31 มีนาคม 2565

กรมโรงงานฯผนึกกำลัง24 หน่วยงาน ประกาศ MISSION 2023 มุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก1,000,000 ตัน

 CO2จากมาตรการทดแทนปูนเม็ดสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน

กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)ร่วมกับ 24หน่วยงานจากภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา ประกาศ ‘MISSION 2023’ ผนึกกำลังมุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000ตันCO2(ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ภายในปี พ.ศ. 2566สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนสาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ มาตรการทดแทนปูนเม็ด

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ลัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้กล่าวภายหลังพิธีประกาศ ‘MISSION 2023’ในวันอังคารที่ 29มีนาคม 2565 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯว่ากระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตระหนักถึงประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้ความสำคัญต่อการยกระดับอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว และอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ การส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาแบบองค์รวม ตามโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว(Bio-Circular-Green Economy)เพื่อสร้างสมดุลทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรมในการปรับตัวรับกับมาตรการทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ รวมถึงการจัดการพลังงานและของเสียในภาคอุตสาหกรรม


นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม  กล่าวว่ากรอ.เป็นหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายจากมติคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ในการจัดทำ‘แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 - 2573 สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์รวมถึงน้ำเสียอุตสาหกรรม’ โดยได้กำหนดเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก ณ ปี พ.ศ. 2573รวมทั้งสิ้น 2.25 ล้านตันCO2ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ตามที่ได้แจ้งเจตจำนงการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs)ภายใต้ความตกลงที่ร้อยละ 20- 25 ซึ่งมาตรการทดแทนปูนเม็ดเป็นหนึ่งในมาตรการหลักภายใต้แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกดังกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 กรอ.ได้ร่วมกับหน่วยงานจากภาครัฐภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษาจาก 5 กระทรวง รวม 16 หน่วยงาน ลงนามบันทึกความเข้าใจการบูรณาการความร่วมมือในการจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์: มาตรการทดแทนปูนเม็ด จำนวน 300,000 ตันCO2ภายในปี พ.ศ. 2565 ซึ่งภาคีร่วมดำเนินการสามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวแล้ว เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2564ที่ผ่านมา

นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม

การประกาศเป้าหมายใหม่ และผนึกกำลังจากหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษาจาก 6 กระทรวง รวม 24 หน่วยงานเพื่อร่วมกันขับเคลื่อน ‘MISSION 2023’ในครั้งนี้มีความสำคัญและจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะช่วยให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมการผลิตใหม่ ๆ โดยใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะช่วยสนับสนุนภารกิจของ กรอ. ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์นอกจากนี้ยังสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ยกระดับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศที่ร้อยละ 40 ภายในปี พ.ศ. 2573 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2608ตามที่นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงเจตนารมณ์ในการประชุมระดับผู้นำ (World Leaders Summit) ในห้วงการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP 26) ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาด้วย นายวันชัย กล่าวปิดท้าย


ครบรอบ 130 ปี “อังกฤษตรางู”แบรนด์ไทยในตำนานกับการพัฒนาสิ่งใหม่ คงไว้ด้วยคุณภาพ

 

จากจุดเริ่มต้นกับการเป็น“ห้างขายยาอังกฤษตรางู” สู่การขยายธุรกิจ พัฒนาสินค้าและแตกไลน์สินค้ามากถึง25แบรนด์ในปัจจุบันภายใต้ 3กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล(Personal Care) กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ (Health Care)ตลอด 130 ปี กับแบรนด์ในตำนาน“ตรางู”สู่เบื้องหลังความสำเร็จภายใต้การบริหารงานของทายาทเจเนอเรชั่น 3 คุณอนุรุธ ว่องวานิชที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มหลากหลายการใช้งานพร้อมปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแต่ยังคงคอนเซ็ปต์การรักษาคุณภาพที่ดีไว้ตลอด130ปีและไม่ทิ้งความเป็นตัวตนในแบบฉบับของแบรนด์ตรางูพร้อมตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มอาเซียน 


 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพจำของ “อังกฤษตรางู”คือสัญลักษณ์โลโก้“งูมีลูกศรปัก”ที่สื่อถึง งูเป็นอสรพิษเปรียบเสมือนโรคภัยไข้เจ็บ ส่วน ลูกศรเปรียบเสมือนยารักษาโรคนั่นคือความตั้งใจในการคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์โลโก้และดีไซน์ซึ่งเป็นหนึ่งกลยุทธ์ในการสื่อสารของไอคอนิกแบรนด์ที่ “ตรางู” มีอยู่ โดยปีนี้ในโอกาสพิเศษฉลองครบรอบ 130 ปี อังกฤษตรางู จึงได้มีการพัฒนาโลโก้ขึ้นมาใหม่ใช้สีทองซึ่งเป็นสีที่ทรงคุณค่า เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความมั่งมี มั่งคั่งยั่งยืนเป็นมิตรและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งใช้สัญลักษณ์ลูกโลก เพื่อสื่อถึงการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ขยายไปทั่วโลก พร้อมตอบโจทย์ทุกกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน และอนาคต 

คุณอนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูกล่าวว่า “กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู ขอขอบคุณทุกความไว้ใจที่มอบให้อย่างยาวนานมาตลอด 130 ปีนับว่าเป็นกำลังใจสำคัญในการพัฒนาสิ่งใหม่คงไว้ด้วยคุณภาพ โดยปีนี้เรายังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งสร้างโปรดักส์อินโนเวชั่น ที่ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกยุคทุกสมัย ทุกเทรนด์ โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูมีผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมด 25แบรนด์ 20 ประเภทสินค้าแบ่งออกเป็น3กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหญ่ด้วยกัน คือ

1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care)ภายใต้แบรนด์หลัก ตรางู ประกอบด้วย แป้งเย็น เจลอาบน้ำ สบู่ บอดี้สเปรย์บอดี้มิสท์ทิชชู่เย็น ยาสีฟัน, แบรนด์เซนลุกซ์แป้งเด็กโคโลญจน์ แฮร์โทนิค,แบรนด์ควินนา แป้งน้ำ และผลิตภัณฑ์กันยุงภายใต้แบรนด์สกีโทลีน2.กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว(Skin Care)ประกอบด้วยแบรนด์ทีทรีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์ธรรมชาติจากออสเตรเลีย ได้แก่สบู่เหลวโฟมล้างหน้า และแบรนด์สกาแคร์ได้แก่กลุ่มเฟเชียลมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เช่น ทรีทเมนท์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงพร้อมปกป้องแสงแดดและเฟเชียลคลีนเซอร์3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ(Health Care)ประกอบด้วย กลุ่มยาเช่นCalciferol (วิตามินดี), Snake Brand Baby Set ยาแก้ไข้ ไอหวัดเด็กตรางู, Paineliefยาทาแก้อักเสบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์Lifetuneกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางเช่นกลุ่มยาพ่นปากเฮอร์เบิ้ลสเปรย์ตรางู กลุ่มเครื่องมือแพทย์เช่นหน้ากากอนามัยKN95เรสคิ้วการ์ดตรางูและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใส่เฝือกCast Comfort เป็นต้น 

คุณอนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูกล่าวว่า “กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู ขอขอบคุณทุกความไว้ใจที่มอบให้อย่างยาวนานมาตลอด 130 ปีนับว่าเป็นกำลังใจสำคัญในการพัฒนาสิ่งใหม่คงไว้ด้วยคุณภาพ โดยปีนี้เรายังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งสร้างโปรดักส์อินโนเวชั่น ที่ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกยุคทุกสมัย ทุกเทรนด์ โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูมีผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมด 25แบรนด์ 20 ประเภทสินค้าแบ่งออกเป็น3กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหญ่ด้วยกัน คือ

1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care)ภายใต้แบรนด์หลัก ตรางู ประกอบด้วย แป้งเย็น เจลอาบน้ำ สบู่ บอดี้สเปรย์บอดี้มิสท์ทิชชู่เย็น ยาสีฟัน, แบรนด์เซนลุกซ์แป้งเด็กโคโลญจน์ แฮร์โทนิค,แบรนด์ควินนา แป้งน้ำ และผลิตภัณฑ์กันยุงภายใต้แบรนด์สกีโทลีน2.กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว(Skin Care)ประกอบด้วยแบรนด์ทีทรีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์ธรรมชาติจากออสเตรเลีย ได้แก่สบู่เหลวโฟมล้างหน้า และแบรนด์สกาแคร์ได้แก่กลุ่มเฟเชียลมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เช่น ทรีทเมนท์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงพร้อมปกป้องแสงแดดและเฟเชียลคลีนเซอร์3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ(Health Care)ประกอบด้วย กลุ่มยาเช่นCalciferol (วิตามินดี), Snake Brand Baby Set ยาแก้ไข้ ไอหวัดเด็กตรางู, Paineliefยาทาแก้อักเสบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์Lifetuneกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางเช่นกลุ่มยาพ่นปากเฮอร์เบิ้ลสเปรย์ตรางู กลุ่มเครื่องมือแพทย์เช่นหน้ากากอนามัยKN95เรสคิ้วการ์ดตรางูและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใส่เฝือกCast Comfort เป็นต้น 


คุณอนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูกล่าวว่า “กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู ขอขอบคุณทุกความไว้ใจที่มอบให้อย่างยาวนานมาตลอด 130 ปีนับว่าเป็นกำลังใจสำคัญในการพัฒนาสิ่งใหม่คงไว้ด้วยคุณภาพ โดยปีนี้เรายังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งสร้างโปรดักส์อินโนเวชั่น ที่ตอบโจทย์การใช้งานหลากหลายอย่างต่อเนื่อง พร้อมปรับตัวให้เข้ากับทุกยุคทุกสมัย ทุกเทรนด์ โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูมีผลิตภัณฑ์รวมทั้งหมด 25แบรนด์ 20 ประเภทสินค้าแบ่งออกเป็น3กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหญ่ด้วยกัน คือ

