แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตลาด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การตลาด แสดงบทความทั้งหมด

09 กันยายน 2568

DISNEY TOY EXPO THAILAND 2025

จัดยิ่งใหญ่ แฟนคลับดิสนีย์แห่ร่วมงาน สวรรค์ของนักสะสม แบรนด์ของเล่นระดับโลกร่วมสร้างสีสันเต็มพื้นที่

ก้าวเข้าสู่โลกของ Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars – DISNEY TOY EXPO THAILAND 2025 เปิดฉากอย่างเป็นทางการแล้ว พร้อมตอกย้ำความยิ่งใหญ่ในฐานะหนึ่งในงานของเล่นของสะสมธีมดิสนีย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอด 4 วันเต็ม งานได้รวบรวมทัพของเล่น ของสะสม และสินค้าลิขสิทธิ์จากแบรนด์ระดับโลก ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวสุดรักของ Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars

วันเปิดงานเต็มไปด้วยแฟนดิสนีย์ นักสะสม และผู้เข้าชมทุกวัย ที่มาร่วมช้อปคอลเล็กชันใหม่ล่าสุดและสินค้าลิมิเต็ดที่ห้ามพลาด ธีมของปีนี้คือ “Discover the world of Disney” ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความประทับใจให้กับแฟน ๆ โดยมีไฮไลต์คือจุดถ่ายรูปสุดน่ารัก “Stitch Preserved Flower” ขนาดสูง 1.8 เมตร และกิจกรรม Meet & Greet กับเพื่อนคนพิเศษจากเรื่อง Lilo & Stitch ตอกย้ำประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางที่แฟนดิสนีย์ทั่วโลกต้องมาเยือน 



งานนี้จัดโดย The Walt Disney (Thailand) Company Limited ร่วมกับ Asaki International Co., Ltd., Central Pattana Public Company Limited, Shopee (Thailand) Co., Ltd., Advanced Wireless Network Co., Ltd. และ Toytopia Co., Ltd. ซึ่งในปีนี้เป็นครั้งที่ 2 ต่อเนื่องจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ตอกย้ำความนิยมในหมู่แฟนดิสนีย์และนักสะสม พร้อมทั้งช่วยขับเคลื่อนตลาดของสะสมและ art toy ในไทยให้คึกคักยิ่งขึ้น


Alex Baillie รองประธานและผู้จัดการทั่วไป Disney Consumer Products, South Asia Pacific กล่าวว่า  “ความนิยมในของสะสมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ art toy ที่กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนรักและผูกพัน และเป็นสิ่งที่เชื่อมระหว่างแฟนๆกับเรื่องราวที่พวกเขาชื่นชอบ งาน Disney Toy Expo Thailand เป็นเวทีที่ยอดเยี่ยมในการแสดงให้เห็นว่า แบรนด์ต่าง ๆ ได้ตีความคาแรคเตอร์เหล่านี้ใหม่อย่างไร และทำให้สินค้าเข้าถึงทุกเจนเนอเรชันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้   

DISNEY TOY EXPO THAILAND 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–7 กันยายน 2025 ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,700 ตร.ม. บน 3 ชั้นงาน มาพร้อมของเล่น ของสะสม ฟิกเกอร์ แกดเจ็ต อุปกรณ์เสริม ของตกแต่งบ้าน เครื่องนอน ไปจนถึงการคอลแลบสินค้าลิมิเต็ดอิดิชัน โดยรวบรวมแบรนด์ลิขสิทธิ์จากผู้จัดแสดงสินค้าร่วม 40 ร้านค้า  มากกว่า 50 บูธ และสินค้ากว่า 2,000 รายการให้มาเลือกชมและเลือกซื้อ กันในที่เดียวภายในงานจะมีสินค้าลิขสิทธิ์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars ที่มาพร้อมการจัดแสดงที่น่าประทับใจจากผู้นำอุตสาหกรรมในระดับโลก 

ผู้แสดงสินค้าระดับโลกที่เข้าร่วมได้แก่

อุปกรณ์มือถือ: Casebang (จีน)

ของแต่งบ้าน: SundayHome (เวียดนาม), Bestine (จีน)

ของขวัญและไลฟ์สไตล์: OH!SOME (สิงคโปร์)

การ์ดสะสม: Bushiroad (ญี่ปุ่น), Disney Lorcana Trading Card Game (สิงคโปร์)

ฟิกเกอร์สะสม: Hot Toys (ฮ่องกง), Blokees (จีน), Beast Kingdom (ไต้หวัน), Funko (สหรัฐฯ)

นอกจากนี้ยังมีแบรนด์ไทยที่มาในงานนี้ด้วยเช่น

AppleSheep (แกดเจ็ตและอุปกรณ์มือถือ)

Asaki (อิเล็กทรอนิกส์)

SB Furniture (เฟอร์นิเจอร์และของใช้ในบ้าน)

Taketoys (ตุ๊กตา Plush)       

สินค้าเปิดตัวพิเศษ  คอลเลคชั่นใหม่    Star Wars จาก Blokees , Aliens และ Lotso จาก BBToys ,แอคเซสซอรี Toy Story จาก Casebang  และ  Mickey Mouse จาก AppleSheep             


โดยโปรโมชั่นพิเศษในงาน ส่วนลด 10%–30% โปรโมชั่น “ซื้อ 2 แถม 1”  ซื้อครบ 1,000 บาท รับบัตรกำนัลมูลค่า 100 บาทเรียกได้ว่าเป็นงานใหญ่ที่จัดต่อเนื่อง และได้รับความสนใจจากแฟนคลับเข้าร่วมร่วมอย่างเนืองแน่น DISNEY TOY EXPO THAILAND 2025 จัดยิ่งใหญ่และจัดเต็มเพื่อแฟนคลับดิสนีย์จริงๆ

08 กันยายน 2568

เบเยอร์ คว้าประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอน ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมสีรักษ์โลก ควบคู่ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม


บริษัท เบเยอร์ จำกัด เดินหน้ายกระดับมาตรฐานธุรกิจสีรักษ์โลก ล่าสุด ดร.จารุรัตน์ ชัยยศบูรณะ ผู้บริหารกลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ เข้ารับมอบ ประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอน ประเภทคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product : CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในพิธีมอบประกาศนียบัตรฯ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 ณ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ถนนแจ้งวัฒนะการได้รับประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอนในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทางเบเยอร์ในการพัฒนานวัตกรรมสีที่ไม่เพียงตอบโจทย์คุณภาพและประสิทธิภาพการใช้งาน แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ของประเทศ


งานพิธีดังกล่าว จัดโดย อบก. เพื่อมอบประกาศนียบัตรให้แก่องค์กรที่ผ่านเกณฑ์การประเมินในหลากหลายประเภท อาทิ การชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset & Carbon Neutral), การลดก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ (CFR), คาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์เศรษฐกิจหมุนเวียน (CE-CFP), คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO)

โดยเบเยอร์ได้เข้ารับมอบ ประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอน ประเภทคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product : CFP) ทั้งนี้ เบเยอร์ ยึดหลักการดำเนินธุรกิจที่ผสานนวัตกรรมควบคู่ความ
รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนทั้งต่อผู้บริโภค สังคม และโลกใบนี้ “เราไม่ได้มุ่งพัฒนาเฉพาะผลิตภัณฑ์เรือธงอย่าง ‘เบเยอร์คูล’ เท่านั้น แต่ตั้งใจให้ทุกผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อเบเยอร์ สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด” — ดร.จารุรัตน์ ชัยยศบูรณะ เบเยอร์ดำเนินธุรกิจปีที่ 65 ภายใต้ปณิธาน Eco-Wellness Innovation – สีนวัตกรรม รักษ์โลก รักคุณ


โดยเป็นรายแรกในไทยที่พัฒนาสีสะท้อนความร้อนอย่างจริงจัง พร้อมลงทุนในเทคโนโลยี AVID, ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ และขนส่งอัจฉริยะ เพื่อขับเคลื่อนทุกกระบวนการสู่ Net Zero เบเยอร์ยังคงมุ่งมั่นเป็นผู้นำด้าน “สีรักษ์โลก” อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอนในตัวเลข แต่คือการสร้าง ผลกระทบเชิงบวกต่อโลก ผู้คน และอนาคตของประเทศ อย่างเป็นรูปธรรม

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีเขียวและโครงการความร่วมมือต่างๆ
สามารถติดตามได้ที่: https://www.beger.co.th/th/

07 กันยายน 2568

“ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” ตอบโจทย์การบำรุงครบทั้งผิว ผม เล็บ และข้อเข่า จัดโปรแรง!

