26 เมษายน 2567

พม. จับมือ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์, GDH, และ มูลนิธิ 5 For All พาคุณตา คุณยาย ไปดูหนัง

ส่งเสริมคุณค่าความสำคัญระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว


วันนี้ 26 เมษายน 2567 เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดแถลงข่าวความร่วมมือการส่งเสริมคุณค่าความสำคัญระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว ระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด และ มูลนิธิ 5 For All โดยคุณแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ, คุณอรุโณชา ภาณุพันธุ์  กรรมการ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์, คุณปรียาวรรณ ภูวกุล  ผู้อำนวยการฝ่ายจัดจำหน่ายในโรงภาพยนตร์อาวุโส บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด และ คุณอุษา เสมคำ นักแสดงจากภาพยนตร์ “หลานม่า” ร่วมแถลงความร่วมมือนำผู้สูงอายุจากโรงเรียนผู้สูงอายุในเขตกรุงเทพมหานคร จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผู้สูงอายุในศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่ง และเครือข่ายผู้สูงอายุ  ชมภาพยนตร์ “หลานม่า” ฟรี!! รวมจำนวนกว่า 4,200 คน 




 “หลานม่า” ผลงานจาก "จีดีเอช” กำกับการแสดงโดย "พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์" และอำนวยการสร้างโดย "เก้ง จิระ มะลิกุล" และ "วัน วรรณฤดี พงษ์สิทธิศักดิ์" นำแสดงโดย "บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล" "ดู๋ สัญญา คุณากร" ร่วมด้วย "เผือก พงศธร จงวิลาส", "เจีย สฤญรัตน์ โทมัส", "ตู ตะวัน ตันติเวชกุล" และนักแสดงหน้าใหม่วัย 76 ปี "แต๋ว อุษา เสมคำ"  "หลานม่า"  เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวความผูกพันของครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลากหลายเจเนอเรชั่นมาอยู่ร่วมกัน ซึ่งนับวันจะหายไปจากสังคมไทย  ให้คนไทยกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่เคยอบอุ่นอีกครั้ง และจะทำให้คุณอยากกลับไปกอดคนที่บ้านอีกครั้ง โดยเล่าผ่านตัวละครหลานชายวัยรุ่นที่ต้องกลับไปดูแลอาม่าที่ป่วยระยะสุดท้าย โดยหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นทายาทคนเดียวที่ได้รับมรดกหลักล้าน แต่เมื่อหลานกับอาม่าที่อายุห่างกันกว่า 50 ปี ต้องมาอยู่ร่วมกันความผูกพันจึงเกิดขึ้นทำให้หลานชายได้เรียนรู้คำว่า “ครอบครัวมีค่ามากกว่าเงิน”

คุณแรมรุ้ง กล่าวว่า ได้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์ “หลานม่า” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้รู้สึกประทับใจมาก ได้เห็นการถ่ายทอดเรื่องราวความผูกพันของครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกหลากหลายเจเนอเรชั่นมาอยู่ร่วมกัน ทำให้หวนคิดถึงช่วงเวลาของครอบครัว และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา GDH ได้สนับสนุนการนำผู้สูงอายุจากศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบางแค และศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุจังหวัดปทุมธานี มาร่วมชมภาพยนตร์ “หลานม่า” ที่ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ซึ่งทุกท่านที่ได้ร่วมรับชม ต่างก็รู้สึกประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องหลานม่า และจะเห็นได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ยังช่วยกระตุ้น ให้คนไทยกลับมาให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุในครอบครัวมากขึ้น ส่งเสริมความรักความผูกพันของสถาบันครอบครัวและช่วยปรับความเข้าใจของคนต่างวัยให้อยู่ร่วมกันได้ 

คุณแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่านวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รู้สึกชื่นชม GDH ที่สร้างสรรค์ภาพยนต์ที่มีคุณค่าต่อสถาบันครอบครัว เรื่อง “หลานม่า” ขึ้นมา ให้เห็นถึงความสำคัญของผู้สูงอายุ ความรัก ความผูกพัน ความอบอุ่นของสถาบันครอบครัวที่อยู่ร่วมกันของคนต่างวัย กระทรวง พม. จึงมอบโล่รางวัล “ภาพยนตร์ที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้สูงอายุและครอบครัว” ในงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2567 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 เพื่อกระตุ้นให้ประชาชน เห็นความสำคัญของผู้สูงอายุและสถาบันครอบครัว และเพื่อให้ทุกภาคส่วน เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาครอบครัวให้มากขึ้น กระทรวง​ พม. ขอขอบคุณ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์ และ บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ที่ได้ให้การสนับสนุนและความร่วมมือในครั้งนี้ซึ่งนับเป็น การเริ่มต้นที่ภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมกันส่งเสริมการตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของผู้สูงอายุเสริมสร้างความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว และการอยู่ร่วมกันของคนทุกช่วงวัยให้มีความสุขอย่างยั่งยืน