1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care)ภายใต้แบรนด์หลัก ตรางู ประกอบด้วย แป้งเย็น เจลอาบน้ำ สบู่ บอดี้สเปรย์บอดี้มิสท์ทิชชู่เย็น ยาสีฟัน, แบรนด์เซนลุกซ์แป้งเด็กโคโลญจน์ แฮร์โทนิค,แบรนด์ควินนา แป้งน้ำ และผลิตภัณฑ์กันยุงภายใต้แบรนด์สกีโทลีน2.กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว(Skin Care)ประกอบด้วยแบรนด์ทีทรีผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์ธรรมชาติจากออสเตรเลีย ได้แก่สบู่เหลวโฟมล้างหน้า และแบรนด์สกาแคร์ได้แก่กลุ่มเฟเชียลมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เช่น ทรีทเมนท์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงพร้อมปกป้องแสงแดดและเฟเชียลคลีนเซอร์3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและสุขภาพ(Health Care)ประกอบด้วย กลุ่มยาเช่นCalciferol (วิตามินดี), Snake Brand Baby Set ยาแก้ไข้ ไอหวัดเด็กตรางู, Paineliefยาทาแก้อักเสบกล้ามเนื้อกระดูกและข้อกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์Lifetuneกลุ่มผลิตภัณฑ์เวชสำอางเช่นกลุ่มยาพ่นปากเฮอร์เบิ้ลสเปรย์ตรางู กลุ่มเครื่องมือแพทย์เช่นหน้ากากอนามัยKN95เรสคิ้วการ์ดตรางูและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใส่เฝือกCast Comfort เป็นต้น 


ในส่วนของกลยุทธ์การดำเนินงาน อังกฤษตรางู ยังคงเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่(Research & Development) พร้อมเน้นย้ำเรื่องการพัฒนามาตรฐานโรงงานและคุณภาพสินค้าโดยมีแนวทางในการพัฒนาสินค้าว่าจะต้องเป็นที่พึงพอใจของผู้บริโภคและเป็นสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม เข้ากับเทรนด์ตลาดและผู้บริโภคที่ผ่านมานอกจากอังกฤษตรางู จะทำการตลาดในไทยแล้วเรายังมีโอกาสเติบโตไปยังตลาดต่างประเทศอีกหลายประเทศพร้อมกับการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศเพื่อคิดค้นและพัฒนาสินค้าตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในท้องถิ่นนั้นๆรวมทั้งพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในยุคดิจิทัลมากขึ้น (Digital Transformation)ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และโซเชียลมีเดียของแบรนด์ทุกช่องทาง” 


นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดกิจกรรมทางการตลาด ในโอกาสฉลองครบรอบ 130 ปี กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู แคมเปญชิงโชคแจกทองและของรางวัลมากมายเพื่อขอบคุณคู่ค้าและตอบแทนผู้บริโภคโดยแคมเปญสแกนลุ้นโชคทอง ฉลองครบรอบ 130 ปี เพียงท่านซื้อผลิตภัณฑ์ในเครืออังกฤษตรางู ชนิดใดขนาดใดก็ได้ ก็มีสิทธิ์ลุ้นรับทองและของรางวัลรวมกว่า 130 รางวัลตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2565 ติดตามรายละเอียดเพื่อเติมได้ที่ Line OA : @snakebrandfamily และ Facebook : Snake Brand FanPageพร้อมจัดทำวิดีโอคลิปพิเศษ ในโอกาสครบรอบ 130 ปี โดยมีไฮไลท์สำคัญที่เสียงพากย์ในคลิป เป็นเสียงจากผู้บริหาร คุณอนุรุธ ว่องวานิช ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทอังกฤษตรางูที่ต้องการกล่าวขอบคุณกลุ่มลูกค้าด้วยตนเอง เพื่อขอบคุณทุกการสนับสนุน ขอบคุณทุกกำลังใจ โดยเนื้อหากล่าวถึง คนเราทุกคนมีความฝัน ทุกความฝัน ทุกความมุ่งมั่น ทุกความพยายาม คือการเดินทางที่ทำให้เราเติบโตและเดินทางไปถึงฝันร่วมกัน ขอบคุณที่ทำให้กลุ่มบริษัทอังกฤษตรางู เป็นส่วนหนึ่งของทุกความฝัน ทุกความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่ของคุณ ขอบคุณทุกแรงผลักดันให้เราก้าวต่อไป พัฒนาสิ่งใหม่ คงไว้ด้วยคุณภาพ 130 ปี อังกฤษตรางูติดตามชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=3oB-F8NByg4


 #SnakeBrand #130ปีอังกฤษตรางู #พัฒนาสิ่งใหม่คงไว้ด้วยคุณภาพครบรอบ 


เปิดกลยุทธ์ “คิสออฟบิวตี้” กับหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจความงาม สู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น เร่งเครื่องพัฒนาคุณภาพงานพร้อมเติบโตในระดับอาเซียน