ซื้อคู่ถูกกว่า 2 ซอง 59 บาท ซื้อได้ที่เซเว่น อีเลฟเว่น 

เดือนกันยายนนี้ บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด จัดโปรโมชั่นซื้อคู่ถูกกว่าเพื่อสาวๆ วัยทำงานและผู้สูงอายุ “บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” ขนาดซองบรรจุ 7,200 มิลลิกรัม คอลลาเจน เกรดพรีเมี่ยม เข้มข้นด้วยสารสกัด เน้นคุณประโยชน์ทั้งด้านผิวพรรณ ผม เล็บ และการเสริมสร้างความแข็งแรงของข้อและกระดูก อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ขายดีและรับประกันคุณภาพจากบีไชน์ อยากให้ทุกท่านได้ลองทาน ไม่มีสารตกค้างในร่างกาย ซื้อ 2 ซอง พิเศษเพียง 59 บาท จากปกติราคา 78 บาท และสมาชิก All Member รับ
M-Stamp 1 บาท สามารถซื้อได้ตั้งแต่วันนี้ - 23 กันยายน 2568 ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ 

“บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” ขั้นสุดของคอลลาเจนที่ดี ดูแลได้มากกว่าผิว ผสาน 5 คุณประโยชน์เน้นๆ ได้แก่ ไดเปปไทด์คอลลาเจนจากปลา 7000 มิลลิกรัม นวัตกรรมใหม่จากประเทศญี่ปุ่นที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด ดูดซึมได้ดีที่สุด โดยคอลลาเจนไดเปปไทด์สกัด เฉพาะ 2 คู่ ที่เรียกว่า PO และ OG ทำให้มีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับไดเปปไทด์ทั่วไป ผสาน สารสกัดจากซีบัคธอร์น, สารสกัดจากว่านหางจระเข้, วิตามินซี และวิตามินอี ด้วยการผสานคุณประโยชน์ดังกล่าว ทำให้ช่วยบำรุงผิวให้สวยเนียนใส ตึงกระชับ ลดริ้วรอย ผมและเล็บแข็งแรงเงางาม พร้อมเสริมข้อเข่าให้แข็งแรง สุขภาพดี เพิ่มมวลกระดูกให้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากภาวะข้อเข่าเสื่อมและอาการปวดเข่า

รับประทานวันละ 1 ซอง ในเวลาใดก็ได้ที่สะดวก วิธีชง : ชงละลายน้ำดื่ม 200 มล. สามารถผสมกับเครื่องดื่มและอาหารได้หลากหลายตามที่ต้องการ เช่น น้ำเปล่า ชา กาแฟ นม น้ำผลไม้ หรือเติมปรุงในอาหารต่างๆ เช่น ซุป โยเกิร์ต น้ำสลัด โดยไม่ทำให้รสชาติของอาหารเปลี่ยนแปลง

“บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส” คอลลาเจนแท้จากปลา นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เกรดพรีเมี่ยม ละลายง่าย ไม่คาว ไม่ใส่สี ไม่แต่งกลิ่น ไม่แต่งรส ไม่มีไขมัน ไม่เติมน้ำตาล ปลอดภัยไม่มีสารตกค้างในร่างกาย ทานได้ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว จนถึงคนที่มีอายุ 40+ ขึ้นไป เติมสิ่งดีๆ ให้กับตัวเอง ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ บำรุงทั้งผิว และช่วยปัญหาข้อเข่าเสื่อม บรรเทาอาการปวดและกลับมาแข็งแรงเดินได้อย่างมั่นคง 

สามารถติดตามข่าวสารโปรโมชั่นและดูข้อมูลเพิ่มเติมของ
“บีไชน์ ไดเปปไทด์ คอลลาเจน พลัส”  ได้ที่ www.bshine.co.th,
FB : B Shine และ Line : @Bshine

29 สิงหาคม 2568

ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น

ไดมารุ - ซีจีโอ.คอม - สึกิซุเตะ อิงค์ เปิดมุมมองใหม่ธุรกิจไทย–ญี่ปุ่น ในงานสัมมนา JPOP Marketing Forum 2025 แนะเคล็ดลับใช้วัฒนธรรม JPOP, Gyaru และ Underground Idol สร้างพลังการตลาดเชื่อมโลกดิจิทัลและผู้บริโภครุ่นใหม่

ในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่น ทั้งภาคธุรกิจ ที่ปรึกษาการตลาด และวงการบันเทิง ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้วัฒนธรรมญี่ปุ่น JPOP และ Sub Culture เป็นเครื่องมือทางการตลาดยุคใหม่ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปิดโอกาสธุรกิจใหม่ๆ แก่นักธุรกิจและนักการตลาดของไทย
นายหลุยส์ โอคาซากิ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจดิจิทัล บริษัท ไดมารุ มัตสึซากายะ ดีพาร์ทเมนท์ สโตร์ จำกัด ห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบทบาทในการเชื่อมโยงวัฒนธรรม สินค้า และนวัตกรรมเข้ากับผู้บริโภคญี่ปุ่นและต่างประเทศ กล่าวในงานสัมมนา Japan Pop Culture Marketing Forum in Thailand 2025 เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เชิงกลยุทธ์ สร้างแรงบันดาลใจ และโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ แก่นักการตลาดไทย ในการผสมผสานวัฒนธรรม JPOP จนเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงอิทธิพลว่า วัฒนธรรม JPOP ไม่ว่าจะเป็น อนิเมะ ศิลปะการแสดง และอินฟลูเอนเซอร์ มีการเติบโตและได้รับความนิยมจนเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจในญี่ปุ่นและขยายไปยังหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ในญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ผู้ค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า ต่างมีการใช้การตกแต่ง จัดกิจกรรม และการแสดงที่ใช้วัฒนธรรม JPOP มาเป็นเครื่องมือการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยกลไกที่ทำให้การใช้วัฒนธรรม JPOP ในเชิงการตลาดประสบความสำเร็จ คือ การระดมแฟนคลับเพื่อสร้างความเชื่อมโยงและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการตลาดได้อย่างลึกซึ้งและเป็นระบบ ทั้งนี้การเป็นวัฒนธรรมเปิดของ JPOP ยังมีความยืดหยุ่นสูงทำให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบฟังก์ชั่นและช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเหมาะสม แม้ในกลุ่มเฉพาะอย่าง GenZ หรือ Sub Culture
ปัจจุบันมีการใช้วัฒนธรรม JPOP เป็นเครื่องมือการสร้างการสื่อสารทั้งในเชิงลึกและกว้างไปพร้อมๆ กัน โดยในเชิงลึก (Depth) เพื่อสร้างคอนเทนต์กับกลุ่มแฟนให้เหนียวแน่น ส่วนในเชิงกว้าง (Breadth) เพื่อกระจายแบบไวรัลช่วยให้เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายขึ้น นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาใช้วัฒนธรรม JPOP เฉพาะที่เป็น Sub Culture มากขึ้น อาทิ ไอดอลใต้ดิน (Underground Idol) หรือ สาวแกล (Gyaru culture) รวมถึงยังได้ขยายช่องทางการสื่อสารและพัฒนาธุรกิจที่เชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP เข้าไปสู่โลกดิจิทัล โซเชียลมีเดีย และเมทาเวิร์ส อีกด้วย ซึ่งนักการตลาดของไทยก็สามารถใช้แนวทางเดียวกันเพื่อเชื่อมโยงวัฒนธรรม JPOP และ Sub Culture เพื่อเป้าหมายทางการตลาด การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย และโลกดิจิทัลได้ด้วยแนวทางเดียวกัน
ส่วนนางสาวริคาโกะ ทาเคโนะ ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท ซีจีโอ.คอม จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาการพัฒนาองค์กร นวัตกรรม ธุรกิจ การตลาดและการสื่อสาร ด้วยวัฒนธรรม Gyaru กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันถึงบทบาทของวัฒนธรรม Gyaru และการเชื่อมโยงต่อยอดสู่ภาคธุรกิจว่า วัฒนธรรมแกล, เกล หรือ เกียวรุ (Gyaru) เริ่มขึ้นในย่านชุบุยะ โตเกียว ในฐานะภาพสะท้อนของการแสดงออกถึงความเป็นปัจเจกที่เข้มแข็ง สมาชิกแกล จะมีลักษณะเด่นด้วยการแต่งหน้าจัดจ้าน ผิวแทน ทำผมสีสว่างสดใส จนปลายทศวรรษ 2010 วัฒนธรรมนี้ได้แพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่นและต่างประเทศ ปัจจุบัน Gyaru ได้รับการยอมรับในความหมายที่ลึกซึ้งกว่ารูปลักษณ์ภายนอก โดยถูกมองว่าเป็น “ทัศนคติและวิถีชีวิต” ที่เป็นอิสระ มีความเชื่อมั่น และคิดบวก
ดังนั้นวัฒนธรรม Gyaru จึงถูกนำมาเชื่อมโยงกับธุรกิจในหลายลักษณะ ในด้านการพัฒนาองค์กรและการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน ทัศนคติแบบ Gyaru ช่วยขับเคลื่อนสร้างความเชื่อมั่นในสัญชาตญาณ การคิดบวก ส่งเสริมการแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและการทำงานเชิงรุก ด้านการสื่อสาร การสื่อสารสไตล์ Gyaru จะเปิดกว้าง เท่าเทียม และเปิดเผยตนเองมากขึ้น ทำให้เกิดการสนทนาที่สร้างสรรค์ระหว่างคนต่างวัย-ต่างแผนกในองค์กร สำหรับในเชิงการตลาดนั้น วัฒนธรรม Gyaru มีความไวต่อเทรนด์และสะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจน ทำให้สื่อสารออกมาได้อย่างโดดเด่น ทั้งภาพลักษณ์ ภาษา และเข้าถึงง่าย พร้อมทั้งช่วยสื่อสารในเนื้อหาที่ยากหรือเป็นทางการให้น่าสนใจและง่ายขึ้น รวมถึงยังสร้างความสนใจจากสื่อจนเกิดเป็นกระแสไวรัลและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่นที่การตลาดแบบเดิมเข้าไม่ถึง ซึ่งการใช้วัฒนธรรม Gyaru เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์กร ผลิตภัณฑ์ และบริการนั้น ทำได้ทั้งการส่งสมาชิก Gyaru เข้าไปในองค์กร เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม (Gyaru-Style Brainstorming) หรือ แปลงไอเดียที่ได้จากเวิร์กช็อปกับสมาชิก Gyaru ให้เป็นผลิตภัณฑ์และธุรกิจจริง (Gyaru-Style Studio) ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีลูกค้ากว่า 100 ราย โดย 90% เป็นบริษัทขนาดใหญ่ อาทิ Mitsubishi Pencil Co., Ltd., Suzuki Motor Corporation, Nissan Motor Co., Ltd., Fujitsu Limited ฯลฯ
สำหรับวัฒนธรรม Gyaru ในประเทศไทยนั้น แม้จะไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่แฟชั่นวัยรุ่นญี่ปุ่นก็ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย บนสื่อสังคมออนไลน์ อย่าง TikTok หรือ แพลตฟอร์มอื่นๆ ก็มีผู้ใช้งานชาวไทยจำนวนมากโพสต์เลียนแบบสไตล์และการแต่งหน้าแบบ Gyaru พร้อมติดแฮชแท็ก #gyaru ซึ่งสร้างการรับรู้ ความสนใจ และเข้าถึงได้มากขึ้น ดังนั้นหากธุรกิจไทยมีการนำวัฒนธรรม Gyaru มาปรับใช้ก็จะช่วยเพิ่มคุณค่าและมูลค่ากับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจวัฒนธรรมนี้ได้ทั้งตลาดในประเทศและขยายสู่ตลาดญี่ปุ่นได้อีกด้วย
ด้านนางสาวโนโดกะ ซากุระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สึกิซุเตะ อิงค์ ผู้ให้บริการด้านที่ปรึกษาธุรกิจ การฝึกอบรม และเวิร์กชอป โดยอาศัยทักษะและประสบการณ์จากวงการบันเทิงมาเชื่อมโยงธุรกิจกับกิจกรรมการตลาด การสื่อสาร และการสร้างแบรนด์ โดยธุรกิจหลักของบริษัทฯ ประกอบด้วยการสนับสนุนอาชีพที่สอง (Second-career support) แก่ไอดอล นักแสดง และบุคลากรในวงการบันเทิงที่ต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ การให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างความต้องการของวงการบันเทิงและภาคธุรกิจ การจัดเวิร์กช็อปที่นำทักษะของอดีตบุคลากรในวงการบันเทิงมาต่อยอดการเรียนรู้และสร้างคุณค่าใหม่ ซึ่งจุดแข็งสำคัญของบริษัทฯ คือการมีอดีตบุคลากรจากวงการบันเทิงเป็นแกนหลักของทีม ทำให้นำเสนอโซลูชันได้แบบครบวงจร ตั้งแต่การสนับสนุนศิลปิน การออกแบบโมเดลธุรกิจ ไปจนถึงการนำไปสู่การปฏิบัติจริง ปัจจุบัน สึกิซุเตะ อิงค์ ทำงานร่วมกับกว่า 150 บริษัท ในโครงการที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร และมากกว่า 30 แห่ง ในด้านที่ปรึกษาและการออกแบบธุรกิจ อาทิ บริษัทประกันชีวิตไดอิจิ (Dai-ichi Life Insurance Company) มหาวิทยาลัยเรียวโกกุ (Ryukoku University) และมหาวิทยาลัยคันไซ กากุอิน (Kansai Gakuin University)
ส่วนบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Underground Idol ด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ ซึ่งต่างจากอินฟลูเอนเซอร์ กระแสหลักที่มีผู้ติดตามจำนวนมากนั้น นางสาวโนโดกะ เผยว่า Underground Idol อาจไม่โดดเด่นในแง่ยอดผู้ติดตาม แต่สร้างการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพและแปลงเป็นผลลัพธ์เชิงธุรกิจ (High-conversion, Experience-based Engagement) ได้จริง ผ่านกิจกรรมอย่างการแสดงสด งานพบปะแฟนคลับ การถ่ายภาพ (Cheki) หรือการทำสินค้า Co-branding ซึ่งประสบการณ์เฉพาะเหล่านี้ช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับแฟนๆ และเพิ่มอัตราการแปลงผล (Conversion Rate) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกับแคมเปญที่เน้นการสื่อสารเชิงประสบการณ์ (Immersive & Memorable Brand Interactions) ส่วนการนำ Underground Idol มาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การตลาดของไทยนั้น นับเป็นโอกาสในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ ที่ต้องการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าให้ใกล้ชิดและแนบแน่นขึ้น พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่จริงใจขับเคลื่อนโดยชุมชน ทำให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการแสวงหาหรือสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่าการโฆษณาในรูปแบบเดิมอีกด้วย
สำหรับผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ คุณนาโอฮิสะ โอคาวะ อีเมล์ naohisa.okawa@jfr.co.jp

22 สิงหาคม 2568

เอปสันส่งเครื่องพิมพ์ใบเสร็จซีรีส์ใหม่ เร็ว ทน ใช้ง่าย ยกระดับงานงานพิมพ์ร้านอาหาร–ค้าปลีกยุคใหม่

