11 มิถุนายน 2568

ASEAN Int’l Optics Fair เตรียมเปิดฉากต่อยอดอุตสาหกรรมแว่นตาและสายตาครบครันที่สุดในอาเซียน

เตรียมปักหมุดครั้งแรกในประเทศไทย ASEAN Int’l Optics Fair งานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน โดยรวบรวมแบรนด์ ผู้ประกอบการด้านแว่นตา เลนส์ บรรจุภัณฑ์ และอุปกรณ์ชั้นนำทั่วโลกกว่า 200 ราย เข้าร่วมงานเพื่ออัปเดต เทรนด์และนวัตกรรมต่าง ๆ รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมสายตาและแว่นตาในภูมิภาคอาเซียนให้แข็งแกร่งและเติบโตยิ่งขึ้น โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 – 11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร คาดมีผู้เข้าร่วมงานทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศกว่า 5,000 ราย

มร.เว่ย พาน ประธานคณะกรรมการจัดงาน บริษัท ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้จัดงานแสดงสินค้ามืออาชีพระดับนานาชาติที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานกว่า 23 ปี ในอุตสาหกรรมแว่นตา โดยในปี 2003 บริษัทได้เปิดตัวงาน Wenzhou Int’l Optics Fair (WOF-Wenzhou) ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเวทีสำคัญของอุตสาหกรรมแว่นตาในประเทศจีน และยังเป็นงานแสดงสินค้างานแรกในมณฑลเจ้อเจียงตอนใต้ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมอุตสาหกรรมแสดงสินค้าระดับโลก (The Global Association of the Exhibition Industry หรือ UFI) ปัจจุบัน Wenzhou Int’l Optics Fair ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในงานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดสามอันดับแรกของโลก





ในปีนี้ เราได้ร่วมมือกับบริษัท บรอด อินเตอร์เนชันแนล จำกัด และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้จัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการเข้าสู่ตลาดแว่นตาในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบรับกับการเติบโตทางธุรกิจและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาค งานนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแว่นตาของภูมิภาค พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างรายได้ผ่านการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ และการจ้างงานอีกด้วย


มร.เจี้ยนหมิน อู๋ ประธานสมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และผู้สนับสนุนหลักของงาน ASEAN Int’l Optics Fair กล่าวถึงภาพรวมของการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศจีนว่า ปี 2025 เป็นปีครบรอบ 50 ปี แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีน จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ โดยจีนเป็นประเทศคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยติดต่อกันถึง 12 ปี ตั้งแต่ปี 2013 ถึง 2024

โดยในปี 2024 เพียงปีเดียว มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 94,919.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2% และด้วยศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มีการจัดงาน ASEAN Int’l Optics Fair ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

ด้าน ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล ประธานสภาทัศนมาตรศาสตร์แห่งเอเชีย และทำหน้าที่นายกสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ASEAN Int’l Optics Fair เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของหน่วยงานทางวิชาชีพ องค์กรชั้นนำในอุตสาหกรรมแว่น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ดอนเนอร์ เอ็กซิบิชั่น, บรอด อินเตอร์เนชันแนล, สมาคมอุตสาหกรรมแว่นตาแห่งมณฑลเจ้อเจียง, สมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย, สมาพันธ์อุตสาหกรรมแว่นตาเกาหลี (KOIC), สถาบันการจัดการสายตาแห่งเอเชีย (AOMA) และ อาย แวลลีย์ (Eye Valley) เพื่อสร้างโอกาสทางการเติบโตทั้งในทางวิชาการและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ครั้งสำคัญให้กับอุตสาหกรรมดังกล่าวในประเทศไทยขยายตลาดสู่อาเซียน ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่เติบโตสูงสุดในโลก ตลอดจนมีความต้องการแว่นตา การดูแลสายตา และเทคโนโลยีด้านสายตาอัจฉริยะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดการจัดงานตั้งเป้ามีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน จากทั้งในและต่างประเทศ



