08 พฤศจิกายน 2562

งาน PHOTO FAIR 2019 พร้อมเต็ม100



สมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ แถลงข่าวจัดงานมหกรรมการถ่ายภาพครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี งาน “PHOTO FAIR 2019” ชูแนวคิด “Share Your Wonder แชร์ความมหัศจรรย์แห่งโลกของภาพถ่าย” ซึ่งเป็นการแถลงครั้งที่ แสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของการจัดงาน ซึ่งมีความพร้อมเต็มร้อย โดยความร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ดัง ตอบรับเข้าร่วมงานกว่า 80 บูธ มาพร้อมโปรโมชั่นแรง ๆ และจากสมาคมฯ เตรียมโปรโมชั่นเสริมไว้อีกนับล้านบาท ร่วมปลุกกระแสการถ่ายภาพเอาใจคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องกล้อง เข้าชมฟรี งานเดียวที่คุ้มที่สุดแห่งปี ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค – พฤศจิกายน 2562 – นางณริภา ศรีสว่างวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ ประธานจัดงานโฟโต้แฟร์ “PHOTO FAIR 2019” กล่าวในงานแถลงข่าวเตรียมความพร้อมจัดงาน PHOTO FAIR 2019 






ขณะนี้ทางสมาคมฯ ได้เตรียมพร้อมในทุกด้าน สำหรับการจัดงาน แสดงเทคโนโลยีทางการถ่ายภาพ
 ซึ่งมีความพร้อมเต็มร้อย เนื่องจากมีพันธมิตรแบรนด์ดังตอบรับเข้าร่วมงานกว่า 80 บูธ ประกอบด้วยบริษัทห้างร้านต่าง ๆ อาทิเช่น บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด, บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท อิสท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด เดอะดิจิตอลเอสทีเอ็ม, บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไซโน พรอมมิส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) , บริษัท เวิลด์คาเมร่า กรุ๊ป จำกัด , บริษัท พาราโบล่า จำกัด, บริษัท แอดวานซ์โฟโต้ซีสเทมส์ จำกัด , ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอกศิลป์อุตสาหกรรม, บริษัท พิกซ์โปรส์เฮ้าส์ เซลส์ จำกัด ฯลฯ เผยมีพันธมิตรแบรนด์ดัง ตอบเข้าร่วมงานกว่า 80 บูธ พบกัน 27 พ.ย.- ธ.ค.2562 ที่ไบเทค บางนา



รวมทั้งยังมีโปรโมชั่นเสริมอีกนับล้านบาท ที่สมาคมฯ เตรียมจัดไว้ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลุ้นกัน ทั้งนี้เพื่อตอบรับกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าชมงานไม่ว่าจะเป็นจากน้อง ๆ กลุ่มวัยรุ่น นักเรียนนักศึกษา ประชาชนทั่วไป ได้เกาะติดการจัดงานอย่างใกล้ชิด จากการที่น้องๆ ส่งคลิปวีดีโอมาร่วมประกวด ล่าสุดมีทั้งหมด 19 ทีมแล้ว โดยแต่ละทีมมีการนำเสนอ คอนเทนต์ประชาสัมพันธ์การจัดงานโฟโต้แฟร์ ได้น่าสนใจ และยังมีการกด Like กดแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะประกาศทีมชนะเลิศในวันที่ 25 พ.ย.2562 และทีมที่ชนะเลิศจะได้รับรางวัลในงานโฟโต้แฟร์ 2019 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันที่ 27 พ.ย. - 1 ธ.ค.2562

การประกวดคลิปวีดีโอ ถือเป็นกิจกรรมประชาสัมพันธ์ส่วนหนึ่งของงานโฟโต้แฟร์ 2019 โดยในปีนี้นับเป็น ครั้งที่ 30 ที่สมาคมฯ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการถ่ายภาพ บริษัทผู้คิดค้นเทคโนโลยี นำอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยต่อวงการถ่ายภาพมาจัดแสดงและได้มาพบกัน ภายใต้แนวคิด “Share Your Wonder แชร์ความมหัศจรรย์แห่งโลกของภาพถ่าย” โดยหวังให้งานในครั้งนี้เป็นมากกว่างานกล้องทั่วๆไป และเชื่อว่าจะเป็นอีกงานที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีให้เติบโตยิ่งขึ้น






สำหรับไฮไลท์งานในปีนี้ ที่คาดว่าจะช่วยดึงดูดให้มีผู้เข้าชมงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชั่นพิเศษทั้งจากร้านค้าและสมาคมฯ เพิ่มเติมให้ในการซื้อหาอุปกรณ์ถ่ายภาพ และร่วมสนุกชิงรางวัล รถยนต์ กล้องถ่ายรูป พร้อมด้วยกิจกรรมงานสัมมนาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ พบกับช่างภาพชื่อดังในสายงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพสินค้า อาหาร โฆษณาต่าง ๆ มีให้ได้ศึกษาเพิ่มเติมความรู้ และเทคนิคเพื่อไปปรับใช้ในการถ่ายภาพของคุณให้มีความมหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น 