เอปสัน ผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์ POS ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัว TM-U220II Series รุ่นใหม่ 3 รุ่น ได้แก่TM-U220IIA, TM-U220IIB และ TM-U220IID ตอบโจทย์ธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีกด้วยความเร็วพิมพ์สูงสุด6 บรรทัด/วินาที พร้อมฟังก์ชันล้ำสมัย ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานของร้านอาหารและธุรกิจค้าปลีกด้วยความเร็วและคุณภาพการพิมพ์ที่เหนือมาตรฐานอุตสาหกรรม

จากข้อมูลของโกบอล มาร์เก็ต อินไซต์ (Global Market Insights - GMI Insights) ตลาดเครื่องพิมพ์ใบเสร็จ POS ยังคงเติบโตต่อเนื่องตามการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกและอาหาร-เครื่องดื่ม ซึ่งในปี 2023 มีมูลค่าตลาดราว 1.45 แสนล้านบาท (4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 5.3% ระหว่างปี 2024–2032 โดยปัจจัยสำคัญคือเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการด้านความรวดเร็ว การเชื่อมต่อไร้สาย และรองรับการชำระเงินหลายรูปแบบ 

Epson TM-U220II Series ติดตั้งง่ายและทนทาน รองรับการเชื่อมต่อหลากหลายทั้ง USB, Serial, Ethernet, Parallel และเสริม Wi-Fi ด้วยอุปกรณ์เสริม ทนทานด้วยอายุการใช้งานกลไกพิมพ์กว่า 7.5 ล้านบรรทัด ใบมีดตัดกระดาษทนถึง 8 แสนครั้ง พร้อมฟีเจอร์เด่นเพื่อชั่วโมงเร่งด่วน เช่น การเชื่อมต่อ Buzzer OT-BZ20 แจ้งเตือนครัวเมื่อมีออเดอร์ใหม่ ลดความเสี่ยงตกหล่นคำสั่งซื้อ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็ว แม่นยำ และประหยัด เวลา เครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นในซีรีส์นี้มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานขั้นสูงที่แตกต่างเพื่อรองรับการใช้งานในรูปแบบ

ที่หลากหลายและและสามารถปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่ต้องการความรวดเร็วได้อย่างเหมาะสม อาทิ รุ่น Type D รองรับการพิมพ์ใบเสร็จพื้นฐาน ขณะที่รุ่น Type A และ B มาพร้อมระบบตัดกระดาษอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิ ภาพการทำงาน นอกจากนี้รุ่น Type A ยังรองรับการพิมพ์กระดาษ Journal เพื่อจัดเก็บประวัติการทำธุรกรรมการขาย สำหรับการตรวจสอบและจัดทำรายงานได้อย่างสะดวก สำหรับพื้นที่ทำงานขนาดเล็ก รุ่น Type B และ D รองรับการติดตั้งแบบแขวนผนัง ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่บนโต๊ะหรือเคาน์เตอร์สำหรับการจัดเก็บอุปกรณ์ที่จำเป็นอื่น ๆ ได้อีกด้วย


เอปสันเข้าใจความต้องการด้านความรวดเร็วและประสิทธิภาพในธุรกิจร้านอาหารและค้าปลีก เครื่องพิมพ์TM-U220II Series จึงถูกพัฒนามาเพื่อทำงานได้อย่างทนทาน รวดเร็ว และตอบโจทย์การใช้งานจริง พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่สนับสนุนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

สอบถามข้อมูล เอปสัน คอลเซ็นเตอร์ 0-2460-9699 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.epson.co.th, facebook.com/epsonthailand และ LINE Official Account Epson Thailand

20 สิงหาคม 2568

เปิดราคา JAECOO 5 EV รถยนต์ไฟฟ้าหรูหรา ฟีเจอร์ครบ

 รถไฟฟ้าพรีเมียมที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่และน้อง ๆ สี่ขา

กรุงเทพฯ 19 สิงหาคม 2568 – OMODA & JAECOO (อ่านว่า โอโมด้า แอนด์ เจคู่) ผู้นำด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก เปิดตัว "JAECOO 5 EV" ยนตรกรรมไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและรักการใช้ชีวิตอย่างมีสไตล์ พร้อมรองรับสำหรับสัตว์เลี้ยงแสนรัก ในราคาเริ่มต้นที่ 629,000 บาท สำหรับรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Dynamic และเริ่มต้นที่ 679,000 บาท สำหรับรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Max

พิเศษสำหรับลูกค้า JAECOO 5 EV 1,000 ท่านแรก ที่จองและรับภายใน 30 กันยายน 2568 รับข้อเสนอสุดพิเศษ ราคาเริ่มต้นที่ 549,000 บาท สำหรับรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Dynamic และราคาเริ่มต้นที่ 599,000 บาท สำหรับรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Max

คุณบิล จาง ผู้อำนวยการบริหารแบรนด์ โอโมดา แอนด์ เจคู บริษัท โอโมดา แอนด์ เจคู (ประเทศไทย) กล่าวว่า “JAECOO 5 EV ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการผจญภัย ครอบครัวที่รักการท่องเที่ยว หรือคนรักสัตว์เลี้ยงที่ต้องการพาสมาชิกตัวน้อยร่วมเดินทางไปด้วยกัน เราใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ JAECOO 5 EV เป็นมากกว่ายานพาหนะ แต่เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ทุกการเดินทางมีความหมายมากขึ้น”



ชีวิตสุดสนุกในทุกวัน JAECOO 5 EV ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือการออกทริปสุดสนุกในวันหยุด ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง พร้อมระบบความบันเทิงครบครัน รวมถึงโหมดคาราโอเกะในรถที่จะเปลี่ยนการเดินทางให้เป็นปาร์ตี้เคลื่อนที่สุดมันส์กับเพื่อน ๆ

JAECOO 5 EV มีให้เลือก 2 รุ่นย่อยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่ JAECOO 5 EV Long Range Max และ JAECOO 5 EV Long Range Dynamic โดยรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Max โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายในด้วยเบาะหนังสังเคราะห์พรีเมียม เบาะปรับไฟฟ้า หน้าจอสัมผัสขนาด 13.2 นิ้ว พร้อมไฟเรืองแสงปรับได้ 64 สี ที่ช่วยสร้างบรรยากาศการเดินทางให้สมบูรณ์แบบ มาพร้อมกล้องรอบคัน 540° หลังคาพาโนรามิค (Panoramic Fixed Glass Roof) ที่มีขนาดใหญ่ถึง 1.45 ตร.ม. และประตูท้ายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด โดยมีให้เลือกสีภายนอกถึง 5 สี และสีภายใน 2 สี (ขึ้นอยู่กับ combination ของแต่ละสีรถภายนอก) ส่วนรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Dynamic ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ด้วยเบาะผ้าที่ให้ความรู้สึกสปอร์ตและทันสมัย ตรงใจกลุ่มผู้ขับขี่รุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการออกแบบที่ทันสมัยและมีสไตล์ หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว กล้องรอบคัน 360° พร้อมมีมาให้เลือกสีภายนอก 3 สี

น้อง ๆ สี่ขาก็เที่ยวได้ สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง JAECOO 5 EV ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษด้วยวัสดุหุ้มเบาะที่ทนทานต่อรอยข่วน ทำความสะอาดง่าย พร้อมจุดยึด ISOFIX สำหรับติดตั้งที่นั่งสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ให้พาน้องหมา น้องแมวไปเที่ยวได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นทริปพาน้องไปอาบน้ำ หรือพักผ่อนริมทะเลในวันหยุด

ห้องเก็บของใหญ่จุใจ พร้อมลุยทุกทริป พื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการแพ็กอุปกรณ์แคมปิง บอร์ดเล่นเซิร์ฟ หรือจักรยาน สำหรับทริปท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ หรือจะใช้ขนของช็อปปิงก็สะดวกสบาย


JAECOO 5 EV ยังมาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า ให้ระยะวิ่งไกลถึง 461 กิโลเมตร มาพร้อมระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ ADAS 19 ฟังก์ชัน และโครงสร้างตัวถังที่ใช้เหล็กกำลังสูงถึง 77% เพื่อความมั่นใจในความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร



พิเศษสำหรับลูกค้า JAECOO 5 EV 1,000 ท่านแรก ที่จองและรับภายใน 30 กันยายน 2568 รับข้อเสนอสุดพิเศษ ราคาเริ่มต้นที่ 549,000 บาท สำหรับรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Dynamic และราคาเริ่มต้นที่ 599,000 บาท สำหรับรุ่น JAECOO 5 EV Long Range Max รับฟรี WALL CHARGE พร้อมติดตั้ง ดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 1.78% รวมถึงการรับประกันตัวรถ 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร และรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร* นอกจากนี้ ลูกค้าจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังการขาย ด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง (โทร 02-0208888 กด 1) ฟรี นาน 5 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ครอบคลุมทั่วประเทศไทย พร้อมศูนย์บริการมาตรฐานที่พร้อมดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร



สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับ JAECOO 5 EV ได้แล้ววันนี้ที่ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ OMODA & JAECOO ทั่วประเทศ เงื่อนไขต่าง ๆ ข้อกำหนดทั้งหมด และรายละเอียดโปรโมชันเพิ่มเติม


สามารถดูได้บนเว็บไซต์ www.omodajaecoo.co.th/th

ทรงดี! “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48” เปิดเกม Fast Track เจาะกำลังซื้อ หลังดอกเบี้ยขาลง

ใกล้เข้ามาแล้วกับงานใหญ่ประจำปีที่แวดวงอสังหาฯ และคนอยากมีบ้านรอคอย “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48” ซึ่งปีนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาเหมาะเจาะพอดี เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพิ่งมีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% จาก 1.75% เหลือ 1.50% ส่งผลให้บรรยากาศการซื้อ - ขายอสังหาฯ มีสีสันขึ้นทันตา และคาดว่าจะดันกำลังซื้อที่อยู่อาศัยกลับมาคึกคักช่วงปลายปี

นายองคฤทธิ์ พรหมโยธี ประธานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48 เปิดเผยว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ถือเป็นจังหวะทองของผู้บริโภค และเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้การจัดงานในปีนี้ “พิเศษกว่าทุกครั้ง” โดยผู้จัดงานวางหมากกลยุทธ์ Fast Track – ทางด่วนพิเศษสู่บ้านในฝัน ผ่านแคมเปญแรง “3 ดับเบิ้ล” ที่จัดหนักเพื่อผู้ร่วมงาน

ดับเบิ้ล 1 : ลงทะเบียนร่วมงาน รับของที่ระลึกทันที

ดับเบิ้ล 2 : ซื้อบ้านภายในงาน รับคูปองลุ้นดีลพิเศษ

ดับเบิ้ล 3 : ซื้อบ้านพร้อมลงทะเบียนล่วงหน้า รับดับเบิ้ลคูปอง ลุ้นดีลรวมมูลค่ากว่า 800,000 บาท แจกทุกวัน

ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 29 ตุลาคม 2568 เท่านั้น งานนี้ถือเป็น One Stop Service ด้านที่อยู่อาศัยของจริง รวมทุกทำเลร้อน ค่ายอสังหาฯ ชั้นนำ โปรโมชันแรงพิเศษที่หาไม่ได้จากที่อื่น โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 30 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ฮอลล์ 5 ชั้น LG

นอกจากเป็นโอกาสทองของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่จะมา “ปล่อยของดี” และปิดยอดขายปลายปี ท่ามกลางสัญญาณบวกของตลาดที่ฟื้นตัวหลังดอกเบี้ยลดลง

“อยากมีบ้านต้องมา อยากทำยอดขายต้องรีบจองบูธ”
นายองคฤทธิ์กล่าวทิ้งท้าย พร้อมเชิญชวนผู้ประกอบการที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: มหกรรมบ้านและคอนโด และ LINE: @Housecondoshow

14 สิงหาคม 2568

ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) เปิด 6 เหตุผลของคนชอบทำอาหาร!


พร้อมเสิร์ฟไอเดีย ‘EASY COOKING BY MEYER’ รับกระแส Home Cooking  ตั้งเป้าสิ้นปี 68 โกยยอดขายเพิ่ม 15%

: MEYER รับกระแส Home Cooking ยังแรงต่อเนื่อง เปิดตัวนวัตกรรมเครื่องครัวคุณภาพ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

: ตลาดเครื่องครัวไทยมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท 

: คนไทยยุคใหม่อายุ 18 – 45 ปี มีแนวโน้มเข้าครัวทำอาหารเพิ่มขึ้น 10-15% จากหลายปัจจัย

: 6 แรงจูงใจสำคัญ ส่งผลให้ผู้บริโภคสนใจทำอาหาร ได้แก่ สุขภาพ-โภชนาการ, ประหยัดค่าใช้จ่าย, ผ่อนคลายความเครียด, เชื่อมความสัมพันธ์, ได้ความภูมิใจ และ มีตัวช่วยทำอาหารที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์

: ตั้งเป้า ‘EASY COOKING BY MEYER’ สร้างยอดขายเพิ่ม 15% ภายในปี 68 แบ่งเป็นในห้างฯ-โชว์รูม 50% และออนไลน์ 50%

ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์เครื่องครัวชั้นนำของโลก เปิดเผยข้อมูล 6 เหตุผลของคนชอบทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน พร้อมเสิร์ฟไอเดีย ‘EASY COOKING BY MEYER’ (อีซี่ คุกกิ้ง บาย ไมย์เออร์) รับกระแส Home Cooking (โฮม คุกกิ้ง) ที่ยังคงแรงต่อเนื่อง ชวนทุกคนร่วมชาเลนจ์สร้างสรรค์เมนูโปรดแบบอีซี่ได้ทุกวัน ด้วยนวัตกรรมเครื่องครัวคุณภาพจากแบรนด์ MEYER (ไมย์เออร์) ได้แก่ MEYER Multipan และ MEYER Easy Cooker ที่มีฟังก์ชั่นครบ ตอบรับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่รักความสะดวกสบาย ให้สนุกกับการทำอาหารและอิ่มอร่อยง่ายๆ อย่างปลอดภัยแบบได้สุขภาพดี ภายใต้แนวคิด If you cook, you’re chef ตั้งเป้าภายสิ้นปี 68 ปิดยอดขายเพิ่ม 15%

นายโจเซฟ โล ผู้จัดการทั่วไปและผู้อำนวยการ บริษัท ไมย์เออร์ อินดัสตรีส์ จำกัด และ บริษัท ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอุตสาหกรรม Cookware and Bakeware ระดับท็อปของโลก มีศักยภาพความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่ายแบรนด์เครื่องครัวคุณภาพหลายแบรนด์ชั้นนำมาตฐานระดับสากล ทั้งนี้บริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญกับทีม R&D(Research and Development) ด้วยการศึกษาข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน นำมาวิเคราะห์เชิงลึกเป็น Consumer Insight พร้อมวางแผนพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายแบบ Outside-In ครบทุกเจอเนเรชั่นอย่างแท้จริง 



ซึ่งจากการเก็บรวบรวมข้อมูลล่าสุดพบว่า ปัจจุบันคนไทยยุคใหม่อายุระหว่าง 18 – 45 ปี อาศัยอยู่ในคอนโดและบ้านพัก มีแนวโน้มเข้าครัวทำอาหารรับประทานเองเพิ่มขึ้น 10-15% จากปัจจัยบวกด้านการดูแลสุขภาพและรูปร่าง, ภาวะความผลันผวนทางเศรษฐกิจ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ตลอดจนมี 6 เหตุผลหลักที่ทำให้กลุ่มผู้บริโภคสนใจทำอาหารรับประทานเองที่บ้าน ประกอบไปด้วย 1.ใส่ใจเรื่องสุขภาพและโภชนาการ ได้เลือกวัตถุดิบที่ดี สะอาด สดใหม่ มีคุณภาพ นำมาปรุงอาหารตามต้องการ เพื่อดูแลรูปร่างและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆในอนาคต 2.ประหยัดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเมนูยอดนิยมที่มีราคาสูงในร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งสามารถวางแผนเลือกวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยมและทำตามได้ง่ายๆในงบประมาณที่จำกัด 3.ผ่อนคลายความตึงเครียด การเข้าครัวทำอาหารต้องโฟกัส อาศัยสมาธิ การเรียนรู้ ความตั้งใจ เป็น       