ความน่าสนใจที่พลาดไม่ได้ภายในงาน คือ การแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมแว่นตาที่รวบรวมผู้ประกอบการชั้นนำทั้ง ร้านค้า ผู้ประกอบการดูแลสายตา เจ้าของแบรนด์ทั้งแว่นกันแดด กระจกแว่นสายตา เลนส์ บรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์สำหรับแว่นตา เครื่องมือและอุปกรณ์ด้านสายตาชั้นนำ 200 ราย ตลอดจนผู้จัดซื้อจากภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลกมาไว้ในที่เดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการประชุม Asia-Pacific Eye Health Summit, การอัปเดตข้อมูลเชิงลึกด้านอุตสาหกรรม เรียนรู้แนวโน้มตลาด ผ่านงานสัมมนาและเวิร์คชอปจากสมาคมทัศนมาตรแห่งประเทศไทย โซนพิเศษในการโชว์นวัตกรรมจากประเทศจีน ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รวมถึงเวทีเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ

ASEAN Int’l Optics Fair งานแสดงสินค้าด้านแว่นตาและสายตาที่ครบวงจรที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จะจัดระหว่างวันที่ 9 - 11 ตุลาคม 2568 ณ ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://asean.opticsfair.com/ และสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ http://donnor.cn/J6F2

กรมอุทยานฯร่วมมือเทศบาลเมืองลพบุรี ดักจับทำหมันลิงต่อเนื่อง

กรมอุทยานฯร่วมมือเทศบาลเมืองลพบุรี ดักจับทำหมันลิงต่อเนื่อง เตรียมย้ายเข้าสถานที่อนุบาลแห่งใหม่ แก้ไขปัญหาลิงแบบเบ็ดเสร็จ


ตามนโยบายของดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่า ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่พี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาลิง ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี


11 มิถุนายน 2568  นายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1 สาขาสระบุรี เปิดเผยว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ร่วมกับนายจำเริญ สละชีพ นายกเทศบาลเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี นำทีมสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ในสังกัด ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเทศบาลเมืองลพบุรี ดำเนินการดักจับทำหมันลิง ในบริเวณเขตเทศบาลเมืองลพบุรี เป็นการต่อเนื่อง โดยการปฏิบัติงานในครั้งนี้อยู่ในห้วงเวลา ระหว่างวันที่ 8-17 มิถุนายน 2568 มีการตั้งเป้าดักจับทำหมันลิง ในปีงบประมาณ 2568 ทั้งหมดจำนวน 450 ตัว สำหรับการดักจับทำหมันลิงในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี เป็นการปฏิบัติงานภายใต้ MOU ระหว่างกรมอุทยานแห่งชาติฯ และเทศบาลเมืองลพบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาลิงเมืองลพบุรี ที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่พี่น้องประชาชนมาอย่างยาวนาน  จนกระทั่งปัจจุบัน ได้ดำเนินการดักจับทำหมันลิง ในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ไปแล้วจำนวนทั้งสิ้น 1,980 ตัว สำหรับลิงที่ดักจับทำหมันทั้งหมด ได้นำมาอนุบาลไว้ที่สถานอนุบาลสัตว์โพธิ์เก้าต้น ในความรับผิดชอบของเทศบาลเมืองลพบุรี  ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างกรงอนุบาลลิงถาวรแห่งใหม่ มีอาณาเขตบริเวณกว้างขวาง มั่นคง แข็งแรง พื้นที่ภายในแยกเป็นโซนต่างๆ เพื่อให้ลิงมีความเป็นอยู่ให้ได้รับสวัสดิภาพ สวัสดิการ ตลอดจนโภชนาการด้านอาหาร เป็นอย่างดี โดยกรงอนุบาลลิงแห่งใหม่นี้ จะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2568 สามารถบรรจุลิงได้มากกว่า 3,000 ตัว

นางสาวภาวิณี แก้วแกม นายสัตวแพทย์ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมสัตวแพทย์ในการดักจับทำหมันลิง เปิดเผยว่าการปฏิบัติงานในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากนายบดินทร์ จันทศรีคำ ประธานชมรมคนรักสัตว์ป่า เป็นผู้ประสานงานและนำอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกาวทางการแพทย์ สำหรับปิดบาดแผลลิงบริเวณที่ถูกทำหมัน ทำให้การปิดบาดแผลสามารถทำได้สะดวก  สามารถป้องกันเชื้อโรค และสมานแผลได้รวดเร็วขึ้น อันเป็นผลดีกับลิงที่ถูกจับทำหมัน 



นายอดิศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปัญหาลิงในเขตเทศบาลเมืองลพบุรี ถือเป็นโมเดลสำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาลิงในเขตเมืองให้กับพื้นที่อื่นๆ จนกลายเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งปัจจุบัน ยังได้รับความร่วมมือและการช่วยเหลือจากกลุ่มเครือข่ายต่างๆ ในการสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ในการทำหมันลิงที่ทันสมัย นำมาช่วยให้การปฏิบัติงานสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น