คุณอรุโณชา ภาณุพันธุ์ กรรมการ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. และ GDH ในการจัดกิจกรรมพาผู้สูงอายุดูหนัง ในครั้งนี้ตรงกับวัตถุประสงค์ของ มูลนิธิ เมเจอร์ แคร์ ที่ได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชีวิตของน้อง ๆ คนพิการ และผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาสในสังคม โดยมุ่งเน้นการมอบโอกาสทางการศึกษา ช่วยเปิดโลกทัศน์ในการเรียนรู้ เติมเต็มประสบการณ์นอกห้องเรียน สร้างสรรค์พัฒนาการสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมมอบความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้น้อง ๆ ได้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของสังคม และทำให้ผู้สูงอายุมีความสุข ไม่รู้สึกเหงา โดยมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้กับสังคมภายใต้แนวคิด “Care for Social” ที่ส่งมอบโอกาสและความอบอุ่นสู่ทุกหัวใจ ผ่านหลากหลาย กิจกรรมที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ ปี  หนึ่งในกิจกรรมหลักที่เป็นจุดเริ่มต้นดี ๆ ในการส่งกำลังใจ มอบความสุข สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ นั่นคือ กิจกรรม “เปิดโลกกว้าง สร้างรอยยิ้ม” ที่นำน้อง ๆ คนพิการ และผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาสเข้าชมภาพยนตร์สร้างแรงบันดาลใจต่อยอดในการพัฒนาศักยภาพในโรงภาพยนตร์  ทุกสาขาของเครือเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั่วประเทศ



ครั้งนี้ ได้ร่วมกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. มอบโอกาสให้กับผู้สูงอายุและเครือข่ายของ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่งทั่วประเทศ เข้าชมภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” ฟรี!! รวม 4,200 คน ในโรงภาพยนตร์ของเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมมอบความสุขให้ผู้สูงอายุทุกท่านได้อร่อยกับ ป๊อปคอรน์และเครื่องดื่มในขณะชมภาพยนตร์ด้วย​ ระหว่างวันที่ 26-30 เมษายน 2567 ซึ่งภาพยนตร์ “หลานม่า” เป็นภาพยนตร์แนวครอบครัวดราม่าจากค่าย GDH มีแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่มีทุกครอบครัว  มีเนื้อหาอบอุ่นหัวใจสื่อถึงความผูกพัน ภาพยนตร์บันทึกช่วงเวลามีค่าของสิ่งที่เรียกว่า “ครอบครัว” ที่ทำให้ผู้ชมจะได้หันกลับไปมองครอบครัวที่เราอาจจะเผลอลืมใครไป และทำให้อยากกลับไป บ้านไปกอดเขาอีกครั้ง

ครั้งนี้ได้ร่วมกับ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวง พม. มอบโอกาสให้กับผู้สูงอายุและเครือข่ายของ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่งทั่วประเทศ เข้าชมภาพยนตร์เรื่อง “หลานม่า” ฟรี!! รวม 4,200 คน ในโรงภาพยนตร์ของเครือเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ทั้งใน กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมมอบความสุขให้ผู้สูงอายุทุกท่านได้อร่อยกับ ป๊อปคอรน์และเครื่องดื่มในขณะชมภาพยนตร์ด้วย​ ระหว่างวันที่ 26-30 เมษายน 2567 ซึ่งภาพยนตร์ “หลานม่า” เป็นภาพยนตร์แนวครอบครัวดราม่าจากค่าย GDH มีแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงที่มีทุกครอบครัว  มีเนื้อหาอบอุ่นหัวใจสื่อถึงความผูกพัน ภาพยนตร์บันทึกช่วงเวลามีค่าของสิ่งที่เรียกว่า “ครอบครัว” ที่ทำให้ผู้ชมจะได้หันกลับไปมองครอบครัวที่เราอาจจะเผลอลืมใครไป และทำให้อยากกลับไป บ้านไปกอดเขาอีกครั้ง



