงผลผลิตและผลลัพธ์การจัดสวัสดิการของภาคีเครือข่ายให้เป็นที่ประจักษ์ รวมถึงพัฒนาศักยภาพด้านการจัดสวัสดิการสังคมแก่ผู้ปฏิบัติงานและภาคีเครือข่าย เพื่อมุ่งสู่การเป็น “นักสวัสดิการสังคม” ที่มีคุณภาพ 


   นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้ มีกิจกรรมที่สำคัญ ประกอบด้วย การอภิปรายภายใต้หัวข้อ “20 ปี พัฒนางานสวัสดิการสังคมก้าวสู่สังคมสวัสดิการ มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ” นิทรรศการวิชาการในประเด็นทิศทางงานสวัสดิการสังคมไทยสู่การลดความเหลื่อมล้ำ และพิธีมอบใบประกาศนียบัตร แก่องค์กรที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม ซึ่งมีโครงการและผลงานดีเด่น จำนวนทั้งสิ้น 83 โครงการ 83 องค์กร อาทิ 1) โครงการพัฒนาศักยภาพของครอบครัวในชุมชนในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อเสริมสร้างชีวิตที่ดีกว่า โดยมูลนิธิเพื่อการบริหารสังคม 2) โครงการฝึกอบรมการเลี้ยงกุ้งฝอยในกระชัง โดยศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดอำนาจเจริญ 3) โครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ให้เข้าใจสิทธิและบริการพื้นฐานต่อกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มวัย โดย ชมรม อพม. จังหวัดปทุมธานี เป็นต้น


   กระทรวง พม. พร้อมผนึกกำลังจากภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม เข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตสวัสดิการอย่างกว้างขวาง ครอบคลุม มีความเป็นอิสระต่อกัน ภายใต้ความรับผิดชอบและการดูแลของสังคมโดยรวม พร้อมสร้างสรรค์สวัสดิการสังคมให้สอดรับกับปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนและกลุ่มเปราะบาง เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างตรงจุดและขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่สังคมสวัสดิการ นายอนุกูล กล่าวในตอนท้าย

มาร่วมค้นหาอาณาจักรสาบสูญใต้ท้องทะเลรับปิดเทอมนี้! ‘ซีไลฟ์ แบงคอก’

เปิดแคมเปญใหม่ “The Lost City...เมืองลับใต้ทะเลลึกสุดมหัศจรรย์” 

เพราะเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ดีที่สุด เมื่อผู้เรียนรู้สึกสนุกสนานและมีความสุข ปิดเทอมนี้ ซีไลฟ์ แบงคอก(SEA LIFE Bangkok)จึงผูกเรื่องราวพร้อมจัดแสดงความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 

แอตแลนติส (Atlantis) อาณาจักรใต้ทะเลที่สาบสูญ ผ่านแคมเปญใหม่  “The Lost City...เมืองลับใต้ทะเลลึกสุดมหัศจรรย์”โดยมีการเนรมิตพื้นที่ด้านในอควาเรียมใหม่ภายใต้บรรยากาศเมืองโบราณที่จมอยู่ใต้ท้องทะเล พร้อมการกลับมาของโชว์สุดพิเศษที่หลายคนคิดถึงอย่าง “เมอร์เมด ไดฟ์”(Mermaid Dive)ที่เหล่านางเงือกจะพาพวกเราออกสำรวจเมืองลับแห่งนี้ไปพร้อมกัน ณ ซีไลฟ์ แบงคอก ชั้น บี1 – บี2 ศูนย์การค้าสยามพารากอน