พม. จัดประชุมวิชาการระดับภูมิภาค ขับเคลื่อนสังคมสูงวัยแบบมีส่วนร่วม ผ่านแนวทางระหว่างรุ่นในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 นางจตุพร โรจนพานิช รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเชิงวิชาการระดับภูมิภาค เรื่อง นโยบายการขับเคลื่อนสังคมสูงวัยแบบมีส่วนร่วมด้วยการบูรณาการบนแนวทางระหว่างรุ่นในประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม (The ASEAN+3 Regional Conference on Integration Policy in Fostering an Inclusive Aging Society through an Intergenerational Approach) โดยมี นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวรายงาน ทั้งนี้ รองศาสตราจารย์ ดร. ปัทพร สุคนธมาน รองคณบดีวิทยาลัยประชากรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และผู้แทนจากกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสาม และติมอร์ เลสเต เข้าร่วม ณ โรงแรมเดอะเบอร์เคลีย์ โฮเต็ล ประตูน้ำ กรุงเทพมหานคร


นางจตุพร กล่าวว่า ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โครงสร้างประชากรอาเซียนได้เปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างมีนัยสำคัญ สัดส่วนประชากรสูงอายุในกลุ่มประเทศบวกสามต่างเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากเดิมร้อยละ 8.1 ในปี 2544 เป็น ร้อยละ 15.1 ในปี 2565 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรส่งผลให้ต้องมีการกำหนดนโยบายที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อสร้างความครอบคลุมทางสังคม ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยสูงอายุ โดยการสูงวัยไม่ควรถูกมองว่าเป็นเพียงความท้าทายที่เผชิญโดยภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่ง ในขณะที่ขนาดครอบครัวเล็กลง และโครงสร้างทางประชากรซับซ้อนมากขึ้น การมีความตระหนักและเตรียมการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงด้วยระบบสนับสนุนที่ครอบคลุมนั้น เป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างสังคมที่พร้อมรับการปรับตัวต่อความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้



นางจตุพร กล่าวต่อไปว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียน พ.ศ. 2568 ได้มีการกล่าวถึงประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน จะเป็นสังคมที่มีส่วนร่วมและยังประโยชน์ให้แก่ประชาชน มุ่งสร้างสังคมที่ครอบคลุมที่สนับสนุนการเข้าถึงโอกาสสำหรับคนทุกคนอย่างมีคุณภาพ เท่าเทียมและเป็นธรรม ตลอดจนปกป้องสิทธิมนุษยชนของสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง นอกจากนี้ ในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนบวกสามด้านสวัสดิการสังคมและการพัฒนา ครั้งที่ 19 ได้ระบุถึงขอบเขตความร่วม
มือที่ครอบคลุมการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านความคุ้มครองทางสังคมและการเสริมพลังผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทย โดยกระทรวง พม. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและองค์การระหว่างประเทศ ได้ร่วมกันคิดและขับเคลื่อนนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร มุ่งเน้นการเสริมพลังให้คนทุกรุ่นและสร้างความเข้มแข็งของสัมพันธภาพภายในครอบครัวที่เป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ ดังนั้น การประชุมครั้งนี้ จะได้เห็นการร่วมแบ่งปันประสบการณ์ ความท้าทาย โอกาสต่าง ๆ ของสังคมสูงวัยทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค






เพื่อส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของผู้สูงอายุและคนทุกรุ่นท่ามกลางวิกฤตประชากร และเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า โดยให้ประชาคมอาเซียนเป็นประชาคมแห่ง “หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม” (One Vision, One Identity, One Community)

10 มิถุนายน 2568

รฟฟท. เพิ่มมาตรการเชิงรุก จับผู้ต้องสงสัยลักลอบตัดสายไฟรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง

บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด เพิ่มมาตรการเชิงรุก ประสานตำรวจท้องที่ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้า จนสามารถจับผู้ต้องสงสัยลักลอบตัดสายไฟรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ได้พร้อมของกลางบริเวณลานจอดรถจักรยานยนต์สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับแจ้งจากชุดสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลเตาปูน ซึ่งนำโดย พันตำรวจเอก เด่นโดม  ลาภานันต์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน พร้อมกำลังชุดปฎิบัติงานป้องกันปราบปราม สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ จำนวน 1 คน บริเวณลานจอดรถจักรยานยนต์สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ซึ่งจากการตรวจค้นพบของกลางจำนวน 21 รายการ ประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้