กิจกรรมการเสวนากลยุทธ์การตลาดกับกูรู อ.ธันยวัชร์ ชัยตระกูลชัย
, เสวนา เวิร์กชอป เทคนิคกระบวนการทำงานระดับมืออาชีพจุดประกายแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ และ แฟชั่นโชว์พิเศษ
จาก
Penthouse และ PlayBoy  นางณริภา ศรีสว่างวัฒน์ กล่าวอีกว่า ตลาดกล้องดิจิทัลยังคงมีการเติบโต เพราะจะเห็นได้จากการเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ของค่ายดัง ๆ ที่มุ่งเน้นในเรื่องนวัตกรรมเพื่อมาตอบสนองความต้องการของคนหลังเลนส์ หรือตากล้องมืออาชีพ ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ชอบแบกกล้อง แบกเลนส์ โดยเน้นในเรื่องของประสิทธิภาพ สามารถถ่ายรูปได้หลากหลาย หรือคนในยุคดิจิทัลที่ชื่นชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะการถ่ายภาพโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย การโพสต์สินค้าขายทางออนไลน์ รวมถึงกลุ่มบล็อกเกอร์ที่นิยมออกเดินทางเพื่อถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายรูปการรีวิวอาหารหรือการรีวิวสินค้า ต่างก็ยังคงมีความต้องการในการใช้กล้องคุณภาพสูง และในขณะเดียวกันกล้องบางรุ่นก็มาพร้อมสีสันสดใส มีฟังก์ชั่นที่หลากหลาย และสามารถถ่ายภาพเซลฟี่ได้ ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ตลาดกล้องดิจิทัลยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องพบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษในงานจากพันธมิตรที่มาออกงานกว่า 80 บูธ ขนโปรโมชั่นที่ทุกร้านค้าลดกระหน่ำ และพร้อมทั้งโปรโมชั่นจากบัตรเครดิตมากมาย และพิเศษที่สุดแห่งปีกับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 16% เพียงร่วมกิจกรรมบน Facebook สมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ และที่สำคัญสามารถเข้าชมฟรีตลอดการจัดงาน ห้ามพลาด!


PHOTO FAIR2019” พบกันระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2562 เวลา 10.30 – 21.00 น. ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

สามารถเข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB: @PhotoFairThailand

ช้าง...ฉลองครบรอบ 25 ปี เปิดตัวเบียร์ใหม่ล่าสุด “ช้าง 25 ปี โคลด์ บริว ลาเกอร์”


ตอกย้ำแนวคิด “ละเมียด”  พิถีพิถันในทุกขั้นตอน


ช้าง จัดงานฉลองครบรอบ 25 ปี อย่างยิ่งใหญ่ เปิดตัวเบียร์ใหม่ล่าสุด “ช้าง 25 ปี โคลด์ บริวลาเกอร์” ตอกย้ำแนวคิด “ละเมียด” ด้วยความพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบชั้นดีจาก มอลต์ 100%    ผ่าน Cold Brew Process คือ กรรมวิธีการกรองเบียร์ในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (Sub-Zero Filtration) ที่ทำให้ได้ผลลัพธ์อันเป็นเอกลักษณ์ คือ นุ่ม สดชื่น ดื่มง่าย และมีกลิ่นหอม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีหลังเริ่มกระจายสินค้าในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำ ทั่วประเทศ




คุณโฆษิต สุขสิงห์ รองกรรมการผู้อำนวยใหญ่ผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจเบียร์ประเทศไทยและผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจต่อเนื่อง  กล่าวถึงความพิเศษของการฉลองครบรอบ 25 ปีในครั้งนี้ว่า “ช้าง ให้ความสำคัญกับคำว่ามิตรภาพเสมอ ซึ่งตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา เรามุ่งมั่น ตั้งใจ ในการผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค โดยดึงแนวคิด “ละเมียด” มาใช้ในทุกกระบวนการผลิต และในปีนี้ ช้าง  ได้นำเสนอ “ช้าง โคลด์ บริว ลาเกอร์” เบียร์ใหม่ที่ผลิตขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 25 ปี ของช้างโดยเฉพาะ และเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคในเรื่องความพรีเมียมทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ  ซึ่งได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายทั่วประเทศ  ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการสานต่อมิตรภาพผ่านการสร้างประสบการณ์ดีๆ ร่วมกันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ตามแนวคิด “ช้าง...เติมเต็มคำว่าเพื่อน”