การแปลงโฉมอควาเรียมในครั้งนี้ซีไลฟ์แบงคอก ได้ผูกตำนานของอาณาจักรแอตแลนติสที่เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยอำนาจและเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ถูกเทพเจ้าซุสบิดาแห่งเทพและมนุษย์ลงโทษเนื่องจากชาวเมืองเสพความสุขมากมายจนกลายเป็นกิเลสตัณหาเทพซุสจึงตัดสินใจทำลายเมืองทั้งเมืองด้วยอำนาจของเปลวเพลิง และแผ่นดินไหว จนทั้งอาณาจักรจมทะเลและหายสาบสูญไปในที่สุด ซีไลฟ์แบงคอกจึงได้เนรมิตบรรยากาศในอควาเรียมให้กลายเป็นเมืองใต้ทะเลในตำนาน เริ่มต้นที่อาณาจักรแห่งเซเบล (Kingdom of Xebel) ที่ได้แปลงโฉมอาณาจักรม้าน้ำเดิมให้กลายเป็นอาณาจักรแห่งเซเบลในตำนานซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังการล่มสลายของแอตแลนติสตามตำนานชาวเมืองเซเบลจะใช้ม้าน้ำเป็นยานพาหนะสามารถพบม้าน้ำ5 สายพันธุ์ได้ในโซนนี้ โดยแท็งก์ม้าน้ำแต่ละแท็งก์จะมีการนำซากเมืองโบราณประดับไว้อีกด้วย

โดยไฮไลต์เด็ดของอาณาจักรใต้ทะเลแห่งนี้จะรวมตัวอยู่ที่จุดถ่ายรูปห้ามพลาดอย่างThe Arena หรือ อัฒจันทร์แท็งก์ปะการังใต้ทะเลลึกด้วยขนาดสูงใหญ่ถึง 7 เมตรจึงครอบคลุมพื้นที่ทั้งชั้น B1 และ B2พร้อมตกแต่งภายในแท็งก์ใหม่ด้วยดอกไม้ทะเลเรืองแสงสีสันสดใส เพิ่มความโดดเด่นให้กับจุดถ่ายภาพซิกเนเจอร์ประจำอควาเรียมพร้อมนำเสนอโซนเคลย์ เวิร์คส (Clay Works)กิจกรรมปั้นดินเหนียว ให้น้องๆ ได้ออกกำลังข้อมือ ประดิษฐ์ที่คั่นหนังสือ DIYลายสัตว์โลกใต้ทะเลจากดินเหนียวด้วยตัวเองเพื่อเป็นของที่ระลึกจากซีไลฟ์แบงคอก



ในส่วนของอัฒจันทร์แท็งก์ปะการังพบกับอาณาจักรแอตแลนติสเต็มรูปแบบต้อนรับทุกคนด้วยซุ้มประตูโบราณ ด้านในตกแต่งด้วยพื้นหลังในบรรยากาศของเมืองใต้ทะเล พร้อมยกเสาอาคารโบราณ และรูปปั้นแกะสลักของเทพ

โพไซดอนแห่งท้องทะเลซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดชาวเมืองแอตแลนติสและเงือกสาวแห่งโลกใต้น้ำมาไว้ที่อควาเรียมแห่งนี้ เพื่อเป็นจุดถ่ายรูปแห่งใหม่ที่พลาดไม่ได้และทุกคนสามารถรับบทชนชั้นสูงของอาณาจักรแห่งนี้ได้เพียงนั่งที่บัลลังก์โบราณท่ามกลางปะการังสีสันสดใสที่สำคัญซีไลฟ์ แบงคอกก็ได้เตรียมโชว์พิเศษที่อยู่ในดวงใจใครหลายคนไว้ อย่าง“เมอร์เมด ไดฟ์”(Mermaid Dive)โชว์นางเงือกที่จะพานักสำรวจทุกคนออกสำรวจเมืองลับที่จมอยู่ใต้ทะเลลึกไปพร้อมกัน โดยสามารถรับชมได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ทำการแสดง4 รอบต่อวันในช่วง 11.45, 13.00,14.30 และ 16.15 น.จนถึงสิ้นปี 2022