1.สายไฟกราวสีเขียว จำนวน 1 ม้วน    

2.สายไฟทองแดงสี่คอร์ จำนวน 1 ม้วน

3.สายไฟสีดำอลูมิเนียม จำนวน 10 ม้วน 

4.สายไฟกราวทองแดงที่ปอกแล้ว จำนวน 45 ม้วน น้ำหนักรวมประมาณ 74.5 กิโลกรัม 

5.สายไฟกราวทองแดงยังไม่ปอก ยาว 1 เมตร จำนวน 1 เส้น 

6.คีมตัดเหล็กขนาด24นิ้ว จำนวน 1 อัน

7.คีมขนาดเล็ก จำนวน 2 อัน

8.ประแจ จำนวน 2 อัน

9.ประแจบล็อกตัวที จำนวน 2 อัน

10.มีดปอกสาย จำนวน 6 เล่ม

11.รถล้อเลื่อนสามล้อ จำนวน 1 คัน

12.เชือกโรยตัว จำนวน 2 เส้น

13.กระเป๋าสะพายหลังสีแดง จำนวน 1 ใบ

14.กระเป๋าสะพายหลังสีดำ จำนวน 1 ใบ

15.กระเป๋าถือสีน้ำตาล-ดำ จำนวน 1 ใบ

16.กระเป๋าถือแบบล้อลากสีดำ จำนวน 1 ใบ

17.รถเข็นเหล็ก2ล้อสีฟ้า จำนวน 1 คัน

18.ตะกร้าสีเขียว จำนวน 1 ใบ

19.วิทยุอนาล็อกสีดำ จำนวน 1 เครื่อง

20.โทรศัพท์มือถือ สีฟ้า จำนวน 1 เครื่อง

21.รถยนต์ ยี่ห้อ ford สีดำ จำนวน 1 คัน

โดยจากการสอบปากคำผู้ต้องหา ได้ให้การรับสารภาพ และให้การเพิ่มเติมว่ามีผู้เข้าร่วมกระทำการดังกล่าวอีก ทั้งนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้กระทำความผิดในข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตั้งแต่สองคนขึ้นไปภายในสถานีรถไฟ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป และมีหรือใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ยินดีจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเร่งจับกุมกลุ่มผู้ร่วมกระทำการลักลอบตัดสายไฟในพื้นที่รถไฟฟ้าอย่างเต็มความสามารถ 


ทั้งนี้บริษัทฯยังคงมีมาตรการในด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยเพิ่มมาตรการเชิงรุก บูรณาการความร่วมมือระหว่างฝ่ายรักษาความปลอดภัย กับเจ้าหน้าที่ตำรวจในทุกพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ออกตรวจตราตามเส้นทางการให้บริการทุกวัน เพื่อป้องกันการลักลอบตัดสายไฟในระบบของรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง และยังคงยึดมั่นในด้านความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นสำคัญ

ปลัด พม. รับรางวัล กินรีทองมหาชน ครั้งที่ 10

สาขาผู้ส่งเสริมและสร้างโอกาสแก่สังคมตัวอย่าง พร้อมรับมอบไม้เท้าขาว
จำนวน 100 อัน ก่อนส่งต่อให้คนพิการ

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) รับรางวัล "กินรีทอง" มหาชน ครั้งที่ 10 สาขาผู้ส่งเสริมและสร้างโอกาสแก่สังคมตัวอย่าง จากองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย พร้อมรับมอบไม้เท้าขาว จำนวน 100 อัน นำโดยนายกฤต สุวรรณวิไลกุล ประธานองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงานรางวัลกินรีทอง มหาชน และคณะ โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วม ณ บริเวณโถง ชั้น 1 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