ในไทย ภายใต้แบรนด์ “มาลิสสา คิส (Malissa Kiss)”พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านความงาม-อุปโภคบริโภคเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าด้วยความเข้าใจ ผ่านความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยี พัฒนาคุณภาพชีวิตลูกค้าให้ดีที่สุด เสริมทัพ2แบรนด์คุณภาพ“สกินอ๊อกซี่ (Skinoxy)”ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าแทงกีโมรี(DaengGi Meo Ri) ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นพรีเมียมจากเกาหลีตอกย้ำมาตรฐานการผลิตที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งมาตรฐานGMP และISOเร่งเครื่องปรับกลยุทธ์เดินหน้าธุรกิจสู่ ดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่นด้วยการตลาดแบบออมนิชาแนล(Omni Channel) เข้าถึงไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนไป ทั้งในรูปแบบออนไลน์ผสานออฟไลน์ และการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูล(Data Driven &Digitisation) วิเคราะห์ข้อมูลและเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมทั้ง การทำธุรกิจออนไลน์ข้ามประเทศ(Cross BorderEcommerce) การขยายตลาดการส่งออกและเติบโตสู่ต่างประเทศในรูปแบบออนไลน์เพื่อลดเวลาและต้นทุนตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน50 ล้านคน ภายใน 3 ปี

นายกิตติพนธ์ นามพิชญ์ธนสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัดกล่าวถึงหัวใจหลักในการทำธุรกิจว่า“คิสออฟบิวตี้ ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก WE THINK CUSTOMER FIRSTเราใส่ใจในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกมิติให้กับลูกค้า ด้วยการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด(innovation) ควบคู่ไปกับแนวคิดในการตั้งราคาที่เหมาะสม (affordability) และส่งมอบสินค้าคุณภาพดีเยี่ยม (quality) แก่กลุ่มลูกค้าทุกคนไม่ใช่แค่เพียงในประเทศไทยแต่ต้องเป็นระดับอาเซียน ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเพื่อให้ลูกค้าได้รู้สึกสนุกสนานไปกับการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนสวยงามโดดเด่นในแบบของตัวเอง การส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อมอบความสุขทุกครั้งที่ได้หยิบใช้ผลิตภัณฑ์”

บริษัท คิสออฟบิวตี้ จำกัดกว่า 9 ปี กับธุรกิจความงามของคนไทยเจ้าแรกในการบุกเบิกตลาดโลชั่นน้ำหอม“ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาคิสออฟบิวตี้ให้ความใส่ใจในทุกกระบวนการผลิตของโรงงานและคุณภาพผลิตภัณฑ์มาโดยตลอด ภายใต้มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลไม่ว่าจะเป็น ‘GMP’ มาตรฐานควบคุมการผลิต ที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองคุณภาพโดย TUV NORD สถาบันรับรองความปลอดภัยของประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นมาตรฐานการผลิตระดับสากลที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติทั่วโลกและ ‘ISO 22716’ ระบบจัดการด้านสุขลักษณะที่ดีในการผลิตเครื่องสำอาง ระบบมาตรฐาน

ระเบียบใหม่ของสหภาพยุโรป ซึ่งครอบคลุมการจัดการเรื่องการควบคุมคุณภาพการผลิต การจัดเก็บ บรรจุภัณฑ์และฉลาก การตรวจสอบกลับได้ การขนส่ง ตลอดจนระบบควบคุมเอกสารและบันทึกคุณภาพควบคุมอันตรายและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านความปลอดภัย ความยั่งยืน” 


ปัจจุบัน คิสออฟบิวตี้ พัฒนาแบรนด์สินค้าคุณภาพออกมา8แบรนด์หลักด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างหลากหลาย 1.มาลิสสา คิส (Malissa Kiss)ประกอบด้วย 7 ประเภทผลิตภัณฑ์ โลชั่นน้ำหอม สเปรย์น้ำหอมเจลว่านหางจระเข้เครื่องหอมภายในบ้านครีมอาบน้ำโฟมล้างมือ และ สเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพา2.แทงกีโมรี (Daeng Gi Meo Ri)ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมพรีเมียมจากเกาหลี ซึ่งเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 3.สกินอ๊อกซี่ (Skinoxy) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า4.มุนอา เฮ้าส์ (MoonA House)ประกอบด้วย 3 ประเภทผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าโลชั่นน้ำหอมแบบซองสเปรย์น้ำหอมขนาดพกพา5. ทูซัมวัน (2Some1)ผลิตภัณฑ์โลชั่นน้ำหอมแบบซอง 6.คลารีน่า (Claryna)ประกอบด้วย 2 ประเภทผลิตภัณฑ์ เครื่องทำความสะอาดผิวหน้า และ เครื่องกรองน้ำสำหรับการอาบน้ำ7.จูเลียต โคล (Juliet Cole)ประเภทผลิตภัณฑ์น้ำหอม8.ยูมะ (Yuma) ประกอบด้วย4 ประเภทผลิตภัณฑ์ เจลแอลกอฮอล์ล้างมือทิชชู่เปียกผสมแอลกอฮอล์หน้ากากอนามัยที่มีคุณสมบัติป้องกัน PM 2.5และหน้ากากอนามัยสำหรับเด็กโดย คิสออฟบิวตี้ ได้นำเสนอทุกแบรนด์ผ่านช่องทางการขายทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์อย่างครอบคลุมทั่วประเทศพร้อมตอกย้ำคุณภาพและความสำเร็จด้วยรางวัลการันตีจาก วัตสัน ประเทศไทยในรางวัลสุดยอดสินค้าขายดี Health Wellness and Beauty Awards ประเภท ‘โลชั่นน้ำหอมยอดขายดีที่สุด’ติดต่อกันถึง 5 ปีซ้อน (2560-2564) 

