28 เมษายน 2568

ม.ราชภัฏเพชรบุรีร่วมกับ บพข. จัดกิจกรรมทดสอบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

“วัฒนธรรมละมุน ธรรมชาติละไม เที่ยวสุขใจที่พริบพรี”

เมื่อวันที่ 25-26 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี โดยอาจารย์ ดร.มธุรส ปราบไพรี อาจารย์ ดร.มลทิชาโอซาวะ และ อาจารย์ ดร.อัจฉราวรรณ เพ็ญวันศุกร์ จัดกิจกรรมทดสอบเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดเพชรบุรี “วัฒนธรรมละมุน ธรรมชาติละไม เที่ยวสุขใจที่พริบพรี” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่อง การพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อยกระดับเมืองสร้างสรรค์ของจังหวัดเพชรบุรี ภายใต้แผนงานวิจัยการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อยกระดับเมืองสร้างสรรค์ของจังหวัดเพชรบุรี ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) โดยครั้งนี้ได้นำภาคีที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรีทั้งภาครัฐและภาคเอกชน และคณะนักท่องเที่ยว เยือนชุมชนบางตะบูน ชุมชนย่านเมืองเก่าริมแม่น้ำเพชรบุรี ชุมชนบ้านถ้ำเสือ จำนวนกว่า 50 ราย โดยมี ผอ. ดวงใจ  คุ้มสอาด ผอ.ททท.สำนักงานเพชรบุรี  ร่วมเดินทาง  


อาจารย์ ดร.มธุรส ปราบไพรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ผู้รับผิดชอบกิจกรรมในครั้งนี้ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการทดสอบกิจกรรมครั้งนี้  เพื่อประเมินเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ได้ออกแบบขึ้นมา ศึกษาความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวและภาคีที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การพัฒนาและส่งเสริมเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เหมาะสมของจังหวัดเพชรบุรี 

หลักการของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ มีทั้งหมด 7 อ. ได้แก่ อ.1 คือ อาหาร รับประทานอาหารของท้องถิ่นที่ผ่านการปรุงและใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น มีคุณค่าทางโภชนาการ ปลอดสารและปลอดภัย เช่น อาหารที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเค็ม ความหวาน เป็นต้น

อ.2 อากาศ อยู่ในพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่อากาศที่สะอาด บริสุทธิ์ มีความเป็นธรรมชาติ สร้างความสดชื่นเพื่อช่วยให้ปอดได้พักและรับออกซิเจน พื้นที่แหล่งท่องเที่ยวไม่แออัดและไม่มีมลพิษสูง เช่น ฝุ่น PM 2.5, ควัน, และสารเคมีโลหะหนัก เป็นต้น 

อ.3 ออกกำลังกาย การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมเพื่อบริหารร่างกายให้เกิดการเคลื่อนไหว ช่วยให้หัวใจทำงานได้ดี เพิ่มการกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียนดี เสริมสร้างกล้ามเนื้อ บำบัดความเครียด ลดอาการเจ็บปวดบางอย่าง และช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น 

อ.4 อารมณ์ มีอารมณ์รื่นเริง ยินดี มีความสุข ผ่อนคลาย สนุกสนาน มีจิตแจ่มใส และเพลิดเพลิน จากการทำกิจกรรมหรือการได้รับประสบการณ์ในการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน

อ.5 อดิเรก ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เพิ่มพูนคุณค่า มีคุณค่าทั้งร่างกายและจิตใจ สร้างความสุข และสนุกสนาน

อ.6 อนามัย แหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการที่มีความสะอาดและมีมาตรฐานด้านความปลอดภัย 

อ.7 อนุรักษ์ ใส่ใจและตระหนักการสร้างพฤติกรรมที่ยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม เช่น การลดการใช้พลาสติก การจัดการขยะ การรักษาธรรมชาติ การสนับสนุนวัฒนธรรมพื้นบ้าน และการกระตุ้นจิตสำนึกในการดูแลโลกและตัวเอง”



อาจารย์ ดร.มธุรส ปราบไพรี กล่าวต่อว่า ทางคณะผู้จัดการทดสอบได้กำหนดลงพื้นที่ชุมชนเพื่อทำกิจกรรมไว้ 3 ชุมชน คือบางตะบูน อำเภอบางตะบูน จังหวัดเพชรบุรี ชุมชนย่านเมืองเก่าริมน้ำเพชรบุรี อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ชุมชนบ้านถ้ำเสือ อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี โดยถือเป็นชุมชนที่มีความเข้มแข็งด้านศักยภาพในการจัดการท่องเที่ยวและมีวัฒนธรรมที่โดดเด่น ในทั้ง 7 อ. ดังที่กล่าวมาแล้ว 

อย่างชุมชนบางตะบูน  ก็จัดให้มีการล่องเรือเพื่อชื่นชมและเพลิดเพลินไปกับวิถีชุมชนชาวประมง ทางนักท่องเที่ยวนอกจากจะได้ล่องเรือสัมผัสกับบรรยากาศของผืนน้ำและชุมชนสองฝั่งแม่น้ำ ยังมีการจัดให้ชมการเลี้ยง หอยนางรม หอยแครง หอยแมลงภู่ บริเวณปากอ่าวบางตะบูน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งเลี้ยงหอยอันดับต้นๆของประเทศ ซึ่งบริเวณท่าน้ำวัดปากอ่าวบางตะบูนมีเรือสำหรับนำนักท่องเที่ยวโดยไต๋เรือชาวชุมชนคอยให้การต้อนรับ 