ทั้งหมดนี้คือไฮไลต์เด็ดๆ ที่ซีไลฟ์แบงคอกสร้างสรรค์มาเพื่อเอาใจผู้ชมในทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นที่ชอบมาเก็บภาพสวยๆ หรือจะเป็นน้องๆ ในช่วงปิดเทอมกับโชว์พิเศษและกิจกรรมน่ารักที่เด็กๆ ต้องชื่นชอบ สามารถร่วมตื่นตาตื่นใจพร้อมรับความรู้คู่ความบันเทิงไปกับแคมเปญใหม่ “The Lost City...เมืองลับใต้ทะเลลึกสุดมหัศจรรย์” ได้แล้ววันนี้ที่ซีไลฟ์ แบงคอก ชั้น บี 1-2 สยามพารากอนพร้อมโปรพิเศษ! ซื้อ 1 ได้ถึง 2 ด้วยตั๋วแบบแพ็คคู่ที่สามารถให้เข้าชมได้ทั้งซีไลฟ์ แบงคอก และมาดามทุสโซ ในวัน Off-Peak ผู้ใหญ่ราคา 600 บาท เด็กอายุ 3-11 ปีราคา 500 บาท และวันPeak ผู้ใหญ่ราคา 650 บาท เด็กอายุ 3-11 ปี ราคา 550 บาท โดยสามารถตรวจสอบราคาในแต่ละวันได้ทางเว็บไซต์ คุ้มยิ่งกว่าเดิม! ซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้าถูกกว่า 10%ผ่านเว็บไซต์ https://www.visitsealife.com/bangkok/tickets/


ไปเที่ยวใหม่ ให้ใจฉ่ำ บันทึกความทรงจำดี ๆ ตามนายใหญ่เข้าสวนชวนเล่นหนาม

โครงการ “Refresh life ...by the way ไปเที่ยวใหม่ ให้ใจฉ่ำ”  โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
ขอแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวรับพลังธรรมชาติท่ามกลางความเขียวขจี ตามนายใหญ่เข้าสวนชวนเล่นหนาม  ในเขตอำเภอปะทิว จ.ชุมพร   เคยสงสัยมานานว่าผลไม้ลูกแดง ๆ ที่มีหนามแหลมรอบผล ผู้คนเรียกว่า “สละ” นอกจากวิถีชีวิตแบบชาวเลแล้ว ยังมีวิถีชาวสวนให้ตามไปชมกันอีกหลายจุด เพราะจังหวัดชุมพร เป็นหนึ่งในดินแดนแห่งผลไม้ หากสนใจเข้าไปเรียนรู้หรืออุดหนุนผลผลิต หนึ่งในสวนเกษตรที่น่าสนใจคือ “สวนนายใหญ่ คนเล่นหนาม” เห็นชื่อแล้วไม่ต้องตกใจ นายใหญ่ใจดี แถมหนามที่ว่า ยังนำมาซึ่งความอร่อยอีกด้วย

“สุวัชช์ ขยายแย้ม” เจ้าของสวนนายใหญ่ คนเล่นหนาม เล่าวว่าที่นี่เป็นสวนเกษตรผสมผสานท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อยู่ห่างสนามบินชุมพรเพียง 2 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวที่รอขึ้นเครื่องจึงนิยมแวะเข้ามาเที่ยวชมและชิมผลผลิตทางการเกษตร ภายในพื้นที่ 10 ไร่ ปลูกพืชสวนผสมตามคอนเซ็ปต์ “คนเล่นหนาม” 








ด้วยประสบการณ์การปลูกสละ รสชาดหวาน หอม อร่อย ที่สำคัญคือ เนื้อเยอะและปราศจากสารเคมี ด้วยประสบการณ์การปลูกสละของเจ้าของสวน ที่ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ตั่งแต่ขบวนการคัดต้นพันธ์ุในการปลูก หรือ แม้กระทั้งคัดเกสรเพศผู้ เพื่อใช้ในการผสมให้ติดลูก สละทุกช่อจะติดป้ายวันผสมเกสร เพื่อให้ทราบวันครบกำหนดที่ชัดเจน จึงทำให้ได้สละสุมาลีที่มีคุณภาพ