“ในส่วนของกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจ พร้อมทรานฟอร์มสู่ดิจิทัล คิสออฟบิวตี้ได้วางไว้ 4 แกนหลักด้วยกัน 1.การบริหารความพร้อมต่อสภาวะวิกฤต(Business Continuity Planning) คือการมีแผนงานสำรองอย่างชัดเจนเพื่อรองรับทุกปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในสถานการณ์โลกต่างๆ2. การตลาดแบบออมนิชาแนล (Omni Channel)การผสานโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนไป 3. การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการใช้ข้อมูล (Data Driven &Digitisation)ด้วยการนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์ เพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น และนำมาปรับกลยุทธ์ต่างๆ ภายในบริษัท 4. การทำธุรกิจออนไลน์ข้ามประเทศ (Cross BorderEcommerce)เป็นโอกาสในการขยายตลาดการส่งออก และเติบโตสู่ต่างประเทศ ภายใต้งบประมาณที่ต่ำกว่าการส่งออกในรูปแบบเดิมๆ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศต่างๆ ทั้ง จีน ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย และมีแผนที่จะขยายให้ครอบคลุมไปยังกลุ่มประเทศ CLMV(กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์) อีกด้วยพร้อมตั้งเป้า 25:50:50 เป็นสัดส่วนของเป้าหมายที่กำลังเร่งเดินหน้าให้เกิดขึ้นภายในปี 2025 โดยบริษัทจะมีลูกค้า 50 ล้านคนทั่วทั้งอาเซียนและมียอดขายจากช่องทางออนไลน์ 50%” นายกิตติพนธ์กล่าวทิ้งท้าย



Central X VogueSummer in The City Fashion Show

สะกดทุกสายตาด้วยแฟชั่นโชว์สุดอลังการ ใจกลางเมือง ตอกย้ำผู้นำด้านแฟชั่นอันดับหนึ่งของเมืองไทย

ผ่านพ้นไปอย่างยิ่งใหญ่ และประสบความสำเร็จเกินคาด!สำหรับงานแฟชั่นโชว์สุดอลังการแห่งปี “Central x Vogue Summer in The City Fashion Show” จากการผนึกกำลังระหว่าง “ห้างเซ็นทรัล”และนิตยสาร “โว้ก ประเทศไทย” ที่ได้สร้างสรรค์งานครั้งนี้ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางแฟชั่น ระดับ ทอล์คออฟ เดอะ ทาวน์ ภายใต้คอนเซ็ปต์“Summer in the City”ถ่ายทอดบรรยากาศซัมเมอร์ของเมืองใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยแฟชั่นอันสดใสและจัดจ้าน ด้วยขบวนแฟชั่น Spring/Summer 2022  และไอเท็มชิ้นเด็ด จากกว่า 60 

แบรนด์ดัง ทั้งจากแบรนด์ไทยระดับแถวหน้า และแบรนด์หรูชื่อก้องโลก ที่ยกมาไว้บนรันเวย์สุดอลังการใจกลางเมืองหลวง เพื่อให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าได้มาอัปเดตเทรนด์กับแฟชั่นโชว์ทั้ง 3 รอบตลอด 2 วัน ในวันที่ 24 และ 25 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมาณ บริเวณลาน Square E,F ชั้น 1 ห้างเซ็นทรัล แอทเซ็นทรัลเวิลด์ภายใต้มาตรการด้านสุขอนามัยที่เคร่งครัดขั้นสูงสุด คืนชีพให้กรุงเทพมหานครได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง!