#ข่าวพม #esshelpme #วราวุธรับฟังทำจริง #พมพอใจให้ทุกวัยพึงพอใจในพม #พมหนึ่งเดียว
#ศรส #พม #ผู้สูงอายุ #ผู้สูงอายุที่รัก #MajorCare #GDH #มูลนิธิ5ForAll #หลานม่า
#หลานม่าพาคุณตาคุณยายไปดูหนัง

24 เมษายน 2567

“Enchanted Hues – Unlocking the Secret of Primary Colors Theory”

GIT เปิดเวที! เชิญชวนนักออกแบบไทยและต่างชาติส่งผลงานประกวดออกแบบเครื่องประดับระดับโลก ปีที่ 18 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ พร้อมโล่เกียรติยศ


24 เมษายน 2567: GIT จัดการแถลงข่าวโครงการประกวดการออกแบบเครื่องประดับครั้งที่ 18 “Enchanted Hues – Unlocking the Secrets of Primary Colors Theory” เฟ้นหาศักยภาพของนักออกแบบที่มีความคิดสร้างสรรค์โดดเด่นเหนือจินตนาการ พร้อมยกทีมผู้เชี่ยวชาญร่วมตีโจทย์ยกระดับต่อยอดการออกแบบสู่สากล ณ โรงแรม เลอบัว แอท สเตททาวเวอร์ กรุงเทพฯ 


นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ หรือ GIT กล่าวว่า  อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ถือได้ว่าเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.59 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย โดยมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ขยายตัวตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 1,927.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 3,031.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,822.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 14.78 ซึ่งเห็นได้ว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเผชิญอยู่กับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้น



นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ หรือ GIT กล่าวว่า  อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทย ถือได้ว่าเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ สินค้าส่งออกในอันดับที่ 2 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6.59 ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย โดยมูลค่าการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของไทย เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2567 ขยายตัวตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.26 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 1,927.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ 3,031.76 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ทั้งนี้ หากนำมูลค่าดังกล่าวข้างต้นหักออกด้วยการส่งออกทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริงมีมูลค่า 1,822.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 14.78 ซึ่งเห็นได้ว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเผชิญอยู่กับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ที่เกิดขึ้น




สถาบันมีภารกิจในการพัฒนาบุคลากรในด้านต่างๆ เข้าสู่อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนารูปแบบเครื่องประดับขึ้นในวงการอัญมณีและเครื่องประดับอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้นักออกแบบรุ่นใหม่และผู้สนใจในการออกแบบเครื่องประดับได้มีโอกาสนำเสนอผลงานตลอดจนให้มีการนำผลงานออกแบบไปผลิตชิ้นงานจริง และสร้างความตื่นตัวในเรื่องการออกแบบ สำหรับโครงการประกวดการออกแบบเครื่องประดับครั้งที่ 18 ได้กำหนดหัวข้อการประกวดภายใต้หัวข้อ “Enchanted Hues – Unlocking the Secrets of Primary Colors Theory” การออกแบบที่ต้องผสมผสานอัญมณีธรรมชาติ 3 สี ได้แก่ ทับทิม ไพลิน และบุษราคัม ผสมผสานองค์ประกอบของศิลปะ หลอมรวม ความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจ สู่การออกแบบเป็นคอลเลกชั่น High Jewelry ที่เต็มไปด้วยจินตนาการและนวัตกรรมเป็นเครื่องประดับที่มีความสวยงามและน่าหลงใหลอย่างแท้จริง

ซึ่งการประกวดครั้งนี้ เปิดโอกาสให้กลุ่มนักออกแบบมืออาชีพและรุ่นใหม่ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่สนใจทั่วโลกได้มีเวทีในการแสดงศักยภาพแห่งความคิดสร้างสรรค์ นำไปสู่ทิศทางด้านการออกแบบฉายภาพแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต (Jewelry Design Trend) โดยนักออกแบบจะต้องส่งแบบวาดไม่จำกัดเทคนิค หรือภาพเขียนจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีแนวคิดการออกแบบสอดคล้องกับหัวข้อการประกวด จำนวนไม่น้อยกว่า 3 ชิ้นใน 1 ชุด (คอลเลคชั่น) โดยในชุดนั้นจะต้องมีสร้อยคอเป็นเครื่องประดับหลักและเครื่องประดับอื่นๆ เช่น ต่างหู แหวน กำไล เป็นต้น

ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 เหรียญสหรัฐ โดยผู้ชนะเลิศจะได้รับเงินรางวัลมูลค่า 3,000 เหรียญสหรัฐ รองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัลมูลค่า 2,000 เหรียญสหรัฐ รองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัล 1,000 เหรียญสหรัฐ รางวัลชมเชย เงินรางวัล 500 เหรียญสหรัฐ และรางวัล GIT Popular Design เงินรางวัล 500 พร้อมโล่เกียรติยศ โดยสถาบันจะประกาศผลการตัดสินรอบแรกจากแบบวาดในวันที่ 11 มิถุนายน นี้ โดยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการออกแบบ และผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเครื่องประดับจากทั่วโลก 

และพิเศษสำหรับปีนี้ GIT ได้วางแผนในการต่อยอดเชิงพาณิชย์ให้กับผู้ที่ส่งผลงานเข้าร่วมการประกวด โดยนักออกแบบสามารถเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Community Platform : GIT Jewelry Design Gallery ซึ่งเป็นช่องทางในการเชื่อมโยงระหว่างนักออกแบบและผู้ประกอบการในการพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องประดับให้ก่อให้เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับนักออกแบบ และ 4 ผลงานที่ได้รับคัดเลือกเป็นคะแนนสูงสุด จะได้ผลิตเป็นเครื่องประดับจริงเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศต่อไป

สำหรับผู้สนใจส่งผลงานเข้าประกวด สามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 พฤษภาคม 2567 ผ่านทางเว็บไซต์ www.gitwjda.com หรือส่งผลงานพร้อมใบสมัครทางไปรษณีย์ หรือส่งผลงานด้วยตัวเองที่ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เลขที่ 140 อาคารไอทีเอฟ – ทาวเวอร์ ชั้น 3 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายพัฒนาผู้ประกอบการ โทร. +66 2 634 4999 ต่อ 301-306 และ 311-313
หรือ LineOA: @gittrainingcenter และดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ www.gitwjda.com 

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เดินตามแผนความยั่งยืน 3 มิติ ตอกย้ำความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมด้วยรางวัล Green Globe ติดต่อกันเป็นปีที่สอง

พร้อมผนึก สิงห์ เอสเตท ในโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว”ตอกย้ำกลยุทธ์การพัฒนาอย่างยั่งยืน เดินหน้าสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน


กรุงเทพฯ ประเทศไทย - บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) (SET: SHR) ผู้นำด้านธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทระดับนานาชาติในเครือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (SET: S) เผยความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอีกครั้ง หลังมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนความยั่งยืนทั้ง 3 มิติในทุก ๆ การพัฒนา ส่งผลให้โรงแรมในไทยและมัลดีฟส์ได้รับประกาศนียบัตร Green GlobeTM เป็นปีที่สองติดต่อกัน ซึ่งเป็นประกาศนียบัตรด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวระดับสากลที่ได้รับการยอมรับจากสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก (Global Sustainable Tourism Council) และองค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UN World Tourism Organisation - UNWTO) ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยโรงแรมในประเทศไทยและมัลดีฟส์ที่ได้รับการรับรอง ได้แก่ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) สันติบุรี เกาะสมุย (Santiburi Koh Samui) และ โครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) อันประกอบด้วย ทราย ลากูน มัลดีฟส์ คูริโอ คอลเลคชัน บาย ฮิลตัน (SAii Lagoon Maldives, Curion Collection by Hilton) ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์ (Hard Rock Hotel Maldives) และ เดอะ มาริน่า แอด ครอสโร้ดส์ (The Marina @ CROSSROADS)

SHR ยึดมั่นในปรัชญาการพัฒนาที่ยั่งยืนและความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง บน 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่

บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2030 เพิ่มพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพร้อยละ 30 ภายในปี 2030 โดยที่ผ่านมา SHR ตั้งเป้าอนุรักษ์พื้นที่ที่มีความหลายหลายทางชีวภาพมาอย่างต่อเนื่อง และได้มีการค้นพบสิ่งมีชีวิต 21 สายพันธุ์ใน Red List ขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และวางแผนการปลูกป่าตามแนวทางของสิงห์ เอสเตท รวมพื้นที่ 1 ล้านตารางเมตร ภายในปี 2025