ภายในงาน ช้าง  ฉลองครบรอบ 25 ปี ที่จัดขึ้น ณ Factoria at Warehouse26  นอกจากจะเป็นการฉลองปีแห่งคุณภาพอย่างเป็นทางการแล้ว ในส่วนของการเปิดตัวเบียร์ “ช้าง 25 ปี โคลด์ บริว ลาเกอร์” จะมี Brew Master เป็นผู้ให้ข้อมูลขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่เรื่องวัตถุดิบมอลต์ 100%  ไปจนถึง Cold Brew Process หรือ กรรมวิธีการกรองเบียร์ในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง (Sub-Zero Filtration)




โดยไฮไลท์สุดพิเศษ ที่ช้าง จัดเตรียมมาเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วม และเปิดมิติใหม่ในการชิมเบียร์ให้
กับแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชน คือ ครั้งแรกกับการจัดทำ Chang Brew Master Experience สำหรับ “ช้าง 25 ปี โคล์ด บริว ลาเกอร์”  โดยได้รับเกียรติจาก คุณปิติพงศ์ เสริมภัทรชัย Brew Master ที่มีประสบการณ์ด้านการผลิตเบียร์มายาวนานกว่า 20 ปี  มาร่วมบรรยาย แนะนำขั้นตอนการชิมเบียร์ที่
ถูกต้องตั้งแต่ การดมกลิ่นการรินเบียร์ และการจิบเบียร์ เพื่อให้ได้รับรสสัมผัสที่ดีที่สุด



ช้าง เริ่มวางจำหน่ายเบียร์ “ช้าง 25 ปี โคล์ด บริว ลาเกอร์” ในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าชั้นนำ
ทั่วประเทศแล้ววันนี้  โดยมีทั้งขนาด 620 มิลลิลิตร  และ 1.5 ลิตร ในรูปแบบขวดแชมเปญ โดยที่ผ่านมาได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากกลุ่มคอเบียร์ และคาดว่าจะสามารถตอบโจทย์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั่วประเทศได้อย่างดีเยี่ยมต่อไป

#ช้าง25ปี
#ช้างโคลด์บริว

เทศกาลแสดงผลงานออกแบบและศิลปะสร้างสรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ “DesignNation 2019”


“DesignNation 2019” เทศกาลแสดงผลงานดีไซน์และศิลปะสุดสร้างสรรค์ครั้งยิ่งใหญ่
ส่งเสริมศักยภาพ สร้างเครือข่าย และยกระดับตลาดผู้ประกอบการไทยสู่สากล



วันที่ 7 – 24 พ.ย. นี้ ณ พื้นที่ใจกลางย่านสยาม  เมื่อพื้นที่ใจกลางย่านสยามถูกปลุกให้กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งการแสดงผลงานด้านดีไซน์และศิลปะ เทศกาลแสดงผลงานออกแบบและศิลปะสร้างสรรค์ครั้งยิ่งใหญ่ “DesignNation 2019” จึงเปรียบเสมือนเวทีแห่งพลังทางความคิดสร้างสรรค์ พร้อมหลอมรวมทุกคนให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับผลงานศิลปะ เพื่อร่วมยกระดับวงการด้านงานออกแบบ และสร้างเครือข่ายขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดระดับสากล ภายใต้การผนึกกำลังจาก บริษัท คอร์ปอเรชั่น โฟร์ดี จำกัด และ กลุ่มพันธมิตรพลังสยาม (Siam Synergy) นำโดย บริษัท เอ็ม บี เค จำกัด (มหาชน)บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (PMCU) และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)        




โดยงาน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-24 พฤศจิกายน 2562 ณ ย่านสยาม ครอบคลุมพื้นที่ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK)  หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ลิโด้ คอนเน็คท์ (Lido Connect) สยามสแควร์ (Siam Square) และพื้นที่วันสยาม (OneSiam) อันประกอบด้วย  ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์  ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และศูนย์การค้า สยามพารากอน 