ผู้จัดกิจกรรมกล่าวต่อว่า “นอกจากนี้ก่อนที่จะล่องเรือ ทางคณะผู้จัดฯ ได้นำสู่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เทศบาลตำบลบางตะบูน เพื่อทำเวิร์คช็อป การทำผ้ามัดย้อม การนำวัสดุเหลือใช้เช่นแห อวนมาถักทอเป็นกระเป๋าใส่ของใช้ การทำขนมโบราณ การใช้ปลิงบำบัดนำเสนอการรักษาสุขภาพโดยปลิง 

ร้านยุ้งเกลือ ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ที่บ้านแหลม ที่ที่ไม่ใช่เพียงแค่ร้านอาหารที่มีวิวสวยแต่อาหารอร่อย แต่ถือเป็นร้านที่มีตำนานของชุมชนนาเกลือที่ทำนาเกลือมากว่าแปดสิบปี และบอกเล่าเรื่องราวผ่านพิพิธภัณฑ์ของทางร้านโดยคนรุ่นที่สี่ 

การเยือนชุมชนย่านเมืองเก่าริมน้ำเพชรบุรี อำเภอเมือง เริ่มต้นกิจกรรมจากที่พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดพลับพลาชัย ด้วยการเวิร์คช็อปเรียนรู้การตอกกระดาษ ก่อนจะพาคณะเดินชมชุมชนเก่าริมน้ำ เดินชมสตรีทอาร์ทและวิถีชุมชน นมัสการหลวงพ่อวัดมหาธาตุ ก่อนจะกลับมาทานอาหารในแบบขันโตกโดยนำเสนออาหารเชิงสุขภาพ พร้อมกับรับชมหนังใหญ่และการฝึกเชิดหนังใหญ่ การแสดงละครชาตรีละครพื้นบ้านที่ส่งต่อทางวัฒนธรรมจากเด็กๆ และชาวชุมชน โดยพี่น้อย - คุณรมยกรณ์ เอราวัณ 


ในวันถัดมา เป็นการทำกิจกรรมที่ชุมชนถ้ำเสือที่ขึ้นชื่อด้านชุมชนท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ จัดให้ร่วมกิจกรรมสาธิตทำทองม้วนเงินล้าน ทองม้วนน้ำตาลโตนด โดย คุณยายวรรณา อินมี ผู้คิดสูตร  เรียนรู้กิจกรรมเสือ
ปั้นไข่ สอนการทำไข่เค็มหมักดอกอัญชัญ การร่วมอนุรักษ์ป่าด้วยการนำเมล็ดพันธ์พืชไม้ยืนต้นไปปั้นดินยิงหนังสติ๊กเพื่อปลูกป่าโดย พี่น้อย - คุณสุเทพ พิมพ์ศิริ เป็นกิจกรรมสุดท้าย”



ทั้งนี้ หลังจากการทดสอบเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ทางคณะผู้จัดกิจกรรมในครั้งนี้จะนำข้อเสนอแนะ ความคิดเห็นต่างๆ จากผู้ร่วมกิจกรรมเพื่อนำไปปรับปรุงและนำเสนอแก่หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่อไป

26 เมษายน 2568

อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล เปิดข้อเสนอการเข้าพักสุดพิเศษ

อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล ชวนทุกท่านสัมผัสมนต์เสน่ห์ของจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมรับข้อเสนอการเข้าพักสุดพิเศษที่จะเติมเต็มการพักผ่อนให้สมบูรณ์แบบ กับ แพ็คเกจ ‘Charming Chiang Mai’ ห้องพักรวมอาหารเช้า พร้อมเครดิตโรงแรมมูลค่า 1,000 บาท เพื่อใช้ที่ห้องอาหารใดก็ได้ของโรงแรม หรือที่ เดอะ ไอ สปา นอกจากนี้ ผู้เข้าพักยังจะได้อิ่มอร่อยกับบุฟเฟต์อาหารเช้าสไตล์ล้านนา ณ ห้องอาหาร เดอะ กาด ลานนา 

ท่านที่สนใจ สามารถสำรองแพ็คเกจ ‘Charming Chiang Mai’ ได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 30 มิถุนายน 2568 โดยไม่ต้องชำระเงินมัดจำ และสามารถยกเลิกการจองได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายภายในเวลา 18:00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของโรงแรม) ก่อนวันเช็คอิน 1 วัน


อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล มอบประสบการณ์การเข้าพักที่เชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่เข้าไว้ด้วยกัน นักเดินทางสามารถเลือกเข้าพักในห้องพักสุดหรูจำนวน 240 ห้อง โดยมีทั้งห้องที่หันรับทิวทัศน์ของดอยสุเทพอันงดงาม และห้องที่มองเห็นทัศนียภาพของเมืองเก่า เพียงไม่กี่ก้าวจากโรงแรม ท่านจะได้พบกับสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็นถนนคนเดินเชียงใหม่ ตลาดนัดไนท์บาซาร์ หรือประตูท่าแพที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ภายในห้องพักออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากศิลปะล้านนา พร้อมตกแต่งด้วยผนังไม้เคลือบแลคเกอร์ และประติมากรรมไม้ที่แกะสลักโดยช่างฝีมือท้องถิ่น เพื่อสืบสานงานหัตถกรรมดั้งเดิมของเมืองเชียงใหม่ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก
กรุณาติดต่อ LINE Official Account: @interconchiangmai
โทร: +66 (0)52 090 998 หรืออีเมล: reservations.icchiangmai@ihg.com