ภายในงานเนรมิตลานสแควร์  ห้างเซ็นทรัลแอทเซ็นทรัลเวิลด์ ให้เป็นรันเวย์แลนด์มาร์คของแฟชั่นรับซัมเมอร์ ที่อัดแน่นทั้งแบรนด์แฟชั่นระดับลักชัวรี , แบรนด์สตรีตแวร์ และแบรนด์แฟชั่นสำหรับเด็กจากห้างเซ็นทรัลพร้อมได้รับเกียรติจากพิชัย จิราธิวัฒน์กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล, มร. โอลิวิเยร์ บรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มห้างสรรพสินค้า ในเครือเซ็นทรัล รีเทล, โลร็องต์โปซประธานบริหารสาย Commercial บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล, ธาพิดานรพัลลภ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายบริหารสินค้าลักชัวรี่และแฟชั่นสตรี บริษัทสรรพสินค้าเซ็นทรัลจำกัดในเครือเซ็นทรัลรีเทลพร้อมด้วยคณะผู้บริหาร อีกทั้งยังขนทัพเหล่าเซเลบริตี้แฟชั่นไอคอนตัวท็อปและคนดังจากหลากหลายวงการพร้อมใจกันมาร่วมอัพเดตเทรนด์แฟชั่น รวมทั้งอินสไปเรชันในการครีเอทลุคสุดแซบรับซัมเมอร์นี้แบบจัดเต็มทั้ง 3 รอบ ตลอด 2 วัน ส่วนทีมหน้าจอที่ติดตามชมผ่านไลฟ์สดทาง Facebookและ Youtubeของ Central Department Storeและ  Vogue Thailandก็คึกคักไม่แพ้กัน มีผู้ชมเข้ามาอัพเดตเทรนด์ในทุกช่องทาง 


รวิศรา จิราธิวัฒน์ ประธานบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวว่า “ห้างเซ็นทรัล ถือเป็นไลฟ์สไตล์เดสติเนชันที่รวบรวมแบรนด์ระดับโลกทั้งไทยและต่างประเทศไว้มากมายเรียกได้ว่าเรามีแฟชั่นครบทุกแบบและหลากหลายมากที่สุด ครั้งนี้เราได้ร่วมกับ นิตยสารโว้กประเทศไทย จัดแฟชั่นโชว์สุดยิ่งใหญ่ เพื่อประกาศจุดยืนการเป็นผู้นำด้านแฟชั่นในธุรกิจค้าปลีกอย่างแท้จริง พร้อมอัพเดตเทรนด์แฟชั่นคอลเลกชันใหม่ๆ ผ่านแฟชั่นโชว์ถึง 3 รอบ ซึ่งจะทำให้ซัมเมอร์นี้ของทุกคนสนุกยิ่งขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ” 

ด้าน กุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการบริหารนิตยสาร โว้ก ประเทศไทยและท็อปลิสต์แห่งวงการแฟชั่นไทย กล่าวว่า “การร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสำคัญในการสร้างสรรค์แฟชั่นโชว์ครั้งแรก กับห้างเซ็นทรัลที่มีความพิเศษมากมาย ทั้งในเรื่องของการครีเอทรันเวย์ และการรังสรรค์โชว์ต่างๆ รวมไปถึงในช่วงท้ายของแฟชั่นโชว์ทั้ง 3 รอบ ยังได้พบกับโชว์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ“Curated by Vogue”โดยเหล่าบรรณาธิการและทีมงานมืออาชีพผู้โลดแล่นในวงการแฟชั่นมานานนับทศวรรษที่ได้หยิบแฟชั่นฮอตและไอเท็มเด็ดจาก

แบรนด์ชั้นนำในครั้งนี้ มาสไตลิ่งลุคในแบบฉบับของ Vogue พร้อมส่งต่อไอเดียในการมิกซ์แอนด์แมตช์ให้คอแฟชั่นทุกคน ซึ่งรับรองได้ว่าสามารถนำไปแต่งตามได้จริงในซัมเมอร์นี้แน่นอน”