โดยจะเน้นต้นไม้ที่มีหนาม เช่น ทุเรียน และสละ รวมทั้งการปลูกพืชผักสวนครัว และการเลี้ยงผึ้ง นอกจากแวะเข้ามาซื้อหาผลไม้แล้ว ยังเปิดให้ทุกคนได้เรียนรู้วิถีเกษตร เช่น การผสมเกสรดอกสละ เนื่องจากสละเป็นพืชที่แยกเพศอย่างชัดเจน ต้นตัวผู้จะไม่มีลูก ส่วนต้นตัวเมียจำเป็นต้องรอเกสรจากตัวผู้มาผสมเพื่อออกผล เราจึงต้องนำเกสรตัวผู้มาผสมกับเกสรตัวเมีย หลังจากนั้นก็ติดป้ายบอกวันเวลาไว้ นับไปอีก 8 เดือนก็จะออกผลที่หอมหวานพร้อมรับประทาน หากสนใจผลสละจากการผสมเกสรของตัวเอง ก็สามารถสั่งจองไว้ได้ 

“สุธารัตน์ ขยายแย้ม” ทายาทคนเล่นหนาม อธิบายเพิ่มเติมว่า หากนักท่องเที่ยวเข้ามาที่สวน จะพบผลผลิตตามฤดูกาล เช่น ทุเรียน และมังคุด ส่วนผลผลิตที่มีให้ชิมทั้งปีคือสละ ทั้งสละสด และสละลอยแก้ว รวมทั้งน้ำผึ้งเดือนห้า ซึ่งทางสวนจะทำบ้านพักผึ้งไว้ตามป่าชายเขาและริมคลอง เมื่อผึ้งมารวมตัวกันแล้ว ก็จะนำกลับมาเลี้ยงไว้ในสวน เลี้ยงด้วยเกสรสมุนไพรต่าง ๆ และจะเก็บน้ำผึ้งตอนเดือนห้าเท่านั้น

นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ  เช่น ปลาดุกร้าดองน้ำผึ้งเดือนห้าโดยการนำผลผลิตจากชุมชนมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งผลิตภัณฑ์ตะกร้าจักสาน ที่ชาวบ้านร่วมกับผลิตเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว

ร่วมเก็บเกี่ยวความทรงจำดี ๆ กับวิถีของชาวชุมพรอันน่าชื่นชม ในโครงการ “Refresh life ...by the way ไปเที่ยวใหม่ ให้ใจฉ่ำ”  โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย


นักท่องเที่ยวที่ติดต่อเข้ามาล่วงหน้า สามารถจองแพ็กเกจ ...
ตามนายใหญ่เข้าสวน ชวนเล่นหนาม

สวนนายใหญ่ คนเล่นหนาม
โทร.0937319587  , 0927726788

Facebook/สวนนายใหญ่ คนเล่นหนาม 

#ท่องเที่ยวอำเภอปะทิว
#เที่ยวชุมชนยลวิถี
#วัฒนธรรมจังหวัดชุมพร
#สวนนายใหญ่คนเล่นหนาม




29 กันยายน 2565

รฟฟท. ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ 4 สถาบันการศึกษา

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับ 4 สถาบันการศึกษา เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2565 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าสายสีแดง (CT Depot) บริษัทฯ ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงทางวิชาการกับ 4 สถาบันการศึกษา ได้แก่ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน และวิทยาลัยเทคโนโลยียโสธรอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัยระบบราง ผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางระบบรางในภูมิภาค โดยมี ดร.รัชนีพร พุคยาภรณ์ พุกกะมาน อธิการบดี มหาวิทยาลัยศรีปทุม ดร.รัญญา ชุปวา ที่ปรึกษาฝ่ายบริหาร ผู้แทนจากวิทยาลัยเทคโนโลยียโสธรอินเตอร์เนชั่นแนล รองศาสตราจารย์ ดร.รสสุคนธ์ แสงมณี อธิการบดีจาก มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต ศรีภูธร อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน พร้อมทั้งผู้บริหารเข้าร่วมลงนาม