ประธาน ธีระธาดา ผู้อำนวยการเทศกาล DesignNation กล่าวว่า “DesignNation 2019” จัดขึ้นภายใต้แร งบันดาลใจจากแนวคิด “Futurizing the City” มุ่งเน้นการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และร่วมสร้างระบบนิเวศทางการค้าใหม่ (New Ecosystem) เพื่อตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุค Disruption  ภายในงานจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย มีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในตลาดผู้ประกอบการด้านดีไซน์และศิลปะให้เกิดขึ้น พร้อมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการและนักออกแบบไทยรุ่นใหม่ในการแสดงศักยภาพด้านสร้างสรรค์ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการของตนเอง ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางย่านสยาม แม้ว่า DesignNation 2019 อาจจะเป็นชื่องานใหม่ยังไม่คุ้นหู  แต่ทีมงานทั้งหมดมีประสบการณ์จากเทศกาลออกแบบบางกอก (Bangkok Design Festival) ซึ่งจัดมาตั้งแต่ปี 2550 เป็นอย่างดี โดยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจากกลุ่มพันธมิตรพลังสยาม (Siam Synergy)  ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของกรุงเทพมหานคร เป็นศูนย์กลางธุรกิจความเจริญที่มีความหลากหลาย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจการค้า การศึกษา ศิลปะนวัตกรรม ที่ได้รับความนิยมจากคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มีการจัดแสดงงานศิลปะทั้งในประเทศและงานศิลปะระดับเวิลด์คลาสตลอดทั้งปี จึงถือเป็นย่านแห่งศิลปะที่แท้จริง (art district)  นอกจากนี้ในงานยังมีการเปิดตัวพื้นที่ชุมชนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ออนไลน์ www.designnation.net ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น Market Place สำหรับผู้ประกอบการและนักออกแบบ ควบคู่ไปกับการจัดแสดงผลงานในเทศกาล DesignNation 2019 เป็นการใช้กลยุทธ์ผสมผสานระหว่างธุรกิจออนไลน์และแบบดั้งเดิมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ตลาดงานดีไซน์และศิลปะ ตอบรับพฤติกรรมของผู้บริโภค ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคต ตอกย้ำให้เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพ สามารถเป็นศูนย์กลางตลาดในกลุ่มสินค้าออกแบบ และการบริการด้านการออกแบบทั้งในรูปแบบออนไลน์และงานจัดแสดงสินค้าในระดับสากลได้อย่างแน่นอน โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ยังได้ประกาศให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองสร้างสรรค์ (Creative City) ในด้านการออกแบบอีกด้วย”

  


ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมในรูปแบบ ของ pop-up shops จากนักออกแบบทั่วประเทศ กว่า 5,000 ชิ้น 200 แบรนด์ 10 หมวดหมู่ ที่ไม่สามารถพบเห็นได้บ่อย นำเสนองานดีไซน์ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ แฟชั่น เครื่องประดับ ฯลฯ อาทิ กลุ่ม Design Plant  Design PLANT กลุ่มนักออกแบบเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งรุ่นใหม่ที่เป็นที่รู้จักได้แก่  คุณดุลยพล ศรีจันทร์ (pdm brand), Atelier 2+, thinkk Studio, SLAP Studio, Dots design Studio, กลุ่ม ทองเอก ดิสทริค (Thong-Ek Design District  การรวมตัวของสตูดิโอออกแบบ ร้านเฟอร์นิเจอร์ทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ต่างประเทศ, นักออกแบบหน้าใหม่  อาทิกลุ่มเครื่องประดับ กลุ่ม Young Graphic Designers & Illustrators และกลุ่มงาน Innovation Craft โดยในปีหน้ายังจะมี Design Nation Market ตระเวนไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อให้นักออกแบบและผู้ประกอบการได้มีพื้นที่แสดงผลงานสร้างสรรค์และให้สาธารณชนได้เข้าถึงผลงานมากยิ่งขึ้น 

ควบคู่ไปกับการนำเสนอเนื้อหาด้านการออกแบบและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ งานแสดงสินค้าออกแบบและงานสร้างสรรค์ (design and creative fair) การมอบรางวัล Design Nation Awards สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และรางวัล Degree Shows สำหรับนักออกแบบระดับบัณฑิตจบใหม่ กิจกรรมเสวนาโดยผู้ประกอบการและบุคคลในแวดวงอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งจากในและต่างประเทศ อาทิ FOREIGN POLICY จากสิงคโปร์, BORIS BERTRAM ผู้กำกับหนัง THE HUMAN SHELTER ฯลฯ นิทรรศการนักออกแบบรุ่นใหม่ 40/40 งานฉายภาพยนตร์ Movies on Design นอกจากนี้ยังมีการแสดงต่างๆ และผลงานการออกแบบที่จะเป็น Landmark กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ย่านสยาม”







เทศกาล “DesignNation 2019: Futurizing the City” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 7-24 พฤศจิกายน 2562 ณ ย่านสยาม โดยครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ ศูนย์การค้า เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK) หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ลิโด้ คอนเน็คท์ (Lido Connect) สยามสแควร์ (Siam Square) และพื้นที่วันสยาม (OneSiam) อันประกอบด้วย ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และศูนย์การค้าสยามพารากอน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 02-260-2606 และติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารของงานได้ที่ www.designnation.net และ Facebook Page ที่ Designnation Bangkok

06 พฤศจิกายน 2562

การแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมอาจช่วยรักษาชีวิตเด็กนับล้าน