ซีพีแรม ดีเดย์ เปิดเวที “FINNOVA 2025 : ยกระดับความรู้สู่นวัตกรรมอาหาร”

เพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมอาหาร ปักหมุดไทยศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารโลก พร้อมมุ่งสู่ความมั่นคงและยั่งยืนทางอาหาร

กรุงเทพ 25 เมษายน 2568 - บริษัท ซีพีแรม จำกัด (CPRAM) ผนึกกำลังกับ คณะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการจัดการอาหาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ จัดงาน “FINNOVA 2025 : ยกระดับความรู้สู่นวัตกรรมอาหาร” เพื่อสร้างแพลตฟอร์มใหม่ในการจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และผลักดันนวัตกรรมอาหารไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีโลก โดยการจัดงานครั้งนี้ เปิดโอกาสให้บุคลากรซีพีแรมได้ร่วมแสดงศักยภาพผ่านการประกวดผลงานนวัตกรรมอาหารที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงพาณิชย์และความยั่งยืนในทุกมิติ ณ ศาลากมลปัญญา บริษัท ซีพีแรม จำกัด สำนักงานใหญ่ จังหวัดปทุมธานี


นายวิเศษ วิศิษฏ์วิญญู กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพีแรม จำกัด กล่าวว่า “FINNOVA มาจากสองคำ Food + Innovation เป็นเวทีที่เปิดกว้างสำหรับพนักงานซีพีแรมทุกคน เพื่อยกระดับความรู้และแบ่งปันผลงานนวัตกรรมอาหารของซีพีแรม โดยทุกโครงการได้มีการยกระดับความเป็นนวัตกรรมโดยใช้ความคิดสร้างสรรค์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย (Creativity and Technology) เข้ามาช่วยในการสร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมที่มีผลลัพธ์ในเชิงธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ผลงานนวัตกรรมของซีพีแรมนั้น มีความหลากหลาย อาทิ Product Innovation, Service Innovation, Process Innovation, Sustainability Innovation หรือ ESG และอื่นๆ เพื่อให้ได้มาซึ่ง Innovation เหล่านี้ เราจำเป็นจะต้องมีความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งในและต่างประเทศอย่างไร้พรมแดน ด้วยการแบ่งปันความรู้ และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาร่วมกัน นำไปสู่ความมั่นคงและยั่งยืนทางอาหาร”

“Finnova 2025 : ยกระดับความรู้สู่นวัตกรรมอาหาร” แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก โดยช่วงแรกชูไฮไลต์กิจกรรม งานเสวนาพิเศษในหัวข้อ “Food Innovation for Sustainability - นวัตกรรมอาหารสู่ความยั่งยืน” โดยได้รับเกียรติจาก 3 ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), ดร.ธันยพร กริชติทายาวุธ ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และผศ.ดร.ณรงค์เดช กีรติพรานนท์ ประธานหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีดิจิทัล ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมแบ่งปันองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบัน และแนวโน้มการพัฒนานวัตกรรมอาหารในอนาคตให้แก่ผู้เข้าร่วมงาน

ช่วงที่สองเป็นการประกวดผลงานนวัตกรรมอาหาร  (Food Innovation) โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1. ประเภท Product & Service Innovation เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างคุณค่าที่แตกต่างให้แก่ลูกค้า

2. ประเภท Process Innovation เฟ้นหากระบวนการผลิตรูปแบบใหม่หรือกระบวนการที่ได้รับการปรับปรุงอย่างมีนัยสำคัญ ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพและผลผลิตให้ดีขึ้น

3. ประเภท Sustainability Innovation / ESG แสดงถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีหรือวิธีการใหม่ในกิจกรรมด้าน ESG ตลอดจนการสร้างผลกระทบเชิงบวก ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล ความปลอดภัย และสุขภาวะอนามัยของผู้คน

การจัดงาน “Finnova 2025 : ยกระดับความรู้สู่นวัตกรรมอาหาร” มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการเรียนรู้และแบ่งปันองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ภายในองค์กรและแก่บุคคลภายนอก สอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่มุ่งสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ประเทศชาติ ประชาชน และองค์กร รวมถึงเป็นการส่งเสริม และพัฒนานวัตกรรมอาหารผ่านการประกวดผลงานนวัตกรรมที่มีผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือระหว่างองค์กรและผู้เชี่ยวชาญในการสร้างนวัตกรรมอาหารเพื่อความยั่งยืน การดำเนินงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารและพนักงานซีพีแรม คู่ค้าและผู้ที่สนใจ รวมทั้งคณาจารย์ บุคลากรและนักศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและการจัดการอาหาร หรือ SMAFT สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์


พม. จับมือเครือข่ายภาคเอกชน หนุนจ้างงานผู้สูงอายุ

พร้อมเปิดระบบจับคู่งานกับผู้ประกอบการ ช่วยแก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน  

วันที่ 25 เมษายน 2568 นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ  พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ "รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานและการมีรายได้สำหรับผู้สูงอายุ ประจำปี 2568" จำนวน 70 รางวัล และเปิดตัวระบบจับคู่งานผู้สูงอายุ "Young happy plus : Happy Job" อีกทั้ง มีการประกาศเจตนารมณ์ในการจ้างงานผู้สูงอายุ และลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง ระหว่าง กรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กับบริษัท ลอนดรี้บาร์ไทย จำกัด โดยมี นายธนสุนทร สว่างสาลี อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวรายงาน พร้อมด้วย ผู้บริหารกระทรวง พม. และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) เขตบางนา กรุงเทพฯ