ยกระดับประสบการณ์การเข้าพักผ่านโครงการด้านความยั่งยืน อาทิ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล ณ เกาะพีพี และมัลดีฟส์ ตั้งเป้าต้อนรับผู้เข้าชมกว่า 50,000 คนต่อปี ที่มีโครงการที่น่าสนใจมากมาย เช่น โครงการอนุรักษ์ฉลามกบ โครงการเพาะพันธุ์ปะการัง กิจกรรมปลูกป่าโกงกาง เป็นต้น อีกทั้งยังส่งเสริมผลผลิตและวัตถุดิบที่ปลูกและจัดหาจากในโรงแรมหรือชุมชนท้องถิ่น เพื่อนำเสนอเมนูจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร (Farm to Table) และกิจกรรมที่ส่งเสริมวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น

ในปีที่ผ่านมา SHR ได้ดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนมากมายตามปรัชญาด้านความยั่งยืนของบริษัท ไม่ว่าจะเป็น การเปิดตัว Nature Trail เส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติ ที่ สันติบุรี เกาะสมุย เพื่อให้ผู้เข้าพักได้ศึกษาและสำรวจความอุดมสมบูรณ์ของเหล่าพืชพันธ์และสัตว์ต่าง ๆ บริเวณรีสอร์ท นำโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือ Nature Guide ในขณะที่ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ มีการติดตั้งป้าย Nature Trail ไว้ในบริเวณโครงการเช่นเดียวกัน ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าพักได้ศึกษาและรู้จักสัตว์ทะเลชนิดต่าง ๆ ที่สามารถพบเห็นได้ในโครงการ นอกจากนั้น ยังมีกิจกรรมส่งเสริมชุมชนท้องถิ่น อาทิ การจัดโปรแกรมให้เด็กนักเรียนท้องถิ่นมาเยี่ยมชมโครงการความยั่งยืน และเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ทางวัฒนธรรมมัลดีฟส์ เพื่อการเผยแพร่และอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่นและถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลัง ไปจนถึงการจัดตลาดนัด Street Market ในทุก ๆ เดือน เพื่อส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นขนาดเล็กอีกด้วย ด้าน ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ ได้มีการปล่อยฉลามกบจำนวน 5 ตัวสู่ท้องทะเล เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในความสำเร็จจากโครงการอนุรักษ์ฉลามกบ หรือ Save Our Sharks Programme ที่รีสอร์ทได้ดำเนินงานร่วมกับศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (Phuket Marine Biological Centre) เนื่องจากในปัจจุบันประชากรฉลามได้มีจำนวนลดลง บริษัทฯ จึงเล็งเห็นความสำคัญและริเริ่มโครงการนี้ โดยนับตั้งแต่โครงการเริ่มต้นในปี 2021 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งได้มีการปล่อยฉลามไปแล้วถึง 30 ตัว และมีไข่ฉลามฟักเป็นตัวในบ่ออนุบาลของรีสอร์ท 29 ฟอง

นอกจากนั้น SHR ยังได้เข้าร่วมโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” หรือ “Million Trees for Tomorrow: Expanding Green Conservation by Singha Estate Group” ร่วมกับ สิงห์ เอสเตท เดินหน้าเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโครงการปลูกป่าและดูแลพื้นที่สีเขียวเขตพื้นที่เชิงเขาและป่ารอยต่อของสิงห์ปาร์ค จังหวัดเชียงราย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ “ปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว” มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าแบบ 1 ต่อ 1 หรือ ทุกพื้นที่ที่ SHR  พัฒนาโครงการ 1 ตารางเมตร บริษัทฯ จะเพิ่มพื้นที่ป่า 1 ตารางเมตรด้วยเช่นกัน  โดยโครงการนี้ประกอบไปด้วยพื้นที่ ทั้งหมด 634 ไร่ สำหรับ 2 ปีที่ผ่านมา ได้ทำการ ปลูกต้นไม้ ไป แล้วทั้งหมด 6,200 ต้น ซึ่งมี ความคืบหน้าไปแล้วกว่า 20% และในปีนี้ สิงห์ เอสเตท ได้ จัดเตรียมพรรณไม้พื้นถิ่น อย่างต้นรวงผึ้ง นำมาปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว และ ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สาเหตุของภาวะเรือนกระจก พร้อมเดินหน้าสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030