ส่วนสำคัญช่วยบำบัดสมอง ฟื้นฟูอารมณ์และจิตใจ 4.เชื่อมความสัมพันธ์ ลดอาการเสพติดโซเชียลมีเดีย มีกิจกรรมให้ทำด้วยกัน สร้างความรู้สึกอบอุ่นใกล้ชิดกันมากขึ้นภายในครอบครัว 5.ความภาคภูมิใจที่มากกว่ารสชาติ แม้ว่าจุดเริ่มต้นอาจมีบางครั้งที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ประสบการณ์จากการได้ลงมือฝึกฝนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะสามารถเอาชนะใจตัวเอง และสร้างความเป็นมืออาชีพได้ในอนาคต 6.ตัวช่วยในการทำอาหาร ปัจจุบันมีนวัตกรรมเครื่องครัวที่สามารถช่วยให้การทำอาหารเป็นเรื่องสนุก ง่าย รวดเร็ว ไม่ยุ่งยากอีกต่อไป อีกทั้งยังมีดีไซน์สวยทันสมัยเหมาะกับทุกเจนทุกไลฟ์สไตล์ เป็นแรงกระตุ้นให้อยากเข้าครัวทำอาหารและแชร์โมเม้นท์แห่งความสุขในโลกโซเชียลมีเดีย

ทั้งนี้ ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) ยังคงเดินหน้าสร้างกระแส Home Cooking ให้ฟีเวอร์ตลอดกาล ด้วยแคมเปญ ‘EASY COOKING BY MEYER’ พร้อมบุกตลาดเครื่องครัวไทยที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท ด้วยการส่งต่อแรงบันดาลใจในการเข้าครัว สร้างโมเม้นท์แห่งความสุข สนุก อบอุ่น ให้การทำอาหารเป็นเรื่องง่าย สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ได้สุขภาพดี ภายใต้แนวคิด If you cook, you’re chef พร้อมเปิดตัวความอัจฉริยะของนวัตกรรมเครื่องครัวคุณภาพจากแบรนด์ MEYER พร้อมกัน 2 รุ่น ได้แก่ 

• MEYER Multipan 6 in 1 มาพร้อมความโดดเด่น การดีไซน์ที่เรียบง่ายเป็นเอกลักษณ์ พร้อมสารเคลือบ

ลื่นกระทะเซรามิค เพิ่มความแข็งแรงทนทานขึ้น 8 เท่า มีฟังก์ชั่น 6 in 1 ตอบโจทย์ทุกเมนูทั้ง ผัด ต้ม แกง ทอด ได้ในกระทะใบเดียว ปลอดภัยสำหรับการปรุงอาหารที่อุณหภูมิร้อนจัด ใช้ได้กับเตาทุกประเภท รวมถึงเตาแม่เหล็กไฟฟ้า ประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหารยุคใหม่ที่อาศัยอยู่ในคอนโดและบ้านพัก

• MEYER Easy Cooker หม้ออัดแรงดันไมโคเวฟ 3-in-1 อเนกประสงค์ สามารถสร้างสรรค์เมนูสุดฮิตผ่าน

ไมโครเวฟ ทั้ง ต้ม ตุ๋น ผัด ได้ครบจบในหม้อเดียวในระยะเวลาเพียง 15 นาที คงความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการ สามารถทนความร้อนได้ถึง 140°C มีระบบระบายแรงดันอัตโนมัติ ปลอดภัย 100% ผ่านมาตรฐาน มอก. และ BPA Free ปลอดสารก่อมะเร็ง ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็สามารถทำได้ง่ายๆ เหมาะสำหรับมือใหม่ฉบับเริ่มต้น รวมไปถึงผู้ที่เร่งรีบมีเวลาจำกัด แต่ยังคงชื่นชอบการทำอาหารที่สะดวกสบายและรวดเร็ว 

โดยบริษัทฯ วางเป้าหมายสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 15% ภายในสิ้นปี 68 แบ่งเป็นยอดขายในห้างสรรพพสินค้าชั้นนำ-โชว์รูมไมย์เออร์ 50% และช่องทางออนไลน์อื่นๆ อีก 50% อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ตั้งงบประมาณกว่า 30% ของเป้าหมายยอดขาย เจาะกลุ่มลูกค้าฐานใหม่ รวมไปถึงรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมที่ต้องการอัพเกรดเครื่องครัวที่ตอบโจทย์การใช้งานยิ่งขึ้น โดยวางแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ ตอกย้ำ Branding ทั้ง Mass Media และ Social Media ในทุกช่องทางได้แก่ Facebook : meyercookware, Instagram: meyerthai, Web site : potsandpans.in.th และ Line : @meyercookware นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับพลังการบอกต่อผ่านโซเชียลมีเดีย โดยอาศัย Influencer ที่น่าเชื่อถือเป็นหลักอีกด้วย ทั้งนี้ ไมเร็กซ์ (ประเทศไทย) มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพสูงและปลอดภัยอย่างยั่งยืน ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับลูกค้าทุกกลุ่ม และยังมุ่งเน้นการผลิตแบบ Net Zero รักษาสิ่งแวดล้อม Reduce GHG emission, Reduce waste to landfill, and Corporate Social Responsibility (CSR) 

สินค้าพร้อมวางจำหน่ายแล้ววันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หรือโชว์รูมไมย์เออร์
แผนที่ https://bit.ly/3A3m4Vk
และง่ายสะดวกสบายในช่องทางออนไลน์ PotsandPans: https://bit.ly/4c7O8E8

Shopee: https://bit.ly/3yiv9ch

: https://bit.ly/4cb2Bzl

TikTok Shop : https://bit.ly/4d4eU1D

#meyerthai

#MeyerCookware

#ไมย์เออร์มายโมเมนต์

กระทรวงดีอี อัดงบ 69 พัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ปูพรมภาคการผลิต หนุนพัฒนา AI เพิ่มขีดแข่งขันประเทศไทย

กระทรวงดีอี ขับเคลื่อนเชิงรุก รับงบ 69 หนุนภาคผลิตใช้เทคโนโลยีดิจิทัล - เอไอ ลดต้นทุน เพิ่มขีดแข่งขันอุตสาหกรรมไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไม่น้อยกว่า 30% ของจีดีพีประเทศไทย ภายในปี 2570 

ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี)  ให้สัมภาษณ์ หลังการเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 (Workshop#2) ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนประเทศสู่ความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลระดับโลก : Driving A Nation Towards world Digital Competitiveness” จัดโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)   ว่า เป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ภายในปี 2570 จะมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(Gross Domestic Products : GDP) และไต่ระดับความสามารถในการแข่งขัน ด้านดิจิทัลในอันดับที่ 30 จากปัจจุบันที่เศรษฐกิจดิจิทัล คิดเป็นสัดส่วน 24% ของ GDP ได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ปี 2568 จาก IMD (International Institute for Management Development) อยู่ในอันดับที่ 37 ลดลง 2 อันดับ จากอันดับที่ 35 ในปี 2567



ในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ในปี 2570 นั้น นายณัฐพล กล่าวว่า กระทรวงดีอี มีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลใน 6 ด้านหลักด้วยกันคือ 1. การลงทุนในเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Capital and Investment)  2.การพัฒนาอัตลักษณ์ด้านดิจิทัล (Digital Identity) 3. การพัฒนาระบบดิจิทัล (Digital Infrastructure) 4. การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) 5.การพัฒนาระบบอี-คอมเมิร์ซ  (Digital Payment and  Cashless Society) และ 6.การนำดิจิทัลไปเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล ตามเกณฑ์ในการพิจารณาของ IMD

ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ในประเทศไทย ภาคเอกชนจะมีบทบาทในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จากการให้บริการของบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยี ขณะที่ภาครัฐจะมุ่งเน้นเรื่องการวางระบบเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ โดยในฝั่งแปซิฟิกในส่วนของ Cable Submarine เพื่อเชื่อมโยงระบบกับต่างประเทศ และ มีแผนที่จะพัฒนาในส่วนของ Cable Submarine ส่วนในฟากอันดามัน รัฐบาลอาจจะต้องใช้เงินลงทุนราว  5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ สนับสนุนกับการลงทุนระบบเครือข่ายของภาคเอกชน