สำหรับโชว์วันแรก ในวันที่ 24 มี.ค. เปิดตัวอย่างอลังการ ด้วยโชว์“LUXE Brands and Thai Designers Fashion Show”ที่มาพร้อมไฮเอนด์แฟชั่น บนรันเวย์ที่ถ่ายทอดบรรยากาศของเมืองใหญ่อันมีสีสันจัดจ้าน อันเป็นจุดร่วมของสังคมเมืองทั่วโลกที่ผู้คนต่างคุ้นตา โดยมีเหล่าแฟนิสต้าและเซเลบริตี้ตบเท้าเข้ามาอัปเดทเทรนด์ ชมแฟชั่นกันอย่างคึกคัก อาทิ พลพัฒน์อัศวะประภา,จุฑาธรรม จิราธิวัฒน์, จุฬาลักษณ์ ผลภิภม,  มลลิกาเรืองกฤตยา,วทานิกา ปัทมสิงห์,อาคาร จิราธิวัฒน์, กีรัติ์สุดา จิราธิวัฒน์, เพชรธรา จิราธิวัฒน์, พิมสิริ นาคสวัสดิ์,นวดี โมกขะเวส, รวิวัลย์ ทานาก้า, ภิพัชรา แก้วจินดา,จงกล พลาฤทธิ์, โบว์เมลดา , น้ำตาลพิจักขณา , เป๊กเปรมณัช, จันจิจันจิรา , ฌอห์ณ จินดาโชติ,พอร์ช ศรันย์, สกาย วงศ์วรี , กัปตัน ชลธร, โอบ นิธิ, โอปอล์ ปาณิสรา,  ผักไผ่ปารีณา , ก้อยอรัชพร , นัตตี้นันทนัท  , มินนี้ ภัททิยา , เชาว์ ชวลิต , วาววา ณิชชารี , เฟิด คาริญญ์ยวัฒ, โอปอล์ปานหทัย ,บุ๊ค ณัชชารีย์ , เปียงกันตพงศ์ , เจฟวรกมล, จิณณ์ จิณณะ , โดนัท ภัทรพลฒ์ฯลฯสำหรับรอบนี้ได้นักแสดงและนางแบบสาวคารีสา สปริงเก็ตต์ มารับหน้าที่พิธีกรภาคสนาม พูดคุยอัปเดตเทรนด์กับเหล่าคนดัง ก่อนถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย เมื่อแฟชั่นโชว์เริ่มต้นขึ้น ในบรรยากาศปาร์ตี้ ที่มาพร้อมกองทัพแบรนด์ระดับลักชัวรี ทั้งจากไทยและต่างประเทศ พาเหรดกันออกมาอวดสีสันแฟชั่นซัมเมอร์บนรันเวย์อาทิ แบรนด์ดังจากอิตาลีMoschino ซึ่งครองใจทุกคนด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ส่วนใครชื่นชอบแฟชั่นผู้ดีอังกฤษ ต้องไม่พลาดแบรนด์หรู “Vivienne Westwood” ตามด้วยแบรนด์สไตล์คอนเทมโพรารีจากแคนาดา “PortsPURE”และแบรนด์แฟชั่นเฮ้าส์สัญชาติฝรั่งเศส “Maje” และ  “Sandro” รวมทั้งยังมีแบรนด์ระดับโลก สำหรับสาวช่างฝัน อย่าง “Alice + Olivia” และแบรนด์ชั้นนำจากอเมริกา “Polo Ralph Lauren”นอกจากนี้ยังมีGuess, Lancel, Marimekko, Michael Kors และ Coachที่จะมาทำให้แฟชั่นโชว์ครั้งนี้สนุกมากยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มบรรยากาศของงานปาร์ตี้ให้กับโชว์ชุดนี้ไปอีกขั้นด้วยบทเพลงจากนักร้องชื่อดังอย่าง ‘บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์’

ส่วนสาวกแบรนด์ไทยดีไซน์เนอร์ ก็มีมาให้ชื่นชมแน่นรันเวย์ ทั้งแบรนด์ไทยชื่อก้องโลก อย่าง Vatanika,Vickteerut, Jensuda, Milin, Anchavika, Disaya, ASV รวมถึงยังมีแบรนด์ดัง Asava ที่เคยอวดความงดงามของแฟชั่นและฝีมือดีไซน์เนอร์ไทยให้ชาวโลกได้เห็น ผ่านการดีไซน์ชุดไทยประยุกต์ให้ ลิซ่า Blackpink ในโซโล่อัลบั้มของเธอ และ Klosetแบรนด์ดังสัญชาติไทยที่ครองใจสาวๆ หลายประเทศ รวมทั้งแบรนด์ Pipatchara, Gentle Women, Soda และ The Parrot  ที่พาเหรดกันมาให้อัพเดตเทรนด์แบบจัดเต็ม ซึ่งแต่ละลุคขอคอนเฟิร์มว่าแต่งตามได้ในชีวิตจริง!

ต่อกันในแฟชั่นโชว์วันที่ 2 วันที่ 25 มีนาคม 2565 กับ 2 แฟชั่นโชว์ 2 สไตล์ เริ่มจากรันเวย์แรกที่เต็มไปด้วยความน่ารักสดใส กับโชว์ “Kids Fashion Show” ที่ถ่ายทอดเมืองในมุมมองของเด็กๆ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสนุกสนาน เหมือนอยู่ในสวนสนุกวันเดอร์แลนด์ เต็มล้นด้วยสีสันและจินตนาการอันสร้างสรรค์ พร้อมเอาใจน้องๆ หนูๆ ด้วยกองทัพแฟชั่นและไอเท็มจากแบรนด์ดังมากมาย ที่คัดเน้นๆ มาให้เลือกใส่รับซัมเมอร์นี้โดยมีคุณพ่อคุณแม่คนดัง พาเหล่าลูกๆ แฟชั่นนิสต้าตัวน้อย มาจับจองที่นั่งฟรอนต์โรว์ เพื่ออัพเดทเทรนด์แฟชั่นติดรันเวย์กันอย่างคึกคัก อาทิจงกล และอภินัทธ์ พลาฤทธิ์ ควงคู่มากับลูกชายสุดหล่อ, พนิดา เอี่ยมศิรินพกุลและน้องชื่นใจ, ธัญรดี ธรรมมณีวงศ์, สุพินดา หวังเจริญทรัพย์คณา, ลูกจ๋า วรินทรา ,เผือกพงศธร จงวิลาส, พิ้งค์ สรัญรัชต์,น้องโสน(ลูกสาวมอสปฏิภาณ) , น้องลัลลาเบล (ลูกสาวไอด้าไอรดา) ฯลฯ  ท่ามกลางเหล่านางแบบและนายแบบรุ่นจิ๋ว ที่พาเหรดกันออกมาโชว์แฟชั่นด้วยลีลาสุดน่ารัก และเป็นมืออาชีพไม่แพ้ผู้ใหญ่ ในแฟชั่นหลากสไตล์จากหลายแบรนด์ดัง นำโดย แบรนด์หรูระดับโลก อย่างMoschino Kids, Emporio Armani Junior, Paul Smith Junior, Kenzo Kids, Little Marc Jacobs, Boss Kids, Zara Kids และ Cath Kidstonหรือจะเป็นสไตล์สปอร์ตแบรนด์ชื่อดังทั้งNike Kids, Adidas Kids, Fila Kidsและ Rookie USA ก็มีมาให้เลือกกันอย่างครบครัน นอกจากนี้ยังมีแฟชั่นที่เอาใจขวัญใจเด็กๆ อย่างSanrio รวมถึง Sfera Kids, Defry01,Little Celebs และ FOF เป็นต้นรวมทั้งยังมีไฮไลท์เด็ดสำหรับนางแบบกิตติมศักดิ์ตัวน้อย อย่าง “น้องไลลา”ลูกสาวคนสวยของคุณแม่ พอลล่า เทเลอร์  ซึ่งบินกลับมาถึงเมืองไทยแบบสด ๆ ร้อน ๆ เพื่อขึ้นโชว์แฟชั่นบนเวทีแห่งนี้อีกด้วย!