Global Burden of Disease
ความเสี่ยงของการเสียชีวิตในเด็กวัยก่อน 5 ปีในประเทศไทยมีความแตกต่างกันกว่า 4 เท่า
ซีแอตเติล – การศึกษาเกี่ยวกับการเสียชีวิตในเด็กเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมาพบว่า แนวโน้มของเด็กที่อยู่รอดจนอายุ 5 ปีในประเทศไทยนั้นมีความแปรผันระหว่างพื้นที่สาธารณสุขท้องถิ่นทั่วประเทศมากกว่าสี่เท่า
จากการศึกษาภาระโรคทั่วโลก (Global Burden of Disease) พบว่า ในประเทศไทย พ.ศ. 2560 มีเด็กจำนวน 5,807 คนเสียชีวิตก่อนมีอายุครบ 5 ปี ในขณะที่เมื่อพ.ศ. 2543 เสียชีวิตมากถึง 18,509 คน โดยพื้นที่สาธารณสุขท้องถิ่นอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มีอัตราการตายสูงสุดอยู่ที่ 19.6 คน ส่วนอัตราการตายต่ำสุดที่ 4.5 คน อยู่ที่อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ความผิดปกติของทารกแรกเกิด เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในเด็กวัยก่อน 5 ปี ทั้งในพ.ศ. 2543 และพ.ศ. 2560 นอกจากนี้ กว่าครึ่งของเด็กที่เสียชีวิตทั้งหมดในช่วงที่ทำการศึกษานี้ล้วนมาจากสาเหตุดังกล่าว

การศึกษานี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการศึกษาภาวะการเสียชีวิตในเด็กในระดับสาธารณสุขท้องถิ่นของประเทศที่มีรายได้ระดับล่างและระดับกลางจำนวน 99 ประเทศทั่วโลก ผลการศึกษาได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร เนเชอร์ (Nature) ในวันนี้แสดงถึงแผนผังความไม่เท่าเทียมด้านสาธารณสุขทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค ซึ่งมักเห็นไม่ชัดเจนในการวิเคราะห์ระดับประเทศ และยังมี แผนภูมิเชิงปฏิสัมพันธ์ ที่แสดงอัตราการเสียชีวิตในเด็กในแต่ละปีอีกด้วย]

จากการศึกษาโดยสถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพ (Institute for Health Metrics and Evaluation – IHME) แห่งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตันเผยว่า ในประเทศต่างๆ ที่มีอัตราการเสียชีวิตในเด็กสูงกว่าร้อยละ 90 เมื่อพ.ศ. 2560 เมื่อเปรียบเทียบทุกประเทศที่ทำการศึกษา แนวโน้มของเด็กที่จะเสียชีวิตก่อนอายุ 5 ปีมีความต่างกันในระดับสาธารณสุขท้องถิ่นมากกว่า 40 เท่า
นักวิจัยได้ประเมินว่า หากสาธารณสุขท้องถิ่นทุกแห่งในประเทศที่มีรายได้ระดับล่างถึงระดับกลางที่ทำการศึกษาสามารถทำได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal – SDG) ของสหประชาชาติ จะส่งผลให้มีเด็กเสียชีวิตลดลงอย่างน้อย 2.6 ล้านคน หรือ 25 คนต่อเด็กที่เกิดมา 1,000 คน และหากสาธารณสุขท้องถิ่นทุกแห่งสามารถยกระดับขึ้นมาได้ในระดับเดียวกับโรงพยาบาลชั้นแนวหน้าของประเทศนั้นๆ คาดว่า จำนวนเด็กเสียชีวิตจะสามารถลดลงได้ถึง 2.7 ล้านคน
จากสาธารณสุขท้องถิ่นจำนวน 17,554 แห่งใน 99 ประเทศที่ทำการศึกษานั้น ส่วนใหญ่มีพัฒนาการที่ดีในการลดการเสียชีวิตในเด็ก แต่ในระหว่างการศึกษา ระดับของความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสาธารณสุขท้องถิ่นแต่ละแห่งนั้นต่างกันไป แม้ว่าโดยมากแล้วการเสียชีวิตในเด็กจะลดลงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
แต่อัตราการเสียชีวิตที่สูงที่สุดในพ.ศ. 2560 ก็ยังคงอยู่ในชุมชนเดิมๆ ที่เคยมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดเมื่อพ.ศ. 2543
ดร. ไซมอน ไอ. เฮย์ ผู้อำนวยการกลุ่มภาระโรคท้องถิ่น (Local Burden of Disease – LBD) ของสถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสุขภาพ และเป็นนักวิจัยอาวุโสของการศึกษานี้ กล่าวว่า “เป็นเรื่องแย่และน่าเศร้าที่โดยเฉลี่ยแล้วมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเสียชีวิตเกือบ 15,000 คนทุกวัน น่าสงสัยว่า ทำไมบางพื้นที่จึงทำได้ดี ในขณะที่อีกหลายพื้นที่ยังมีปัญหาในการที่จะลดจำนวนเด็กเสียชีวิต เราจำเป็นต้องเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุด เช่น การให้วัคซีนต่างๆ ซึ่งผลการศึกษาของเราได้ให้รูปแบบข้อมูล (platform) สำหรับรัฐมนตรีสาธารณสุข คณะแพทย์ และผู้เกี่ยวข้องในแต่ละประเทศ เพื่อใช้ในการระบุพื้นที่ที่ควรเร่งพัฒนาระบบสาธารณสุข”
ดร. เฮย์กล่าวว่า การศึกษานี้ได้รับทุนจากมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ โดยผลการศึกษาเผยให้เห็นถึง พื้นที่ที่ประสบความสำเร็จด้านสาธารณสุข ซึ่งสามารถนำกลยุทธ์ของพื้นที่เหล่านั้นไปปรับใช้ได้กับพื้นที่อื่นๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ
ยกตัวอย่างจากประเทศรวันดา ในพื้นที่สาธารณสุขท้องถิ่นที่มีอัตราเด็กเสียชีวิตสูงที่สุดในพ.ศ. 2560 มีจำนวนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่สาธารณสุขท้องถิ่นที่มีอัตราเด็กเสียชีวิตต่ำสุดเมื่อพ.ศ. 2543 ซึ่งอัตราการเสียชีวิตในเด็กที่ลดลงนี้ส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนเพื่อสุขภาพเด็กในชุมชนที่ยากจนที่สุด การขยายตัวของการประกันสุขภาพ และการเพิ่มจำนวนของบุคลากรด้านสาธารณสุขในชุมชน ส่วนประเทศเนปาล มีการลดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างสาธารณสุขท้องถิ่นอย่างมีนัยสำคัญตลอดระยะเวลาที่ทำการศึกษา ในขณะเดียวกัน ประเทศเปรู ก็สามารถลดอัตราการเสียชีวิตในเด็กและความไม่เท่าเทียมลงได้หลังจากริเริ่มโครงการเพื่อสุขภาพและโครงการต้านความยากจนอย่างยั่งยืน
ผลการศึกษานี้ ได้ประเมินทั้งอัตราและจำนวนที่แน่นอนของการเสียชีวิตในแต่ละพื้นที่ของสาธารณสุขท้องถิ่น และนำเสนอภาพรวมของการเสียชีวิตในเด็กทั่วโลก ซึ่งชี้ให้เห็นถึง แนวโน้มและรูปแบบที่สำคัญในประเด็นดังกล่าว