นายธเนศพล กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติโครงสร้างประชากร ที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ในขณะที่อัตราการเกิดของเด็ก และวัยแรงงานลดลง ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุร้อยละ 20.69 ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้มีสัดส่วนการพึ่งพิงในวัยสูงอายุเพิ่มขึ้น นับเป็นประเด็นปัญหาท้าทายที่ประเทศไทยจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการรองรับและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อดึงศักยภาพของผู้สูงอายุเป็นกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง 

นายธเนศพล กล่าวว่า งาน Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ ในวันนี้ เป็นการรณรงค์ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าของผู้สูงอายุที่ยังคงมีศักยภาพในการทำงานและสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลด้านแรงงานที่มุ่งเน้นการยกย่องและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานทุกกลุ่ม รวมถึงแรงงานผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้และประสบการณ์อันทรงคุณค่า และการขับเคลื่อนนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤตประชากร ของกระทรวง พม. โดย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมรับมือกับข้อท้าทาย "วิกฤตโครงสร้างประชากรและสังคมสูงวัย" โดยเฉพาะการสร้างพลังผู้สูงอายุทุกมิติ เป็น “ผู้เชี่ยวชาญชีวิต ผู้มากประสบการณ์ที่มีค่า ไม่ใช่ผู้รอรับการสงเคราะห์” เพื่อเป็นส่วนสำคัญของทางออกในการแก้ปัญหาวิกฤตประชากรของประเทศไทย ด้วยการใช้ศักยภาพของผู้สูงอายุมาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะการดำเนินมาตรการในการขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้ผู้สูงอายุ, การให้ความรู้ในการบริหารจัดการการเงินเพื่อการประกอบอาชีพ, การส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ, การพัฒนาทักษะที่จำเป็นในการทำงาน, การส่งเสริมความรอบรู้ด้านดิจิทัลเทคโนโลยี และการลดข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของผู้สูงอายุ ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายในการจ้างงานผู้สูงอายุ

สำหรับงาน Senior Job Connect : งานดี ชีวิตดี ไม่มีเกษียณ จัดขึ้นภายในงาน Ageing Thailand 2025 เป็นความร่วมมือระหว่าง กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) , บริษัท เอสเคเอส มาร์เก็ตจำกัด ผู้จัดงาน Ageing Thailand 2025 , บริษัท ยังแฮปปี้ จำกัด , บริษัท ลอนดรี้บาร์ไทย จำกัด ที่รับสมัครผู้สูงอายุทำงานที่ร้านสะดวกซัก ลอนดรี้บาร์ทุกสาขาทั่วประเทศ และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการจ้างงานผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้สูงอายุ อีกทั้งมีการเปิดตัวระบบจับคู่งานผู้สูงอายุ "Young happy plus : Happy Job" ร่วมกับบริษัท ยังแฮปปี้ จำกัด เพื่อดึงผู้สูงอายุกลับเข้าสู่ระบบงานประจำ ด้วยการเพิ่มโอกาสในตลาดแรงงานสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการทำงานพาร์ตไทม์หรือโปรเจกต์สั้นๆ โดยระบบดังกล่าวจะเชื่อมโยงข้อมูลความต้องการทำงานของผู้สูงอายุกับความต้องการจ้างงานของผู้ประกอบการ จากนั้นระบบจะจับคู่ (Matching) ที่เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของทั้งสองฝ่าย โดยผู้สูงอายุสามารถสมัครได้ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 


#ข่าวพม #พม #ศรส #esshelpme #5x5ฝ่าวิกฤติประชากร #พมหนึ่งเดียว
#วราวุธศิลปอาชา #ศบปภ #พันธกิจสำคัญ9ด้าน #ผู้สูงอายุ #การจ้างงานผู้สูงอายุ

ทีเส็บจัดงาน MICE Day 2025 ชู 3 แนวคิดหลักหัวใจสร้างไมซ์ไทย ปักธงปี 2026 “MICE Celebration Year”

ทีเส็บจัดงาน MICE Day 2025 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “Unfolding Journey : Authenticity, Technology, Sustainability” ชูเป็นหัวใจสำคัญสร้างความแตกต่างและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยสู่ความยั่งยืน พร้อมนำเสนอการจัดงานตอบโจทย์สังคมยุคใหม่ทั้งเรื่องคาร์บอนต่ำและความเท่าเทียม ตลอดจนการเสริมสร้างนวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรม และประกาศก้าวสู่ปีแห่งการเฉลิมฉลองไมซ์ไทย MICE Celebration Year ในปี 2569 ต้อนรับนักเดินทางไมซ์ทั่วโลกให้เห็นศักยภาพของไทย


นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เปิดเผยว่า “ทีเส็บในฐานะหน่วยงานขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากลเพื่อให้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมั่นในระบบนิเวศไมซ์ไทยที่มีการร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการปรับตัวรับมือก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ จึงทำให้การจัดงาน MICE Day 2025 กำหนดแนวคิด “Unfolding Journey : Authenticity, Technology, Sustainability” เพื่อนำเสนอให้เห็นและเข้าใจเส้นทางของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยที่ต้องบริหารจัดการปัญหาท้าทายใหม่ ๆ มาโดยตลอด และเพื่อกำหนดทิศทางที่ชัดเจนต่อจากนี้ไป ทีเส็บจึงประกาศ 3 แนวคิดคือ Authenticity, Technology และ Sustainability สำหรับทุกภาคส่วนใช้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้มีจุดขายที่แตกต่าง มีขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน เพราะทั้ง 3 แนวคิดสามารถตอบโจทย์การจัดงานของภาคธุรกิจยุคใหม่ได้ ทั้งในเรื่องการแสวงหาประสบการณ์ตรงกับวิถีท้องถิ่น และสร้างมูลค่าเพิ่มในพื้นที่ที่เข้าไปจัดงาน การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการจัดงานเพื่อให้สร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง และการบรรลุเรื่องความยั่งยืนที่วัดผลได้ทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม”

เพื่อขับเคลื่อนทั้ง 3 แนวคิด การจัดงาน MICE Day 2025 นำเสนอกิจกรรมผลงานที่แสดงความพร้อมของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในการปรับตัวบนเส้นทางใหม่ และนำเสนอสาระที่เป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เริ่มจากพิธีมอบตราสัญลักษณ์มาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทยและสถานที่จัดงานอาเซียน (Thailand MICE Venue Standard and ASEAN MICE Venue Standard)  และมาตรฐานการบริหารการจัดงานอย่างยั่งยืนประเทศไทย (Thailand Sustainable Event Management Standard) และเกณฑ์ประเมิน 2 HYs (Hygiene & Hybrid) ให้แก่สถานประกอบการที่ผ่านการประเมินมาตรฐาน จำนวน 265 แห่ง

จากนั้นจะมีการเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในหัวข้อ “MICE: The Dynamic Growth Engine for Thai Economy” โดย คุณนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ คุณสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย คุณสิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม กรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท RGB72 จำกัด และผู้จัดงาน Creative Talk Conference คุณพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ดำเนินรายการโดย คุณนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ บรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่า ไมซ์เป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่ ที่มีศักยภาพนำมาซึ่งการค้าการลงทุนและสร้างโอกาสให้กับประเทศไทย ถัดไปคือ การเสวนาพิเศษ ในหัวข้อ “Innovating MICE Experience with Local Thai Wisdom” โดย ดร.กรกต อารมย์ดี เจ้าของแบรนด์ KORAKOT เชฟโบ ดวงพร ทรงวิศวะ ผู้ก่อตั้งร้านโบ.ลาน และ ดร.กฤษดา กฤตยากีรณ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Urban Mobility Tech (MuvMi) ดำเนินรายการโดย คุณฮันนี่ ชลพรรษา นารูลา กล่าวถึงกลยุทธ์ที่ช่วยยกระดับการจัดงานไมซ์ให้ทันสมัยผ่านการใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ การยกระดับภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สากล ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน ที่สามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมงานที่สนใจในการหาสิ่งใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจได้ รวมถึงการบรรยายโดยวิทยากรรับเชิญพิเศษ Mental Models for MICE คุณทอย กษิดิศ สตางค์มงคล ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data จาก DataRockie และ SAMSUNG ที่ได้นำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูล ที่เปลี่ยน Data ให้กลายเป็น Information และ Knowledge ที่ช่วยตอบโจทย์ หรือช่วยให้ธุรกิจเติบโตขึ้นได้

งาน MICE Day 2025 ยังมีการสัมมนาห้องย่อย (Breakout Sessions) ได้แก่ Creative Pulse: “Where MICE Power UCCN Networks”, วัดผลการจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืนด้วยเครื่องคำนวณ Carbon Footprint, M&I Decoded: Trends, Talks, and Thailand’s Opportunities และ Next Gen MICE Clinic by TICA

ผู้อำนวยการทีเส็บ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อแสดงให้เห็นการจัดงานของอุตสาหกรรมไมซ์ไทยตอบโจทย์ของภาคธุรกิจและสังคมยุคใหม่ การจัดงาน MICE Day 2025 จึงตั้งเป้าใช้กระบวนการจัดงานที่จะทำให้งานนี้เป็นงานที่เป็นกลางทางคาร์บอนเพื่อตอบสนองเรื่องการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากการจัดงาน ในส่วนของการใช้พื้นที่จัดงาน สามารถรองรับผู้พิการและมีบริการห้องน้ำรองรับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศที่เข้าร่วมงาน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความเท่าเทียม นอกจากนี้ ยังมีการนำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ตลอดการจัดงาน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ร่วมงานอีกด้วย



นอกจากนี้ ทีเส็บจะใช้งาน MICE Day 2025 เป็นเวทีกระตุ้นอุตสาหกรรมไมซ์ไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในงานนี้ ทีเส็บจะประกาศให้ปี 2569 หรือปี 2026 เป็น “MICE Celebration Year” ของประเทศไทย และเตรียมจัดงาน Thailand MICE Week 2026 อย่างยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางไมซ์ระดับสากลอย่างแท้จริง เนื่องจากในปีหน้า ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดงานขนาดใหญ่ระหว่างประเทศหลายรายการที่สามารถใช้สื่อสารประชาสัมพันธ์ประเทศไทยไปยังตลาดต่างประเทศเพื่อดึงดูดนักเดินทางไมซ์ อาทิ งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 งานประชุมระดับโลก The 2026 Annual Meetings of the World Bank Group and the International Monetary Fund (IMF) งาน World Congress on Pain 2026 งาน UFI Asia Pacific Conference 2026 งาน Global Sustainable Tourism Conference 2026 เป็นต้น

สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลเจ้อเจียงจับมือหอการค้าไทย-จีน ประสบความสำเร็จในการจัดงานเจรจาการค้าและการลงทุน

เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา “งานเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างจีน (เจ้อเจียง) – ไทย” ซึ่งจัดโดยสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลเจ้อเจียงร่วมกับหอการค้าไทย-จีน ได้จัดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีผู้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิด ได้แก่ คุณนิรัตน์ อยู่ภักดี ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา คุณเฉิน เจี้ยนจง สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลเจ้อเจียง คุณณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานหอการค้าไทย-จีน คุณโจว กวงเย่า ผู้แทนสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (CCPIT) ประจําประเทศไทย และคุณธีระพล โกวพัฒนกิจ ผู้ช่วยอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 


บุคคลสำคัญที่เข้าร่วมงานยังประกอบด้วย คุณโจว ซี่ฉี เลขานุการเอกฝ่ายเศรษฐกิจและการพาณิชย์ สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย คุณบุญยงค์ ยงเจริญรัตน์ รองประธานหอการค้าไทย-จีนและผู้อำนวยการบริหารสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน คุณนิเวศ พันธ์เจริญวรกุล ประธานคณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา  คุณโสภณ มะโนมะยา รองประธานคนที่สอง คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภาไทย และประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านเศรษฐกิจ การค้า และแรงงาน คุณวิชัย (Wichai Kinchong Choi) รองประธานอาวุโสธนาคารกสิกรไทย  คุณหวง เหวยเหว่ย รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กรรมการผู้จัดการด้านการพัฒนากลยุทธ์และความร่วมมือประเทศจีน เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้แทนจากหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนนักธุรกิจทั้งไทยและจีนรวมกว่า 150 คน







คุณเฉิน เจี้ยนจง กล่าวในสุนทรพจน์ว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนกับไทยมีความใกล้ชิดมากขึ้น โดยจีนยังคงเป็นประเทศคู่ค้าที่ใหญ่ที่สุดของไทย 12 ปีติดต่อกัน ปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าระหว่างเจ้อเจียงกับไทยคิดเป็น 13% ของการค้ารวมระหว่างจีนกับไทย ซึ่งสูงเป็นอันดับสามของมณฑลและเมืองต่าง ๆ ของจีน ปัจจุบันมีบริษัทจากเจ้อเจียงที่ลงทุนในประเทศไทยประมาณหนึ่งหมื่นแห่ง หวังว่าภาคธุรกิจของทั้งเจ้อเจียงและไทยจะสามารถเสริมสร้างความร่วมมือในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาอย่างยั่งยืน และยานยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเจ้อเจียงกับไทย ให้พัฒนาไปสู่ระดับที่สูงยิ่งขึ้น

คุณนิรัตน์ อยู่ภักดี กล่าวในสุนทรพจน์ว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย การจัดงานเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างเจ้อเจียงกับไทยในครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สะท้อนถึงมิตรภาพอันลึกซึ้งภายใต้ความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “จีน-ไทยพี่น้องกัน” มณฑลเจ้อเจียงเป็นหนึ่งในมณฑลที่มีพลังทางเศรษฐกิจมากที่สุดของจีน มีภาคเอกชนที่เข้มแข็ง และอยู่ในแนวหน้าของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี และเป็นหุ้นส่วนสำคัญด้านการค้าการลงทุนของไทย เชื่อว่าการลงทุนของบริษัทจากเจ้อเจียงในไทยจะช่วยเพิ่มพลังใหม่ๆให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะจับมือกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในด้านเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม เพื่อสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองร่วมกัน

คุณโจว กวงเย่า กล่าวในสุนทรพจน์ว่า ปัจจุบัน รัฐบาลไทยกำลังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติอย่างเต็มที่ โดยจะขยายการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาบุคลากร และการยกระดับสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เพื่อผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางของสำนักงานใหญ่ของบริษัทในอาเซียน มองไปข้างหน้า เรามีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมต่ออนาคตของการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันระหว่างจีน–ไทยผ่านความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง การค้าการลงทุน การพัฒนาอย่างยั่งยืน และเศรษฐกิจดิจิทัล และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะร่วมกันสร้าง 50 ปีทองถัดไปของ “มิตรภาพจีน–ไทย” ให้รุ่งเรืองยิ่งขึ้น

คุณธีระพล โกวพัฒนกิจ กล่าวในสุนทรพจน์ว่า ความสัมพันธ์จีน-ไทยมีความแน่นแฟ้น และมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างใกล้ชิด ในปี 2024 มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศอยู่ที่ 115,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยสัดส่วนการค้าระหว่างไทยกับมณฑลเจ้อเจียงคิดเป็น 15% ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพการเกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างสูงในด้านสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต และเศรษฐกิจดิจิทัล ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายกำลังเร่งส่งเสริมการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือระหว่างกัน ประเทศไทยจะยังคงให้การสนับสนุนให้ภาคธุรกิจของไทยขยายตลาดในประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น อาศัยโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันในระดับลึกซึ้งยิ่งขึ้น

คุณณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล กล่าวในสุนทรพจน์ว่า มณฑลเจ้อเจียงมีระบบอุตสาหกรรมที่ครบวงจร และมีโครงสร้างพื้นฐานด้านท่าเรือและโลจิสติกส์ที่ทันสมัย เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจของจีน ขณะที่ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางของอาเซียน และเป็นจุดยุทธศาสตร์ในโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” มีรากฐานทางอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เอื้อต่อการลงทุน จึงเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนจากเจ้อเจียงที่ต้องการขยายธุรกิจมายังไทย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจากเจ้อเจียงในไทยได้มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างทั้งสองฝ่าย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการเจรจาครั้งนี้ ผู้ประกอบการจากทั้งสองประเทศจะสามารถค้นพบศักยภาพความร่วมมือได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และร่วมกันเขียนบทใหม่แห่งความร่วมมือระหว่างไทยกับเจ้อเจียง


ภายในงาน คุณหวัง ฝ่าเว่ย รองประธานสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเมืองไถโจวได้ขึ้นเวทีแนะนำถึงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของมณฑลเจ้อเจียงและเมืองไถโจวอย่างละเอียด นอกจากนี้ บริษัท Zhejiang Hongshengyuan Automotive Supplies Co., Ltd. ยังได้แนะนำแผนการลงทุนของบริษัทในประเทศไทยด้วย

ภายในงาน สภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมณฑลเจ้อเจียงและหอการค้าไทย-จีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร ขณะเดียวกัน บริษัท Zhejiang Hongshengyuan Automotive Supplies Co., Ltd., Wenshang Industrial Park Group Co., Ltd. และ Tiantai Luohua Trading Co., Ltd. ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับพันธมิตรต่างประเทศ โดยมูลค่ารวมของสัญญาทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 910 ล้านหยวน

ในช่วงการเจรจาแบบจับคู่ธุรกิจ (One on One Business Matching)  บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคัก โดยผู้ประกอบการจากเจ้อเจียงและไทยได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกกันอย่างเต็มที่ ซึ่งบางรายได้บรรลุข้อตกลงความร่วมมือเบื้องต้นแล้วก่อนการจัดการประชุมเจรจา คณะผู้แทนจากเจ้อเจียงยังได้เยือนหอการค้าไทย-จีนเพื่อศึกษาทำความเข้าใจถึงประวัติความเป็นมา พัฒนาการ และโครงสร้างการบริหารของหอการค้าไทย-จีน พร้อมหารือเกี่ยวกับแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กรในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น

23 เมษายน 2568

StarCruises เปิดเส้นทางเดินเรือจากกรุงเทพฯ ด้วยเรือ Star Voyager สู่เกาะสมุยและสิงคโปร์

เรือสำราญ Star Voyager เริ่มต้นการเดินทางครั้งแรกจากกรุงเทพมหานคร (ท่าเรือแหลมฉบัง) อย่างเป็นทางการ 

22 เมษายน 2568, กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย – ด้วยประสบการณ์อันยาวนานกว่า 30 ปีในอุตสาหกรรมเรือสำราญทั้งในเอเชียและภูมิภาคอื่น ๆ StarCruises แบรนด์ล่องเรือที่ได้รับการรีแบรนด์ใหม่อย่างเต็มรูปแบบ ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เฉลิมฉลองการออกเดินทางครั้งแรกจากประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ด้วยการเดินทางมาถึงของเรือสำราญ Star Voyager ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ประตูสู่ประเทศไทย โดยการเปิดเส้นทางใหม่นี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของทั้ง StarCruises และประเทศไทยในการตอกย้ำสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการล่องเรือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต




เรือ Star Voyager ได้ปรับปรุงครั้งใหญ่ด้วยงบประมาณกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมแล้วที่จะมอบประสบการณ์ล่องเรือสุดพิเศษให้แก่ทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ โดยมีจุดเริ่มต้นการเดินทางจากประเทศไทย เส้นทางพิเศษ 5 คืน โดยเริ่มออกเดินทางครั้งแรก 22 เมษายน 2568 และมีรอบเพิ่มเติมในวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 โดยเส้นทางเดินเรือจะจอดแวะที่เกาะสมุยและประเทศสิงคโปร์ การเปิดเส้นทางใหม่นี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มยอดการเติบโตของนักท่องเที่ยวและกระตุ้นการท่องเที่ยวเรือสำราญให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และเกาะสมุย ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดเส้นทางเดินเรือใหม่ในครั้งนี้ นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เข้าร่วมพิธีต้อนรับและร่วมแสดงความยินดีในรอบการเดินเรือปฐมฤกษ์ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมกับ คุณไมเคิล โกห์ ประธานบริษัท StarDream Cruises รวมถึงคณะเจ้าหน้าที่จากภาครัฐและหน่วยงานท่องเที่ยวต่าง ๆ

​“เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำเรือสำราญ Star Voyager มาเริ่มต้นออกเดินทางจากประเทศไทยและได้ทำการเปิดตัวและรีแบรนด์ StarCruises ในประเทศไทย” คุณไมเคิล โกห์ ประธานบริษัท StarDream Cruises กล่าว “การเปิดตัวในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการล่องเรือของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมดึงดูดนักท่องเที่ยวหลากหลายกลุ่ม หลากหลายประเทศให้เดินทางมายังเมืองไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เติบโตยิ่งขึ้น” 