นายไมเคิล มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การดำเนินงานอย่างยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เรามุ่งมั่นอย่างมากเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่สังคม เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รีสอร์ทในเครือ SHR ได้รับการรับรอง Green GlobeTM ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของทีมงานทั้งหมดของเรา และเราหวังว่าจะต่อยอดความสำเร็จนี้ในปีต่อ ๆ ไป นอกจากนั้น ได้ร่วมมือกับ สิงห์ เอสเตท ในกิจกรรมปลูกป่าด้วยปลายนิ้ว เพื่อมุ่งสู่เป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) โดยในปี 2567 นี้ ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งกิจกรรมปลูกป่านับเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้เช่นกัน รวมถึงได้มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในกลุ่มรีสอร์ทในไทยและมัลดีฟส์ ซึ่งจะสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึงร้อยละ 20 และมุ่งมั่นให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวในเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในพื้นที่ที่ธุรกิจเของเราตั้งอยู่ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศอย่างมาก”

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ได้ที่ www.shotelsresorts.com 
ติดตามข่าวสารต่าง ๆ ได้ทาง Facebook, Instagram, YouTube or LinkedIn

SACIT ปลุกพลังกระตุ้นผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ GI

เชิญชวนผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI เปิดเวทีงานออกแบบ Craft Design Pitching & Matching 


สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. ชวนผู้ผลิต หรือ ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI ได้แก่ ครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม กลุ่มสมาชิกของ สศท. ช่างฝีมือ ชุมชนหัตถกรรม ผู้ประกอบการทั่วไป ร่วมกับ นักออกแบบ ได้แก่ นักสร้างสรรค์ และนักออกแบบผลิตภัณฑ์ กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยพร้อมบรรจุภัณฑ์ ผสานองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ มีมาตราฐานสินค้าผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย เกิดคุณค่าและความยั่งยืน 


GI Smart Craft Combinations: คราฟต์ ผสมผสาน อย่างชาญฉลาด คือ การสร้างเครือข่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมให้เพิ่มมากขึ้น ระหว่าง กลุ่มผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการด้านศิลปหัตถกรรม และนักออกแบบ เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ในรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ วัสดุ วัตถุดิบ การทำสี และการพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการศิลปหัตถกรรมไทย พร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ให้สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ภายใต้การกำกับดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราคาดหวังจะได้เห็นผลงานศิลปหัตถกรรมการออกแบบใหม่ ๆ ที่ฉีกกรอบเดิม และสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ทุกผลงานที่ผ่านเข้ารอบและพัฒนาจะได้เข้าร่วมแสดงนิทรรศการและทดสอบตลาด รวมถึงจัดทำหนังสือรวบรวมองค์ความรู้ จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์

โครงการนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละด้านร่วมพิจารณารอบคัดเลือก และรอบจับคู่ Pitching & Matching คณะกรรมการดำเนินการ พิจารณาข้อมูลเพื่อจับคู่ ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม จำนวน 3 ราย ต่อนักออกแบบ จำนวน 1 ราย 

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 1 พฤษภาคม 2567

ผ่านทาง https://www.sacit.or.th/th/detail/2024-04-19-17-44-37?event-project=1 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ที่อยู่ 59 หมู่ 4 ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13290 ; โทรศัพท์. 0 3536 7054-9; โทรสาร. 0 3536 7050-1; สายด่วน. 1289; อีเมล. info@sacit.or.th


 

ร้อนนี้ขออยู่บ้าน! ฮาคูโฮโด ชี้ คนไทยขอเซฟเงินเซฟใจ

สวนทางความคึกคักเทศกาลสงกรานต์


กรุงเทพฯ ประเทศไทย, เมษายน 2567 - สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) หรือ Hakuhodo Institute of Life and Living ASEAN (THAILAND) เผยผลสำรวจเรื่องการคาดการณ์พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศไทยประจำเดือนเมษายน พ.ศ.2567 ว่า เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ที่คะแนนความต้องการการใช้จ่ายของคนไทยลดลงมาต่ำสุดของช่วงเวลาสงกรานต์ เมื่อเทียบกับผลสำรวจในช่วงเวลาเดียวกันย้อนหลัง 3 ปี จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เลือกอยู่บ้านฮีลใจในวันหยุดยาวนี้

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ใครหลายๆ คน ได้หยุดยาวเพื่อพักผ่อนและเดินทางกลับบ้านเพื่อไปพบปะครอบครัวและใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความพลุกพล่านของผู้คนพร้อมประหยัดค่าใช้จ่ายไปในเวลาเดียวกัน คุณศิรัญญา สวัสดิ์ชัยพงษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ จึงมองเห็นช่องว่างสำคัญนี้ ให้คำแนะนำกับแบรนด์ต่างๆ ได้ปรับตัวให้เติมเต็มกับสถานการณ์นี้ไว้ ดังนี้

1. ของมัน (จำเป็น) ต้องมี!