จากการศึกษาพบว่า สัดส่วนของการเสียชีวิตในเด็กนั้นเพิ่มสูงขึ้นในบริเวณที่เคยมีอัตราการเสียชีวิตโดยรวมต่ำ และพบว่า ทั้งการเสียชีวิตของทารกแรกเกิด (การเสียชีวิตของทารกในช่วง 28 วันหลังคลอด) และการเสียชีวิตของทารก (การเสียชีวิตของทารกในช่วงขวบปีแรก) มีอัตราที่เพิ่มสูงขึ้น แนวโน้มเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับวิธีจัดการให้เข้ากับท้องถิ่น
ดร. เฮย์และทีมวิจัยกำลังศึกษาลงลึกในรายละเอียดของกลุ่มปัจจัยที่มีผลต่อการอยู่รอดของเด็ก ซึ่งรวมถึงด้านการศึกษา ภาวะทุพโภชนาการ และการป้องกันโรค เพื่อสร้างความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับอุปสรรคที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละภูมิภาค
ผลการศึกษาในครั้งนี้ ยังพบว่า:
• ในพ.ศ. 2560 เกือบ 1 ใน 3 ของสาธารณสุขท้องถิ่นจำนวน 17,554 แห่งใน 99 ประเทศที่ทำการศึกษานั้นสามารถทำได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน คือมีการเสียชีวิตในเด็กไม่เกิน 25 คนต่อเด็กที่เกิดมา 1,000 คน
• ใน 43 ประเทศที่ทำการศึกษานั้น พื้นที่สาธารณสุขท้องถิ่นที่มีอัตราการเสียชีวิตในเด็กที่แย่ที่สุดในพ.ศ. 2560 นั้น ก็ยังอยู่ในระดับที่ดีกว่าพื้นที่สาธารณสุขท้องถิ่นที่มีอัตราการเสียชีวิตในเด็กที่ดีที่สุดในพ.ศ. 2543
• อัตราการเสียชีวิตในเด็กสูงสุดในพ.ศ. 2543 ในระดับท้องถิ่นนั้นเกิน 300 คนต่อเด็ก 1,000 คนเพียงเล็กน้อย ส่วนในพ.ศ. 2560 อัตราการเสียชีวิตในเด็กที่สูงสุดคือ 195 คนต่อเด็ก 1,000 คน ซึ่งทั้งสองสถิตินั้นเป็นของประเทศไนจีเรีย
• ส่วนในระดับประเทศนั้น โคลัมเบีย กัวเตมาลา ลิเบีย ปานามา เปรู และเวียดนาม ล้วนประสบความสำเร็จในการทำตามเป้าหมาย คือ มีอัตราการเสียชีวิตในเด็กไม่เกิน 25 คนต่อเด็ก 1,000 คนในพ.ศ. 2560 แต่ก็มีหลายเทศบาล อำเภอ หรือจังหวัดที่ไม่สามารถทำได้ตามเป้า
• ในช่วงที่ทำการศึกษา ร้อยละ 91 ของประเทศทั้งหมดที่ทำการศึกษา มีสัดส่วนของการเสียชีวิตในทารกแรกเกิดจนถึง 28 วันหลังคลอดเพิ่มขึ้น และร้อยละ 83 ของสาธารณสุขท้องถิ่นในประเทศเหล่านั้น ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
• มีการเพิ่มสูงขึ้นของสัดส่วนการเสียชีวิตในเด็กในพื้นที่ที่เคยมีอัตราการเสียชีวิต “ต่ำ” โดยในพ.ศ. 2543 มีการเสียชีวิตเพียงร้อยละ 1.2 ในพื้นที่ที่ทำได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ แต่ในพ.ศ. 2560 สัดส่วนนี้ได้เพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าเป็นร้อยละ 7.3
• ในพ.ศ. 2543 ประมาณร้อยละ 25 ของการเสียชีวิตในเด็กเกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีอัตราการเสียชีวิตในเด็กต่ำกว่า 80 คนต่อเด็ก 1,000 คน ส่วนในพ.ศ. 2560 เกือบร้อยละ 70 ของการเสียชีวิตในเด็กเกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งมีการเสียชีวิตของเด็กต่ำกว่า 80 คนต่อ 1,000 คน
โครงการของกลุ่มภาระโรคท้องถิ่นได้มอบการชี้วัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพและมาตรการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมทุกทวีปและลงลึกในระดับท้องถิ่น คณะผู้นำโครงการกำลังต้องการผู้ร่วมงานเพิ่ม ซึ่งรวมถึงนักวิชาการ นักวิจัย ฯลฯ เพื่อให้ข้อมูลและประเมินผลการศึกษา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อทีมงานกลุ่มภาระโรคท้องถิ่นได้ที่ gbdsec@uw.edu