ด้านนางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “วันนี้นับเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของเราในการยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเดินเรือของประเทศไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย” คุณฐาปนีย์ ยังได้กล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทยในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทางเรือสำราญ และเน้นย้ำว่า “งานในวันนี้สะท้อนถึงความร่วมมือร่วมใจของทีมงานที่ทุ่มเท พันธมิตร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ที่ร่วมกันทำงานอย่างไม่ย่อท้อ เพื่อผลักดันให้วิสัยทัศน์นี้กลายเป็นความจริง ความทุ่มเทและแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของทุกคนทำให้เราสามารถนำเสนอมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า ทัศนียภาพอันสวยงาม และการต้อนรับอันอบอุ่นของประเทศไทยสู่สายตาชาวโลกได้อย่างภาคภูมิใจ”



2 รอบพิเศษจากกรุงเทพฯ (แหลมฉบัง) วันที่เดินทาง: 22 เมษายน และ 7 พฤษภาคม 2568
นักเดินทางชาวไทยสามารถเริ่มต้นการผจญภัยบนเรือสำราญได้โดยออกเดินทางจากท่าเรือแหลมฉบัง เส้นทางเดินเรือ 5 คืนนี้จะพาท่านไปสัมผัสเสน่ห์ของเกาะสมุย และความมีชีวิตชีวาของสิงคโปร์ ก่อนกลับมายังกรุงเทพฯ มอบประสบการณ์ท่องเที่ยวมีระดับและวันหยุดที่แสนน่าจดจำให้กับท่าน

ไฮไลต์การเดินทาง: เสน่ห์ของเกาะสวรรค์และความทันสมัยของเมืองใหญ่ เกาะสมุย หนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมตลอดกาลทั้งสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ เกาะแห่งนี้จะยิ่งทวีความงดงามและน่าหลงใหลเมื่อเดินทางมาถึงด้วยเรือสำราญ  ขณะที่เรือค่อย ๆ แล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง ผู้โดยสารจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันตระการตาของหาดทรายสีขาวละเอียด ที่เรียงรายไปด้วยต้นมะพร้าวและทะเลสีฟ้าใส เกาะสมุยมีประสบการณ์อันน่าจดจำให้กับนักท่องเที่ยวทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนริมชายหาด การเดินป่าผจญภัยสู่ธรรมชาติ น้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ และอาหารพื้นเมืองรสเลิศ



จุดหมายต่อไปในเส้นทางการเดินทางคือ สิงคโปร์ เมื่อล่องเรือเทียบท่าที่ Singapore Cruise Centre ผู้โดยสารจะได้รับความสะดวกสบายในทุกขั้นตอน โดยสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยัง HarbourFront Centre และ VivoCity ได้อย่างง่ายดาย

โดยทั้งสองที่เป็นทั้งศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร และรวมระบบขนส่งสาธารณะไว้อย่างครบครัน อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า MRT และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ทั่วสิงคโปร์ ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลกได้อย่างสะดวก เช่น Gardens by the Bay, Merlion Park รวมถึงย่านวัฒนธรรมที่น่าสนใจอย่าง ไชน่าทาวน์ ลิตเติ้ลอินเดีย และกัมโปงกลาม (Kampong Glam) สำหรับสายช้อปปิ้งก็สามารถเพลิดเพลินกับแหล่งช้อบปิ้งบริเวณใกล้เคียงอย่าง VivoCity, HarbourFront Centre ไปจนถึงร้านบูติกหรูหราบนถนน Orchard Road










ประสบการณ์บนเรือ Star Voyager ในระหว่างทริปล่องเรือ 5 คืน เส้นทาง “เกาะสมุย – สิงคโปร์” ผู้โดยสารจะได้ใช้เวลา 2 วันเต็มในการล่องเรือกลางมหาสมุทร ท่ามกลางบรรยากาศแสนพิเศษ พร้อมเพลิดเพลินไปกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน กิจกรรมหลากหลาย และอาหารรสเลิศที่คัดสรรอย่างพิถีพิถันบนเรือ Star Voyager โดยประเภทที่พักบนเรือมีให้เลือกหลายรูปแบบ ตั้งแต่ห้องพักแบบ Interior (ห้องไม่มีหน้าต่าง), Oceanview (ห้องวิวทะเล), และ Balcony (ห้องพร้อมระเบียงส่วนตัว) ไปจนถึงห้องสวีทสุดหรูอย่าง Palace Suites ซึ่งมาพร้อมสิทธิ์พิเศษ เช่น การเข้าใช้พื้นที่ส่วนตัวเฉพาะแขกของ Palace, บริการพนักงานดูแลส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง และประสบการณ์เฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้โดยสารอย่างแท้จริง

กิจกรรมและความบันเทิงบนเรือมีให้เลือกอย่างจุใจ อาทิ:

-สวนสนุก Adventure Park, สวนน้ำ Aqua Park และสไลเดอร์

-สวนน้ำสำหรับเด็ก และกำแพงปีนหน้าผาจำลอง

-ลานโบว์ลิ่ง, ซิปไลน์ และกิจกรรมในธีมพิเศษต่าง ๆ

-การแสดง Live Performances สุดตระการตา ณ โรงละคร Zodiac Theatre

ไม่ว่าคุณจะมองหาทริปสำหรับครอบครัว คู่รัก หรือการพักผ่อนแบบมีระดับ Star Voyager พร้อมมอบประสบการณ์ล่องเรือระดับโลก ที่ตอบโจทย์ทุกรูปแบบของนักเดินทาง 

ข้อมูลการจอง สำรองที่นั่งหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อบริษัททัวร์พันธมิตรของเรา
หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.rwcruises.com