ในช่วงเงินทองขัดสน คนมักจะซื้อของเท่าที่จำเป็น แบรนด์สามารถกระตุ้นความต้องการในการใช้จ่ายได้ โดยเน้นที่ความจำเป็นและความคุ้มค่าของสินค้า ชูจุดแข็งและจุดต่าง พร้อมกับโอกาสในการใช้ที่ชัดเจน เพื่อให้คนรู้สึกอยากได้อยากมีสินค้าตัวนั้น เช่น การทำ Digital Content Campaign 50 เหตุผล ทำไมต้องมีพัดลมพกพาติดตัว เป็นต้น

2. Joy ให้สุด แม้จะหยุดอยู่บ้าน!

จากแนวโน้มที่คนเน้นการอยู่บ้าน หลบร้อน หลบค่าใช้จ่าย แบรนด์สามารถนำเสนอกิจกรรมหรือโปรโมชั่นเพื่อทำให้การพักผ่อนอยู่บ้านจอยมากขึ้น เช่น DIY Home Spa Retreat Kits พักกาย ผ่อนคลาย ด้วยชุดสปาทำเองง่ายๆ หรือ Lazy Day Deals โปรโมชั่นสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมบริการจัดส่งฟรีถึงบ้าน




สถาบันวิจัยฮาคูโฮโด อาเซียน ประเทศไทย ได้เผยอินไซต์และตัวเลขที่น่าสนใจที่ได้จากผลสำรวจในครั้งนี้ไว้ 2 หัวข้อใหญ่ คือ

1. ภาพรวมคะแนนแนวโน้มความต้องการใช้จ่ายของคนไทยลดลง 1% และต่ำสุดในช่วงสงกราต์เมื่อเทียบกับผลสำรวจช่วงเดียวกันในรอบ 3 ปี

ถึงแม้ปีนี้เทศกาลสงกรานต์ปีนี้น่าจะกลับมายิ่งใหญ่กว่าเดิม แต่แนวโน้มการใช้จ่ายของคนไทยกลับสวนทาง ผลการศึกษาแสดงถึงแนวโน้มการใช้จ่ายในภาพรวมที่ลดลง โดยเฉพาะสิ่งจำเป็นอย่าง อาหาร และการอุปโภคบริโภคในบ้าน ด้วยเหตุผลทางสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงฝืดเคือง ข่าวการเมือง และความรุนแรงของสังคมที่ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้คนไทยอยากพักกายพักใจในช่วงวันหยุดยาวในครั้งนี้มากกว่าการไปเที่ยวหรือจับจ่ายใช้สอย

2. คะแนนความสุขลดลง 1% ผลกระทบหลักจากสภาพอากาศและเศรษฐกิจของประเทศไทย

จากผลสำรวจที่ผ่านมา ค่าความสุขของคนไทยคงเส้นคงวามาโดยตลอด จนมาถึงในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนพีคสุดของไทยในช่วงเดือนเมษายนนี้บวกกับสภาพเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฝืดเคือง ส่งผลให้ค่าความสุขของคนไทยลดลง ถึงแม้คนไทยหลายคนจะยังมีหวังตั้งตารอคอยเงินดิจิทัลให้เป็นจริงเพื่อมาเติมพลังกายพลังใจให้ความสุขได้เพิ่มขึ้นในผลสำรวจครั้งต่อไป