ผู้สนใจทั่วไปสามารถดูการชี้วัดต่างๆ ที่ได้จากการศึกษานี้ได้ที่เว็บไซต์ Global Health Data Exchange: http://ghdx.healthdata.org

05 พฤศจิกายน 2562

Brasserie 9 French Restaurant Bangkok

ร้านอาหารฝรั่งเศสในบรรยากาศตึกย้อนยุคสไตล์โคโลเนียล


ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศ Brasserie 9 ร้านอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม สูตรต้นตำรับอยู่ในตัวตึกสีขาว หรูหราด้วยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล พร้อมห้องจัดเลี้ยง, โซนบาร์, ห้อง Wine Cellar รวมถึงห้อง Cigar ด้วย พร้อมให้บริการอาหารฝรั่งเศส ด้วยวัตถุดิบนำเข้าแบบพรีเมี่ยม ปรุงแบบพิถีพิถันให้ได้อาหารฝรั่งเศสแบบแท้ๆ ให้ได้ลิ้มลอง สร้างประสบการณ์การกินดื่มอาหารฝรั่งเศสต้นตำรับอย่างเต็มรูปแบบ สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนด้วยพื้นกระเบื้องสีขาวประดับตกแต่งลวดลายอย่างสวยงามพร้อมทอดยาวสู่ห้องโถงต่างๆ ในบ้านหลังงามแห่งนี้ ทางด้านซ้ายจะเป็นห้องโถงเพดานสูงที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ความรู้สึกอบอุ่น รายล้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์เครื่องหนังสุดหรูสีน้ำตาลเข้ากันดีกับโต๊ะไม้วินเทจ และห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ที่มีไวน์ชนิดต่างๆให้เลือกมากกว่า 100 ชนิด


สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนด้วยพื้นกระเบื้องสีขาวประดับตกแต่งลวดลายอย่างสวยงามพร้อมทอดยาวสู่ห้องโถงต่างๆ ในบ้านหลังงามแห่งนี้ ทางด้านซ้ายจะเป็นห้องโถงเพดานสูงที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเฟอนิเจอร์วัสดุทองเหลืองและซิการ์บาร์ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น รายล้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์เครื่องหนังสุดหรูสีน้ำตาลเข้ากันดีกับโต๊ะไม้วินเทจ และห้องเก็บไวน์ขนาดใหญ่ที่มีไวน์ชนิดต่างๆให้เลือกมากกว่า 100 ชนิด








คุณศิริโสภา ตันบุญเพิ่ม Sales Manager ร้าน Brasserie 9 

คุณต่าย ศิริโสภา ตันบุญเพิ่ม Sales Manager ของร้าน Brasserie 9 ต้อนรับด้วยเครื่องดื่มกลิ่นส้ม เพิ่มความสดชื่น ที่นี่เป็นร้านอาหารฝรั่งเศส มีไวน์ฝรั่งเศสประมาณ 50% ที่เหลือก็จะคละกันไปทั้งไวน์ชิลี  ไวน์ออสเตรเลีย อเมริกา มีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ส่วนราคาไวน์ เริ่มตั้งแต่ 1,200 ไปจนถึง 2 แสนกว่าบาท และถ้าถามว่าไวน์ตัวไหนน่าสนใจ แนะนำให้เข้ามาในห้องไวน์ของที่นี่ จะมีที่สำหรับจัดไวน์เทสติ้ง ประมาณ 6-10 ท่าน เป็นประจำ และในส่วนของห้องจัดเลี้ยงก็สามารถรองรับได้หลายขนาด ตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ ทั้งกรุ๊ปเล็กและกรุ๊ปใหญ่ 