บริษัทฯ และ 4 สถาบันการศึกษาได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อพัฒนาบุคลากร องค์ความรู้ด้านงานวิจัยรวมทั้งนวัตกรรมระบบรางร่วมกัน โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลาง หรือฮับระบบรางของภูมิภาค โดยบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสู่ปริมณฑล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายขีดความสามารถและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการขนส่งทางราง ยกระดับมาตรฐานการให้บริการประชาชน ให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ด้วยมาตรฐานในระดับสากล มุ่งเน้นตอบสนองความต้องการของคนทุกกลุ่ม ด้วยการพัฒนาการให้บริการควบคู่กับการเดินรถไฟฟ้าที่มีคุณภาพ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้ทันสมัยด้วยการพัฒนาบุคลากรให้มีศักยภาพ เพิ่มความรู้และทักษะที่ตรงต่อความต้องการของอุตสาหกรรม รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมมาใช้ในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น



ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนองค์ความรู้ ผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อระบบคมนาคมขนส่งทางรางแก่หน่วยงานภายนอกด้วยความเข้มแข็งในการพัฒนาองค์ความรู้และบุคลากรเพื่อตอบสนองความต้องการเร่งด่วนของประเทศในด้านระบบขนส่งทางรางที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งภายในประเทศและภูมิภาค เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยีระบบรางของภูมิภาคต่อไปในอนาคต ซึ่ง 4 สถาบันการศึกษานี้ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงด้านงานวิจัยและนวัตกรรมจนเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่ได้ร่วมมือด้านวิชาการในครั้งนี้ รวมถึงกำหนดแผนการพัฒนาหลักสูตร Upskill & Reskill ในงานระบบราง โดยเน้นสร้างทักษะด้านระบบขนส่งทางรางระดับสูง และเปิดอบรมให้กับผู้ที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ


บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง แหล่งเรียนรู้ระบบขนส่งทางราง สร้างบุคลากร พัฒนาประเทศ

หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690
ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง

ไปเที่ยวใหม่ให้ใจฉ่ำ ฟินฝนพรำในอ้อมกอดเขา จ.ตาก

เอนกายในสายหมอก บอกรักสายลม ชื่นชมวิถีม้ง

ยามเช้าอันสดชื่น คือการเริ่มต้นที่ดีในแต่ละวัน เมื่อมีโอกาสได้ออกเดินทางอีกครั้ง ทุกคนต่างหวังว่าจะได้เจอกับภาพบรรยากาศที่ชื่นตาชื่นใจ ผ่อนคลายกันตั้งแต่ตื่นลืมตา แบ่งเบาความเหนื่อยล้าด้วยวิวสวย ๆ และอากาศบริสุทธิ์ ใครยังไม่เคยไปเยือน จ.ตาก อาจจะยังไม่รู้ว่า นอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวหลากสไตล์ที่มีให้เลือกเที่ยวกันได้ทั้งปีแล้ว ใน อ.พบพระ ยังมีมุมมองดี ๆ ที่รอให้เราไปสัมผัสกับความชื่นตา ชื่นใจ มองไปทางไหนก็สวยงาม เริ่มต้นกันตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น ไปจนตลอดค่ำคืน 

โครงการ  “Refresh life …by the way ไปเที่ยวใหม่ ให้ใจฉ่ำ” โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชวนไปดื่มด่ำท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขาณ “ม่อนหมอกตะวัน”1 ใน Unseen New Siries อ.พบพระ จ.ตาก ชวนกันไปเดินเล่นในสายลมหนาว เคล้าบรรยากาศในอ้อมกอดของขุนเขา รับอรุณด้วยสายหมอกขาวที่เข้ามาหยอกเย้ากันไปจนยามสาย ชื่นใจกับวิถีถิ่นชาวเชาเผ่าม้ง ที่ยังคงเอกลักษณ์อันน่าชื่นชม