ภายใต้โครงการ ระบบคราวด์กลางภาครัฐ  หรือ Government Data Center and Cloud (GDCC) โดยการรวมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยเข้ามาใช้งานร่วมกัน ที่พัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2565-2568 กรอบงบประมาณราว 5,000 ล้านบาท สร้าง Data Center แล้วเสร็จแล้ว 45,000 VM (Virtual Machine ) จากที่ต้องใช้ประมาณ 800,000 VM สำหรับการจัดทำข้อมูล GDCC ให้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานของไทย 

ขณะเดียวกัน ยังเร่งผลักดันให้หน่วยงานราชการ ปรับการทำงานใหม่ ในรูปแบบ E-Document หรือ Paperless office ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐ 65 แห่งปรับการทำงานมาสู่รูปแบบ E-Document เรียบร้อยแล้ว มีผู้ใช้รวมกว่า 90,000 users  ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีผู้ใช้กว่า 78,000 users  และตั้งเป้าภายในปี 2570 จะผลักดันให้หน่วยงานรัฐ ปรับการทำงานมาเป็นรูปแบบ E-Document ทั้งหมดหรือมากที่สุด 

“ในปีงบประมาณปี 2569 กระทรวงฯจะเร่งขับเคลื่อน 3 เรื่องหลักสู่ Digital Government ในปี 2569-2570 คือE-Document  ระบบคราวด์กลางภาครัฐ   GDCC และ ความปลอดภัย Cyber Security โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI  ในการพัฒนา ปรับปรุงการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาคอุตสาหกรรม โดยนำ AI มาพัฒนา  สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI  โดยกำหนดเป้าหมายภายในปี 2571 จะมีประชากรไทยเข้าถึงเทคโนโลยี AI ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน มีผู้เชี่ยวชาญ(Professional) ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และ สร้างผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอไอ (AI Developer) ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ภายใต้กรอบงบประมาณ 20,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ” ดร.ณัฐพล กล่าว 

เศรษฐกิจดิจิทัล  AI  สู่ภาคการผลิต 

“แม้ว่าปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี 5G แต่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ ในการพัฒนากระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ถ้าสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI  ไปใช้ในการพัฒนาภาคการผลิต อุตสาหกรรม และ SMEs จะช่วยลดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น” นายณัฐพล กล่าว  

สอดคล้องกับแนวคิดของ ศาสตราจารย์อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการ สถาบัน IMD World Competitiveness Center ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในการบรรยาย หัวข้อ “Vision the Digital Future” ว่า ประเทศไทย มีการใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล และ AI  มีความสามารถในการแข่งขัน ในอันดับ 37 ในปี 2568 ลดลงจากอันดับที่ 35 ในปี 2567 ซึ่งการใช้งานส่วนใหญ่ของไทยจะอยู่ที่ผู้บริโภค เป็นหลัก แต่ยังไม่ได้นำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI  ไปใช้งานในภาคการผลิต และ ภาคอุตสาหกรรม 


“อันดับที่ลดลงจาก 35 มาอยู่ที่ 37 มาจากอันดับด้านของเทคโนโลยี AI ของไทย มีผู้ใช้มากกว่าผู้พัฒนาเทคโนโลยี ทำให้คะแนนในส่วนนี้ ลดลงมา 8 อันดับจากอันดับ 15 อยู่ที่ 23 ในขณะที่ไทยมีคะแนนที่ดีขึ้น ในด้านความรู้และความพร้อมสำหรับอนาคต (Future Readiness)” ศาสตราจารย์ บริส กล่าว และเพิ่มเติมว่า 

“ยกตัวอย่างประเทศเอสโตเนีย ที่กำหนยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ประกาศนโยบายขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล ที่โดดเด่นในภูมิภาคยุโรป เริ่มต้นจากการพัฒนาบุคลากร มุ่งมั่นพัฒนา AI  เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของระบบสารสนเทศ และใช้ในการปรับปรุงการมีส่วนร่วมของประชาชน และการสื่อสารกับหน่วยงานของภาครัฐ กลายเป็น E-Government  

สำหรับประเทศไทย ถ้าเราจะพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เราต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากร และมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ในการขับเคลื่อนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในทุกภาคส่วนของประเทศโดยเฉพาะในภาคการผลิตของประเทศทั้งภาคอุตสาหกรรม การเกษตร และ ภาคบริการ” ศาสตราจารย์ บริส กล่าวสรุป

ชูแพลตฟอร์มกลาง สร้างเศรษฐกิจดิจิทัล

จากการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การขับเคลื่อนประเทศสู่ความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลระดับโลก : Driving A Nation Towards world Digital Competitiveness” โดยมี ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม  ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท แอ็คโคเมท จำกัด  นายสวยศ ด่านบรรพต ประธานกรรมการบริหาร และผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาและพัฒนาธุรกิจ  บริษัท วิตามินเบรน จำกัด ดร.เทอดพงษ์ หงษ์หิรัญเรือง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และกรรมการบริษัท บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นำทีมการประชุมเชิงปฎิบัติการ ใน 4 หัวข้อได้แก่  1. Building Digital Workforce & Talent 2. Accelerating Digital Government 3. AI Adoption and Governance 4 Digital Platform and  E-Commerce เพื่อนำไปสู่การเพิ่มขีดแข่งขันสำหรับประเทศไทยใน 4 ประเด็น ได้แก่ 

1.การสร้างบุคลากรด้านดิจิทัลและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร (Building Digital workforce & Talent) โดยที่ประชุมมีความเห็นว่า จำเป็นที่จะต้องพัฒนาคุณภาพของบุคลากรให้ได้รับการอบรม และ นำความรู้เรื่องของเทคโนโลยี ดิจิทัล และ เอไอ มาใช้ในการทำงานได้ องค์กรต้องพัฒนาองค์ความรู้ ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน พัฒนาบุคลากรที่ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ใช้เทคโนโลยี แต่ต้องพัฒนาผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้สร้างเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ โดยการสร้างระบบนิเวศน์ในการทำงานทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้จากรุ่นสู่รุ่น ผนึกกำลังองค์ความรู้ของคนที่มีประสบการณ์ผนวกเข้ากับความสามารถของคนรุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญในการใช้เทคโนโลยี  มาทำงานร่วมกัน 

2. การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Accelerating Digital Government) รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อสร้าง ฐานข้อมูลแห่งชาติ(National Data Center) รวมไปถึงการสร้างภาษาของไทยเองในการพัฒนาระบบดิจิทัล และ เอไอ (LLM: Large Language Model) ของประเทศเอง เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่าย เพื่อสร้างรัฐบาลดิจิทัล ที่สามารถเข้าถึงประชาชนทุกคน

3. การนำ AI มาใช้ และ การกำกับดูแล (AI-Adoption and Governance) สถานการณ์ที่ประเทศไทยเผชิญอยู่คือ ไทยเป็นผู้ใช้เอไอ (AI User) ประเทศไทยมีบุคลากรไม่เพียงพอ แนวทางการแก้ไขปัญหาคือ ต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับธุรกิจไทย โดยพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน และสร้างระบบในการเข้ามากำกับดูแลที่เหมาะสม และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี 

4. การพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม และ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์(Digital Platform and E-Commerce) ประเทศไทยมีมูลค่าการซื้อขายผ่าน E-Commerce มูลค่ารวมกว่า 1.1 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งมีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ แต่เราซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มต่างประเทศ ที่ประชุมเสนอให้มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาแพลตฟอร์มของประเทศ(National Platform) ในรูปแบบของการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน ( Public-Private Partnership) เพื่อทำเป็น Super Application และเป็นพื้นที่ในการค้าขาย (Market Place) และสร้างเครือข่ายธุรกิจร่วมกับภาคการขนส่งของรัฐอย่างไปรษณีย์ไทย เพื่อสร้างแพลตฟอร์มระดับชาติที่รวมทุกสินค้าเข้ามาค้าขาย เพื่อที่จะสร้างตลาดและในขณะเดียวกันลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มของต่างชาติ พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กให้เข้าถึงพื้นที่การขายในต้นทุนที่ต่ำ เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจของประเทศเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