หากใครเป็นนักชิมอาหาร Brasserie 9 ธุรกิจร้านอาหารในเครือ บริษัท กรูเมท์เฮ้าส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท บางกอกแอร์เคเทอริ่ง จำกัด (BAC) ให้บริการอาหารแปรรูปเพื่อจัดจำหน่าย รวมถึงให้บริการจัดเลี้ยงและให้บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องอาหาร  เปิดให้บริการอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม พร้อมเสริฟด้วยเมนูชั้นนำที่ปรุงแต่งรสชาติโดยทีมเชฟฝีมือเยี่ยม โดยเฉพาะวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมที่สั่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ







สำหรับเมนูอาหารแสนอร่อยและเมนูเครื่องดื่มสุดสร้างสรรค์ แน่นอนว่า ในส่วนของอาหารจะเป็นอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแกะอบเสิร์ฟกับซอสไวน์แดงและราตาตุย, โทมาฮอร์ค สเต็กเนื้อริบอายติดกระดูกชั้นดี นอกจากนี้ยังมีเมนูเมนคอร์ส ซุป สลัด และของหวานหลากหลายเมนู เช่น หอยนางรม มาเรียน โอเลลอง, ปลาแซลมอนหมักสูตร Brasserie 9, แครมบลูว์เร่ราดซอสราสเบอรี่กับผลไม้สด และอีกมากมาย



Brasserie 9  กับโปรสุดคุ้ม Lunch Set  มาจับคู่ความอร่อยได้ด้วยตัวเอง โดยรวม Set Lunch ถือว่าไม่แพง แนะนำให้ไปลอง
ได้ลองอาหารฝรั่งเศส ต้องบอกเลยว่าเป็นอาหารที่ดูดี ทั้งรูปลักษณ์และรสชาติที่ดีเพราะเชฟมีความใส่ใจในคุณภาพและการจัดจานได้อย่างลงตัว
อาหารและเครื่องดื่มรสเลิศที่คิดค้นขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน

 Appetizer, Salad, Soup, Entrees
- Brasserie 9 Caesar salad
- Chicken consomme ซุปใสสไตล์ฝรั่งเศส รสบางๆ หอมอ่อนๆ
- Beef carpaccio (เสิร์ฟพร้อมซอสเพรสโต้)
- Mussels with White wine
- Farmhouse charcuterie board ( Cold cut แบบฝรั่งเศส)

Main
- Chicken Florentine pasta in a light creamy sauce (ไก่ ฟลอเร็นทีน ยัดไส้ผักโขม ซอสครีมเห็ด)
- Wiener Schnitzel (pork) with parsley potatoes หมูชุบแป้งทอด
- Pork tenderloin with lentil ragout and pommery mustard sauce หมูสันในเสิร์ฟพร้อมถัวเลนทิว ซอสมัสตาร์ดพอมเมอร์รี่
- Beef short rib with potato wedges เนื้อวัวติดกระดูซี่โครงตุ๋น
- Pan seared sea bass with butter rice and sauce vierge (ปลากระพงซอสเวียร์)
- Classic steak frites สเต็กเนื้อสันใน (surcharge 300 baht)
Desserts
- Crispy banana with fresh berries and caramel sauce (กล้วยห่อแป้งฟิลโลทอด),
- La Dame Blanche (ไอศครีมวนิลลาราดซอสช็อคโกแลต)
- Home-made warm apple tart
- Creme brulee

Appetizer (Appetizer, Salad, Soup, Entrees) + Main หรือ Main + Desserts ราคา 430 บาท
Appetizer (Appetizer, Salad, Soup, Entrees) + Main + Desserts 520 บาท


ซึ่งความโดดเด่นของร้าน Brasserie 9 ร้านอาหารฝรั่งเศสแบบดั้งเดิม ที่นี่บรรยากาศดีกว้างนั่งสบาย เป็นตึกสีขาวสไตล์ โคโลเนียลดูเรียบหรู มีทั้งห้องจัดเลี้ยง ห้องไวน์ ห้องซิกก้า บางวันมี Wine Testing ราคาไม่แรงด้วยนะ มาทานที่นี่รับรองเลย เป็นมื้ออาหารที่ได้ทั้งรสชาติและความรู้เต็มเปี่ยม


Brasserie 9 at Sathorn Soi 6
Open daily 11:30 - 00:00
Tel : 02 234 2588
E-mail : brasserie9@gourmethouse.co.th