พื้นที่ทางการเกษตรของขาวเขาเผ่าม้ง 

ม่อนหมอกตะวัน มุมชวนฝันแห่งบ้านป่าหวาย
“ม่อนหมอกตะวัน” บ้านป่าหวาย อ.พบพระ จ.ตาก เป็นพื้นที่ราบบนดอยสูงเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 1,100 เมตร เดิมเป็นพื้นที่ทางการเกษตรของขาวเขาเผ่าม้ง มีสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี และจะเริ่มหนาวมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายฝนไปจนถึงต้นปี สร้างแรงจูงใจให้สายแคมป์ปิ้งเข้ามาปักหลักกางเต้นท์ เกิดเป็นภาพแห่งความสุขที่บอกเล่าสู่กันฟังแบบปากต่อปาก จนเมื่อสามปีที่ผ่านมา ชาวบ้านป่าหวายได้รวมตัวเป็น “วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนหมอกตะวัน”เปิดให้บริการที่พักร้านอาหารและร้านจำหน่ายสินค้าชุมชน ทำให้นักท่องเที่ยวโดยทั่วไป สามารถเดินทางมาสัมผัสบรรยากาศท่ามกลางสายหมอกขาวได้ไม่ยาก

บนม่อนหมอกตะวันมีที่พักและร้านอาหาร รวมทั้งลานกางเต้นท์ให้บริการ เป็นลานกว้างใหญ่บนดอยกว่า 300 ไร่ รายล้อมด้วยหุบเขาใหญ่น้อย ในมุมมองแบบ 360 องศา ไฮไลต์ของม่อนหมอกตะวัน คือการได้แอบอิงอยู่ในสายหมอกกันตั้งแต่ยามเช้าไปถึงยามสาย ตลอดช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาว ส่วนหน้าแล้งสภาพอากาศบนม่อนหมอกตะวันยังคงเย็นสบายพร้อมสีสันของหุบเขาสีทอง มีการปลูกดอกไม้ที่หมุนเวียนไปตามฤดูกาล อาทิ ดอกเสี้ยน ที่เจริญเติบโตได้ง่ายในพื้นที่แห่งนี้

ด้วยพื้นที่กว้างขวางบนม่อนหมอกตะวัน ที่พักต่าง ๆ จึงกระจายตัวอยู่คนละมุม ต่างก็มีวิวที่เป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญคือ ไม่ต้องดั้นด้นออกไปไหนไกล ก็สัมผัสกับบรรยากาศแห่งสายหมอกได้ง่าย ๆ  โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนนี้



วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนหมอกตะวัน : วรรณวิไล แซ่กือ

ธุรกิจชุมชนเพื่อความยั่งยืน





ม่อนหมอกตะวัน เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติ ชื่นชอบความเงียบสงบ จึงไม่เหมาะกับสายเฮฮาปาร์ตี้ โดยเฉพาะหลัง 22.00 น. ต้องงดใช้เสียงอย่างเด็ดขาด ระบบไฟฟ้าของที่นี่ใช้โซลาร์เซลล์เป็นหลัก จึงต้องช่วยกันประหยัดไฟ ไม่นำอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เกินความจำเป็นขึ้นมาใช้ แต่ถือว่ามีความสะดวกสบายเพียงพอ ที่พักส่วนใหญ่ออกแบบอย่างมีสไตล์กลมกลืนกับธรรมชาติ ตามแนวทางของธุรกิจชุมชนเพื่อความยั่งยืน

เส้นทางขึ้นม่อนหมอกตะวัน ตั้งแต่หมู่บ้านป่าหวายขึ้นไป เป็นถนนคอนกรีตแคบ ๆ เลนเดียว  ค่อนข้างมีความคดเคี้ยวพอสมควร แม้จะมีระยะทางไม่ไกลมากนัก รถเก๋งทั่วไปสามารถขับขึ้นไปได้ แต่ก็ไม่แนะนำให้ขับรถขึ้นไปในช่วงกลางคืน หากมาถึง อ.พบพระ หรือ อ.แม่สอด  แนะนำให้หาที่พักก่อนจะเริ่มต้นเดินทางขึ้นสู่ม่อนหมอกตะวันในตอนเช้า ในตัวเมืองแม่สอดจะมีที่พักให้เลือกหลากหลายระดับ อาทิ โรงแรมฟอร์จูน แม่สอด ที่สะดวกสบาย อยู่ใกล้กับศูนย์การค้าโรบินสันและร้านอาหารต่าง ๆ