นายอนุกูล กล่าวว่า ในนามของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ตนขอขอบคุณองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย นำโดยนายกฤต สุวรรณวิไลกุล ประธานองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงานรางวัลกินรีทอง มหาชน ที่มอบรางวัลกินรีทอง มหาชน ครั้งที่ 10 สาขา ผู้ส่งเสริมและสร้างโอกาสแก่สังคมตัวอย่าง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่ากระทรวง พม. กำลังขับเคลื่อนงานเพื่อสังคมมาในทิศทางที่องค์กรภาคสังคมได้เห็นความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน โดยหน่วยงานที่ทำงานด้านสังคมมีอยู่จำนวนมาก ซึ่งกระทรวง พม. ไม่สามารถทำงานเพียงหน่วยงานเดียวได้ ต้องทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ อย่างไรก็ตาม รางวัลกินรีทอง มหาชน ที่ได้รับในครั้งนี้ เป็นรางวัลและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนทั้งในภาคสนามและผู้บริหารกระทรวง พม. ทุกคน





นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณองค์กรส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ที่มอบไม้เท้าขาว จำนวน 100 อัน ให้แก่กระทรวง พม. ซึ่งจะส่งต่อไม้เท้าขาวดังกล่าวให้กับคนพิการทางการเห็น และผู้สูงอายุ กลุ่มเปราะบาง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวง พม. เพื่อให้ได้ใช้ในชีวิตประจำวันและเกิดประโยชน์สูงสุดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไป

#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #5x5ฝ่าวิกฤติประชากร #พมหนึ่งเดียว #วราวุธศิลปอาชา #ศบปภ #พันธกิจสำคัญ9ด้าน #กินรีทองมหาชน #ไม้เท้าขาว #คนพิการทางการเห็น

“ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์” จับมือ ม.กรุงเทพธนบุรี

มอบทุนวิจัย 2 แสนบาท พัฒนาองค์ความรู้ด้านประกันภัยยุคดิจิทัล มุ่งสู่ระบบ InsurTech อย่างยั่งยืน

บริษัท ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสร้างองค์ความรู้ในแวดวงประกันภัยยุคใหม่ ล่าสุดประกาศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มอบทุนสนับสนุนงานวิจัยมูลค่า 200,000 บาท ภายใต้หัวข้อ “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อ ความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และการเลือกใช้บริการของบริษัทนายหน้าประกันภัยเอกชนในยุคดิจิทัล” โดยมีระยะเวลาวิจัยประมาณ 1 ปี คาดว่างานวิจัยจะสามารถนำไปต่อยอดเชิงธุรกิจและเป็นฐานข้อมูลสำคัญในวงการประกันภัย


ดร.ปานวัฒน์ กูรมาภิรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไรเดอร์ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารงานนายหน้าประกันภัยให้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะกระแส “อินชัวร์เทค (InsurTech)” ที่เข้ามามีบทบาทในการซื้อขายประกันภัยผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งแม้จะช่วยเพิ่มความสะดวกและลดต้นทุน แต่บริษัทเชื่อว่า “เจ้าหน้าที่” ยังคงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความเข้าใจและดูแลบริการหลังการขายให้กับลูกค้า

“อินชัวร์เทค ไม่ควรเป็นเพียงระบบที่ลดคนทำงาน แต่ต้องเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ครบวงจร รวดเร็ว และมีคุณภาพ” ดร.ปานวัฒน์กล่าว

ดร.ปานวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวิจัยนี้จะสะท้อนมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อการซื้อประกันผ่านนายหน้าทั้งในด้านความพึงพอใจ ความเชื่อมั่น และความคาดหวังต่อบริการในยุคดิจิทัล ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถออกแบบบริการและพัฒนาระบบ InsurTech ของตนเองได้อย่างตรงจุด ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการวางระบบและพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและนำมาใช้จริงในปี 2569

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศ ISO/IEC 27001 และดำเนินการตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการดำเนินงาน InsurTech ที่โปร่งใสและปลอดภัย พร้อมกันนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายในปี 2572 ในการจัดทำแผน IPO (Initial Public Offering) เพื่อระดมทุนพัฒนาระบบ InsurTech อย่างสมบูรณ์

ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ ปรักทยานนท์ ผู้อำนวยการหลักสูตรบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิต มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าวว่า งานวิจัยครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการระหว่างภาคธุรกิจและสถาบันการศึกษาอย่างแท้จริง โดยจะศึกษาความไว้วางใจ ความพึงพอใจ และพฤติกรรมผู้บริโภคในการเลือกใช้บริการนายหน้าประกันภัย ซึ่งสามารถนำผลลัพธ์ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารธุรกิจจริงได้ ทั้งยังถือเป็นแนวทางในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระบบนายหน้าประกันภัย และสามารถใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางวิชาการในอนาคต

“นี่ไม่ใช่แค่งานวิจัยทางวิชาการ แต่เป็นการพัฒนาฐานข้อมูลที่สามารถใช้ได้ทั้งในแวดวงธุรกิจประกันภัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป” ผศ.ดร.สุชาติ กล่าว

#ไรเดอร์ โบรกเกอร์ 

#ขายความจริง อิงความซื่อสัตย์

#โบรกเกอร์สีขาว

#ไรเดอร์อินชัว

SACIT พร้อมดันหัตถศิลป์ไทยสู่เวทีโลกในงาน Crafts Bangkok 2025

SACIT หรือ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) พร้อมจัดงาน “Crafts Bangkok 2025” 18-22 มิ.ย. นี้ นำทัพผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย ที่เปี่ยมด้วยทักษะและภูมิปัญญาเชิงช่าง สะท้อนทักษะและภูมิปัญญาอันล้ำลึก จับมือร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน    ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย เปิดเผยว่า บทบาทสำคัญของ SACIT คือ การขับเคลื่อนและส่งเสริมงานศิลปหัตถกรรมไทยให้สามารถดำรงอยู่ท่ามกลางบริบทโลกสมัยใหม่ โดยทำหน้าที่อนุรักษ์ภูมิปัญญางานหัตถกรรมท้องถิ่น ผสานความคิดสร้างสรรค์ให้ร่วมสมัยและขยายโอกาสทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นการเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคทุกเจเนอเรชัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไปพร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะประเทศไทยมีช่างฝีมือหัตถศิลป์ที่เต็มไปด้วยความสามารถ นักออกแบบ นักเรียนนักศึกษา กลุ่มเปราะบางที่มีพรสวรรค์ แต่ยังไม่มีโอกาสแสดงทักษะ และความสามารถในการสร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก 


ในวันนี้ SACIT จึงเป็นองค์กรด้านงานศิลปหัตถกรรมไทยชั้นนำระดับประเทศ ที่พร้อมเป็นที่พึ่งพิง เสริมสร้างช่างศิลปหัตถกรรม ด้วยเสน่ห์แห่งมรดกภูมิปัญญาไทย สู่สากลอย่างภาคภูมิ หรือ Nurturing Thai crafts to global trends โดยการให้ความเชื่อมั่น ดึงศักยภาพของช่างฝีมือที่ซ่อนอยู่ ชี้ทิศทางและโอกาสให้กับงานศิลปหัตถกรรมไทย ในทุกด้าน ทั้งในด้านการอนุรักษ์ การพัฒนา และเพิ่มช่องทางการตลาด เพื่อจับมือเดินเคียงข้างจากชุมชนสู่เมือง    จากฝีมือสู่แบรนด์ จากท้องถิ่นสู่สากลไปพร้อมๆ กับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เสมือนนักปั้นดาวแห่งหัตถศิลป์ไทย ที่ให้ความเชื่อมั่นและคอยสนับสนุนผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยอยู่ข้างหลังเสมอมา




Crafts Bangkok 2025 ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Weaving Past to the Future” เป็นการเปิดประสบการณ์สัมผัสเสน่ห์ของงานฝีมือที่เชื่อมต่อคนหลายเจเนอเรชัน ร้อยเรียงแก่นแท้ของงานฝีมือดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรมอันก้าวไกล Crafts Bangkok 2025 จึงเป็นหมุดหมายที่รวมตัวของเหล่าดาวผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ที่พร้อมนำพางานศิลปหัตถกรรมไทยเข้าไปสู่โลกแห่งความร่วมสมัย สร้างความเชื่อมั่นให้กับวงการศิลปหัตถกรรมไทย มีศักยภาพในรอบด้าน ทั้งในการออกแบบ การผลิต และมีความมั่นใจในการรองรับความความต้องการของตลาดออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเป็นการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันกระแสการตอบรับงานศิลปหัตถกรรมไทยมีทิศทางที่ดี โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ และชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ ผสานนวัตกรรม และสะท้อนเรื่องราวทางวัฒนธรรม รวมถึงงานหัตถกรรมที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Conscious Craft) และสินค้าที่ปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ร่วมสมัย (Trendy Craft) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม

สำหรับไฮไลต์และกิจกรรมภายในงาน Crafts Bangkok 2025 ผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสประสบการณ์ อันน่าประทับใจกับเสน่ห์แห่งหัตถศิลป์ไทยที่หลากหลาย จากผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทย มากกว่า 300 คูหา โดยแบ่งออกเป็นโซนกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