จากนั้นยกรันเวย์ให้สาวกแฟชั่นแนวสตรีท กับโชว์ปิดท้าย อย่าง “Street Brands Fashion Show”ที่ถ่ายทอดบรรยากาศการใช้ชีวิตของคนเมือง ผสมผสานกับแอคทีฟไลฟ์สไตล์ แนวสตรีทแสนสนุก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้แฟชั่นสไตล์นี้เป็นอมตะ และได้รับความนิยมในทุกยุคทุกสมัย โดยได้ แอนชิลี สก๊อต-เคมมิส นางแบบและเจ้าของตำแหน่ง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2021 รับหน้าที่พิธีกรภาคสนาม พูดคุยอัพเดป

เทรนด์กับเหล่าคนดัง เปิดความหมายของแฟชั่น พร้อมอินสไปร์การแต่งตัว เพื่อโชว์ตัวตนในแบบของตัวคุณเอง! โดยมีเหล่าเซเลบริตี้ที่มาเข้ามาร่วมอัปเดทเทรนด์กันอย่างคับคั่ง อาทิ โต้ง ทูพี ,พลอย หอวัง,อแมนด้าชาลิสา ออบดัม, โยเกิร์ต ณัฐฐชาช์, พีเคปิยะวัฒน์, เฟิร์น อิสรีย์, จิงจิงวริศรา ,พิ้งค์พลอย ปภาวดี, ยูโร ยศวรรรน์ , โบกี้ พิชญ์สินีฯลฯที่จัดเต็มด้วยเสื้อผ้าและไอเท็มแนวสตรีทแวร์สุดฮอตมาร่วมชมแฟชั่นโชว์ที่มาพร้อมการเล่นโรลเลอร์เบลดและสเก็ตบอร์ดตลอดการเดินแฟชั่นบนรันเวย์  ซึ่งสะท้อนคัลเจอร์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเด็กสตรีทขนานแท้! พร้อมด้วยบรรดาแบรนด์ดังระดับโลก อาทิ Nike, Adidasและ Tommy Hilfiger ซึ่งครองใจแฟนๆ เสมอมา นอกจากนี้ยังมี EA7 แบรนด์สปอร์ตคุณภาพแน่น Emporio Armani,  Evisuแบรนด์สตรีทแวร์แนวนิปปอน, Takeo Kikuchiอีกหนึ่งแบรนด์ชื่อดังจากญี่ปุ่น รวมทั้งแบรนด์ Scotch & Soda, Champion,Fila,Khaki Bros,Fred Perry,Pronto,Pavament,The North Faceและ Zaraเป็นต้น เรียกว่าเป็นอีกรันเวย์ ที่มอบแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้สนุกไปกับแฟชั่นรับซัมเมอร์ ที่บ่งบอกตัวตนของเรา!

ต้องบอกว่า “Central x Vogue Summer in The City Fashion Show” เป็นสุดยอดแฟชั่นโชว์ภายใต้ข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ ที่ทำให้ใจกลางเมืองหลวงกลับมาคึกคักและได้รับเสียงตอบรับที่ดีซึ่งนอกจากจะได้อัพเดตเทรนด์ฮอตรับซัมเมอร์แล้ว ยังได้อินสไปร์ให้ทุกคนได้ครีเอทลุคสุดปัง สะท้อนตัวตนได้แบบไม่ต้องกลัวว่าเอ้าท์! ใครที่พลาดงานนี้ สามารถติดตามภาพความอลังการของแฟชั่นโชว์ย้อนหลังได้ที่Facebook และ Youtubeของ Central Department Store และ Vogue Thailand