“ไก่ต้มสมุนไพร” ที่อาศัยไก่ที่เลี้ยงไว้ ทั้งไก่บ้านและไก่ดำ 

ไก่ต้มสมุนไพร เมนูโดนใจได้สุขภาพ
ชาวเขาเผ่าม้งที่หมู่บ้านป่าหวาย และในพื้นที่ใกล้เคียง ในเขต อ.พบพระ จ.ตาก ส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกร ทำสวน ทำไร่ และทำนาข้าวที่เรียกว่า “ข้าวม้ง” หรือ “ข้าวดอย” ปัจจุบันบนม่อนหมอกตะวัน ยังคงทำการปลูกข้าวตามไหล่เขา เกิดเป็นภาพที่สวยงาม

วิถีของชาวม้งยังคงความเข้มแข็งตามรากฐานดั้งเดิม ในเทศกาลงานประเพณี เช่น งานปีใหม่ม้ง ชาวบ้านจะแต่งกายชุดชาวเผ่าออกมาร่วมงาน เต็มไปด้วยสีสันแห่งความสุข อาหารที่นิยมทำกินกันทุกครัวเรือนคือ “ไก่ต้มสมุนไพร” ที่อาศัยไก่ที่เลี้ยงไว้ ทั้งไก่บ้านและไก่ดำ นำมาต้มกับสมุนไพรในท้องถิ่น อาทิ พลูคาว ว่านท้องใบม่วง ก้ามปูหลุด ตะไคร้ ฯลฯ ล้วนเป็นสมุนไพรที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย 

วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนหมอกตะวัน
วรรณวิไล แซ่กือ
Facebook/ม่อนหมอกตะวัน – Mon mok tawan ดอยป่าหวาย
โทร 082 647 6202 


“ไก่ต้มสมุนไพร”  

เมนูไก่ต้มสมุนไพร  มีกระบวนการง่าย ๆ เพียงเตรียมน้ำตั้งไฟให้เดือด ไส่เนื้อไก่ที่หั่นและล้างแล้วลงไป รอประมาณครึ่งชั่วโมงเมื่อเนื้อไก่เปื่อยได้ที่ ก็โปรยสมุนไพรนานาชนิดลงไป ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยเพียงเล็กน้อย ได้รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นสมุนไพรที่เต็มไปด้วยประโยชน์ ผักทุกชนิดสามารถกินได้  ไม่มีความขม แถมยังหวานอร่อย ในสมัยก่อน ใครที่ป่วยไข้ หรือเหนื่อยหน่ายจากการทำไร่ทำสวน รวมทั้งคนท้อง ก็จะต้องปรุงเมนูไก่ต้มสมุนไพรเพื่อบำรุงร่างกาย 

ชาวเขาเผ่าม้ง ยังสืบสานภูมิปัญญาการทอผ้าจากใยกัญชง เพื่อนำมาเป็นเครื่องแต่งกาย ด้วยกระบวนการอันพิถีพิถัน จนกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากนั้นยังมีผลิตภัณฑ์ชุมชนประเภทผ้าทอที่ออกแบบเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า และของใช้ต่าง ๆ รวมทั้งผลผลิตทางการเกษตรตามฤดูกาล