1. Silpacheep: ส่วนจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 

2. SACIT Craft Space: ส่วนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของผู้สร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยร่วมสมัย มากกว่า 300 คูหา ผู้เข้าชมงานจะได้เลือกซื้องานศิลปหัตถกรรมที่มีคุณภาพจากผู้ผลิตทั่วประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน ดังนี้

• Meet the masters: งานฝีมือชั้นครู สะท้อนให้เห็นถึงทักษะฝีมือ แห่งมรดกภูมิปัญญา ตั้งแต่ต้นกำเนิดจนถึงการประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน

• Be conscious: งานฝีมือที่สะท้อนความยั่งยืนผสานความคิดสร้างสรรรค์ คลื่นลูกใหม่ของงานฝีมือ สะท้อนศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของความคิดสร้างสรรค์

• Trendy look: งานฝีมือแห่งอนาคต สะท้อนเสน่ห์ของงานฝีมือที่เชื่อมต่อคนหลาย Generation ร้อยเรียงแก่นแท้ของงานฝีมือดั้งเดิมเข้ากับนวัตกรรม

3.  SACIT Studio: พื้นที่แห่งการสร้างแรงบันดาลใจแบ่งเป็น 3 ส่วน 

• จัดแสดงผลงานการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมไทยของ SACIT อาทิ SACIT Concept 2025 SACIT Collection ในรูปแบบ Art toy 

• ชื่นชมงานศิลปหัตถกรรมไทยกับช่างฝีมือรุ่นใหม่ New Young Craft 2025 ที่สร้างสรรค์ งานศิลปหัตถกรรมไทยด้วยทักษะและภูมิปัญญาดั้งเดิมมาผสมผสานกับแนวคิดและนวัตกรรม

• ชื่นชมและร่วมพูดคุยกับชาวบ้านในชุมชนที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้และสืบทอดองค์ความรู้ด้านงานศิลปหัตถกรรมไทยจากรุ่นสู่รุ่น 

4. The Craft Connect: ส่วนจัดแสดงเมืองสร้างสรรค์ (Creative City) ของ UNESCO ทั้ง 7 ประเภทเมืองสร้างสรรค์ของไทย ที่มีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย และมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของเมือง

5. Weaving Past to the Future: พื้นที่่รวบรวมผลิตภัณฑ์ และเรื่องราวของช่างฝีมือไทยที่ฝึกฝน พัฒนาผลิตภัณฑ์งานศิลปหัตถกรรม สู่ชิ้นงานคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษภายในงานเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการงานศิลปหัตถกรรมไทย อีกมากมาย อาทิ กิจกรรมเสวนาจากกลุ่ม New Young Craft เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวคิดการสร้างสรรค์งานศิลปหัตถกรรมไทยในมุมมองใหม่, กิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงาน, กิจกรรมลุ้นรับของรางวัลทั้งในรูปแบบ On Ground และ Online, กิจกรรมจำหน่ายสินค้าผ่าน Social Media รวมถึงกิจกรรมร่วมสนุกและความบันเทิงจากศิลปิน และกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ ตลอดการจัดงาน

ผู้อำนวยการ SACIT คาดหวังว่างาน “Crafts Bangkok 2025” จะเป็นเวทีสำคัญที่รวมดาวเด่นแห่งวงการหัตถศิลป์ไว้ในที่เดียว ถ่ายทอดแรงบันดาลใจ ผ่านผลงานที่ทันสมัย มีนวัตกรรม และยังคงกลิ่นอายแห่งภูมิปัญญาไทย และเชื่อมโยงจากชุมชนสู่เมือง จากฝีมือสู่แบรนด์ และจากท้องถิ่นสู่สากล โดยคาดการณ์ตลอด 5 วันของการจัดงานมีผู้สนใจเข้าชมงานมากกว่า 20,000 ราย เกิดเงินสะพัดภายในงานมากกว่า 80 ล้านบาท สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพิ่มพูนรายได้ให้กับชาวบ้าน ชุมชน และผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน

ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันสนับสนุนงานศิลปหัตถกรรมฝีมือคนไทย ที่มีทั้งความสวยงาม ประณีต และ
เต็มเปี่ยมไปด้วยทักษะและภูมิปัญญาที่งาน Crafts Bangkok 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 18 – 22 มิถุนายน 2568 ระหว่างเวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์