13 สิงหาคม 2568

TQM เคาะปันผล 0.50 บาท/หุ้น พร้อมแผนรุกครึ่งปีหลัง

TQM เคาะปันผล 0.50 บาท/หุ้น พร้อมแผนรุกครึ่งปีหลัง เดินหน้าเจาะตลาดประกันชีวิตและสุขภาพเสริมแรง สร้างรายได้โตต่อเนื่อง

บมจ. ทีคิวเอ็ม อัลฟา หรือ TQM รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2568 ด้วยรายได้รวม 2,077 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 414 ล้านบาท คงอัตรากำไรสุทธิในระดับแข็งแกร่ง พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.50 บาทต่อหุ้น เท่ากับปีก่อน สะท้อนฐานะการเงินที่มั่นคงและสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธานบริษัท ทีคิวเอ็ม อัลฟา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม้ ไตรมาส 2 จะเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจประกัน และปีนี้เศรษฐกิจเผชิญความท้าทายจากทั้งภัยน้ำท่วมและภัยแผ่นดินไหว แต่ TQM ยังคงขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคง และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างสม่ำเสมอ ดังจะเห็นจากการประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.50 บาท ในส่วนประกันรถยนต์ยังรักษายอดต่ออายุได้ดี และประกันบ้านที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากความตระหนักเรื่องความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ รวมถึงความเชื่อมั่นในแบรนด์ของเราทำให้การขายและการต่ออายุยังคงแข็งแกร่ง พร้อมได้ลีดคุณภาพสูงจากช่องทางดิจิทัล ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนด้านเทคโนโลยีและกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจน”

ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเสริมว่า “รายได้จากเบี้ยประกันต่ออายุในธุรกิจประกันวินาศภัยยังเป็นส่วนสำคัญ โดยรักษายอดต่ออายุได้ถึง 80% ของฐานลูกค้าทั้งหมด สะท้อนความพึงพอใจและความไว้วางใจในบริการของเรา ขณะเดียวกัน ธุรกิจสินเชื่อ Easy Lending ยังคงยึดแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรอบคอบ หรือ Selective Lending เพื่อบริหารความเสี่ยง โดยสินเชื่อเพื่อซื้อประกันยังขยายตัวต่อเนื่อง แสดงถึงดีมานด์ในตลาดประกันที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องขึ้นไปเรื่อย ๆ”

ในครึ่งปีหลัง เรากำลังเร่งขยายตลาดประกันชีวิตและสุขภาพอย่างเป็นระบบ โดยใช้ฐานข้อมูลลูกค้าจากประกันวินาศภัยของทีคิวเอ็มเป็นตัวสร้างโอกาสขยายประกันชีวิตให้ครอบคลุมลูกค้าครบทุกกลุ่มมากยิ่งขึ้น ต่อยอดร่วมกับพันธมิตรบริษัทประกันชีวิตชั้นนำ พัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ธุรกิจประกันชีวิตเป็นอีกหนึ่งกลไกขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน

ทั้งนี้ทีคิวเอ็มยังได้สนับสนุนการสร้างการรับรู้แบรนด์เพื่อเข้าใกล้ชิดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ในไตรมาสที่ผ่านมา TQM ได้เปิดตัวแคมเปญ “ประกันสำคัญเหมือนอาหารเช้า” มอบแมคโจ๊ก 30,000 ชุด พร้อมประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฟรี วงเงินสูงสุด 50,000 บาท คุ้มครองนาน 90 วัน เพื่อกระตุ้นให้คนไทยเข้าถึงประกันภัยง่ายขึ้น มีความคุ้มครองในเบื้องต้นและตระหนักถึงคุณค่าของการบริหารความเสี่ยงในชีวิตประจำวัน

นอกจากนี้ TQM ยังได้จัดโครงการ “ขับขี่ปลอดภัย อุ่นใจตลอดเส้นทาง” มอบประกันอุบัติเหตุฟรี วงเงินคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท ให้กับลูกค้าที่ขับรถผ่านถนนพระรามสอง ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความเสี่ยงด้านการจราจรและอุบัติเหตุสูง เพื่อแสดงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนน และตอกย้ำบทบาทของ TQM ในการดูแลและปกป้องลูกค้าในทุกเส้นทางชีวิต มุมมองครึ่งปีหลังของปี 2568 TQM มั่นใจว่าครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4 ซึ่งเป็น High Season ของธุรกิจประกัน จะสามารถขับเคลื่อนการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เข้าใจคนไทย การใช้ AI และ Data Analytics วิเคราะห์ความต้องการเชิงลึกของลูกค้า และการสร้าง Synergy กับพันธมิตรในเครือ เพื่อขยายตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

10 สิงหาคม 2568

ช.ส.ท. ขอบคุณผู้ประกอบการร่วมสนับสนุน กิจกรรม “สุขทันทีที่เที่ยวอุตรดิตถ์”


ชมรมสื่อมวลชนส่งเสริมการท่องเที่ยว นำโดย นางวรางคณา สุเมธวัน ประธานชมรมฯ ขอบคุณพันธมิตร จาก กองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการ ในการร่วมสนับสนุนกิจกรรม สุขทันทีที่เที่ยวอุตรดิตถ์ ระหว่างวันที่ 7 – 10 สิงหาคม 2568 เพื่อมอบเป็นของที่ระลึกแก่ นายศิริวัฒน์ บุปผาเจริญ ผู้ว่าฯ อุตรดิตถ์ และนายสมชาย ชมภูน้อย ผอ.ภูมิภาค ภาคเหนือ ททท. สื่อมวลชนและคณะนักท่องเที่ยววัยเก๋า กว่า 100 คน 


โดยผลิตภัณฑ์คุณภาพจากพันธมิตรผู้ร่วมสนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว ได้แก่ 

‎เพียงใจไทยสปา – ผลิตภัณฑ์สปาสมุนไพรแท้ บำรุงผิวพรรณและช่วยผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ

‎วิสาหกิจชุมชนเย็บผ้าเครื่องนอนยางพาราเขาคีริส – เครื่องนอนจากยางพาราธรรมชาติ ปลอดสารเคมี รองรับสรีระดีเยี่ยม ช่วยให้นอนหลับสบาย

‎สเปรย์เย็น “เย็นดี” – เติมความสดชื่น ลดความร้อนและความเมื่อยล้า เหมาะกับอากาศเมืองไทย

‎สเปรย์ฉีดหน้าน้ำกุหลาบ Rose Water Face Mist – เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยผ่อนคลาย

‎น้ำมันหอมระเหยสายมู สูตรแพทย์แผนโบราณระดับพรีเมี่ยม – ผสมผสานสมุนไพรและศาสตร์แพทย์แผนไทย เสริมสิริมงคลและพลังบวก

‎หลวงปู่ทวดแกะสลักจากนิลแท้ จังหวัดกาญจนบุรี – พระเครื่องอันทรงคุณค่า เชื่อว่ามีพลังปกป้องและเสริมดวงชะตา

Artiva ผลิตภัณฑ์งานคราฟต์เครื่องหอมเมืองจันท์ น้ำหอมฉีดกาย Eau de patfum (EDP) กลิ่นนวลจันทร์และตะวันฉาย ขนาด 15 มล.

กระเป๋าหนังวัวแท้ Shop Chic กระเป๋าหนังวัวแท้ Handmade












ทั้งนี้ การสนับสนุนผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นการมอบของที่ระลึกให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรม แต่ถือเป็นการแสดงพลังความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และชุมชนท้องถิ่น ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยควบคู่กับการผลักดันสินค้าไทยคุณภาพสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วประเทศ นับเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญที่ช่วยสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยให้คึกคักและน่าจดจำยิ่งขึ้น