ตระเวนเที่ยวน้ำตกป่าหวาย ทุ่งดอกไม้บนดอย
ใกล้กับม่อนหมอกตะวัน ยังมีเส้นทางท่องเที่ยวแสนสวย เชื่อมโยงวิถีเกษตรอันตื่นตาตื่นใจท่ามกลางสภาพของหุบเขาใหญ่น้อยที่จะเปลี่ยนสีสันไปตามฤดูกาล เช่น “น้ำตกป่าหวาย” ที่อยู่ไม่ไกลจากม่อนหมอกตะวันมากนัก นอกจากนั้นระหว่างเส้นทางที่รถแล่นผ่านตลอดสองข้างทาง ใน อ.พบพระ ยังเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแสนสดชื่น ทั้งการปลูกนาข้าว รวมทั้งไร่ดอกกุหลาบ รวมทั้งไร่ดอกดาวเรือง ที่จะทอแสงสีเหลืองสวยงามท่ามกลางบรรยากาศอันเขียวชอุ่ม

น้ำตกป่าหวาย

ทุ่งดอกไม้บนดอย




 “โยเกิร์ตโฮมเมด” สูตรของทางร้าน 


ออกจากม่อนหมอกตะวันแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถแวะรับประทานอาหารในจุดชมวิวสุดชิลที่“ญั่งสู ฟาร์มฮัก”แปลงดอกไม้บนเนินเขาเตี้ย ๆ ที่มีการปลูกไม้ดอกชนิดต่าง ๆ ตามฤดูกาล อย่างในช่วงหน้าฝนนี้ มีทุ่งดอกเสี้ยนที่กำลังชูช่อสวยงามต้อนรับนักท่องเที่ยว พร้อมมุมรับประทานอาหารอันแสนร่มรื่น มีเมนูท้องถิ่นให้เลือกลิ้มหลายรายการ รวมทั้งเมนูดเด็ดของทางร้านอย่าง “ไก่ต้มสมุนไพร” สูตรชาวม้งแท้ ๆ เพราะเจ้าของร้านญั่งสูฟาร์ม ก็คือชาวม้งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาตั้งแต่เกิด และได้พัฒนาพื้นที่ทางการเกษตรของตัวเอง เป็นร้านอาหารแสนสวย เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจที่เหมาะกับผู้ที่รักธรรมชาติ มีเมนูอร่อยหลากหลายรายการ ที่พลาดไม่ได้ก็คือ “โยเกิร์ตโฮมเมด” สูตรของทางร้าน มาในสไตล์โยเกิร์ตเกล็ดน้ำแข็งเย็นชื่นใจ รสชาติละมุนสุด ๆ 

ญั่งสู ฟาร์มฮัก

ปวีณา ขวัญอาชากุล
โทร 097 9344269 Facebook/ญั่งสู ฟาร์มฮัก



ญั่งสู ฟาร์มฮัก โทร 097 9344269 

เมื่อสายฝนพรำพากันไปเที่ยวให้ชื่นฉ่ำหัวใจ “Refresh life …by the way ไปเที่ยวใหม่ ให้ใจฉ่ำ”ชวนไปสัมผัสประสบการณ์แห่งความสุขท่ามกลางขุนเขา จ.ตาก ไปกอดเขากอดหมอก ออกไปผ่อนคลาย ให้ลมหนาวช่วยเพิ่มความอบอุ่นใจกันตั้งแต่เช้าไปจนค่ำ เป็นอีกเส้นทางที่อยากให้ทุกคนจูงมือกันไปบอกรักเมืองไทยให้หายคิดถึง


ขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 


ท่องเที่ยวม่อนหมอกตะวัน
สุเมธ ศรีธีระวัฒน์ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านป่าหวาย 
โทร 083 903 1263 

วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวเชิงเกษตรม่อนหมอกตะวัน
วรรณวิไล แซ่กือ

Facebook/ม่อนหมอกตะวัน – Mon mok tawan ดอยป่าหวาย
โทร 082 647 6202 

ญั่งสู ฟาร์มฮัก
ปวีณา ขวัญอาชากุล

โทร 097 9344269 Facebook/ญั่งสู ฟาร์มฮัก

ททท. สำนักงานตาก
โทร 0 5551 4341 – 3
Facebook/taktravel 

ไปเที่ยวใหม่ให้ใจฉ่ำ ฟินฝนพรำในอ้อมกอดเขา จ.ตาก https://youtu.be/t-DU32EnIw8