เมื่ออ้างอิงจากผลสำรวจฉบับนี้ที่มีคำถามเรื่องกิจกรรมที่คนไทยอยากทำช่วงสงกรานต์ปี 2567 นั้น พบว่า กว่า 57% ของคนไทยเลือกพักผ่อนอยู่บ้าน ใช้เวลากับตัวเอง ฮีลใจฮีลกาย อยู่กับตัวเองมากกว่าอยู่กับครอบครัวและมากกว่าการเลือกออกไปเที่ยวข้างนอก เพราะต้องการหลบร้อน หลบค่าใช้จ่าย โดยจากผลสำรวจคนต่างจังหวัดเน้นการกลับมาอยุ่บ้านพร้อมหน้าตากับคนในครอบครัว ขณะที่คนกรุงเทพฯ ยังคงเป็นช่วงเวลาแห่งการได้ท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลหยุดยาว

สุดท้ายนี้ สถาบันวิจัยฮาคูโฮโด อาเซียน ประเทศไทย ได้เผยถึงความสนใจของคนไทยในการติดตามข่าวสารบ้านเมืองว่า ในประเทศไทย ข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองกลับมาร้อนระอุอีกทั้งยังมีข่าวด้านอาชญกรรมเกิดขึ้นมากมาย คนไทยหันมาสนใจข่าวสารบ้านเมืองรอบตัวมากยิ่งขึ้น สภาพเศรษฐกิจเป็นที่จับตามองมากยิ่งขึ้นด้วยประเด็นเรื่องเงินดิจิตอลส่งผลทำให้เกิดความไม่มั่นใจในสภาพบ้านเมือง ในขณะที่ประเด็นข่าวเกี่ยวกับอาญชกรรมกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจและถกเถียงในสังคมมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อคะแนนความสุขที่ลดลงในผลการสำรวจฉบับนี้อีกด้วย

ก.แรงงาน คว้ารางวัล หน่วยงานรัฐสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่น ด้าน Decent Work and Economic Growth ในงาน SIAMRATH ONLINE AWARD 2024


วันที่ 24 เมษายน 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนเข้ารับรางวัล “หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่น ด้าน Decent Work and Economic Growth” ภายใต้งานประกาศรางวัล SIAMRATH ONLINE AWARD 2024 เนื่องในโอกาสครบรอบ 21 ปีสยามรัฐออนไลน์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และบุคคลในวงการบันเทิง ที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับของประชาชน ภายใต้การคัดเลือกของคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมี คุณกตพล คงอุดม รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามรัฐ จำกัด เป็นประธานเปิดงาน ในการนี้ นางสาวกรจิรัฏฐ์ พงจันทร์ศธร ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน ร่วมเป็นเกียรติในงานดังกล่าวด้วย ณ ห้อง Auditorium อาคาร ทรู ดิจิทัล พาร์ค ถนน สุขุมวิท 101/1 เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร




นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า บริษัท สยามรัฐ จำกัด มอบรางวัล“หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่น ด้าน Decent Work and Economic Growth” ให้กับกระทรวงแรงงาน เนื่องจากเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน  (Sustainable Development Goals : SDGs) ซึ่งเป็นเป้าหมายสู่ความยั่งยืนของมนุษยชาติ และจากการทำงานของกระทรวงแรงงานที่มุ่งเน้นการยกระดับกลุ่มแรงงาน ทั้งทางด้านอัตราค่าจ้าง การพัฒนาฝีมือแรงงาน การดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแรงงาน ตลอดจนการช่วยเหลือแรงงานที่ประสบภัยสงครามและภัยธรรมชาติในต่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 8 มุ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ผ่านการยกระดับผลิตภาพแรงงานและการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการผลิต โดยการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความเป็นผู้ประกอบการ การสร้างงาน รวมถึงการดำเนินนโยบายเพื่อขจัดปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย แรงงานทาส และการค้ามนุษย์ ซึ่งจะนำไปสู่การจ้างงานเต็มที่และมีผลิตภาพ และการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับทุกคน นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับประเด็นด้านแรงงานเป็นการเฉพาะ รวมถึงประเด็นเรื่องการลดสัดส่วนของเยาวชนที่ไม่มีงานทำ ไม่มีการศึกษา และไม่มีทักษะ ยุติแรงงานทาสและแรงงานเด็ก ปกป้องสิทธิแรงงานและส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและมั่นคงสำหรับผู้ทำงานทุกกลุ่มอีกด้วย


    

“กระทรวงแรงงาน โดยท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการพัฒนาแรงงานอย่างยั่งยืน และยังคงมุ่งมั่นดูแลแรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม ด้วยการเพิ่มอัตราค่าจ้าง Up skill ดูแลสวัสดิการและสวัสดิภาพแรงงานให้ครอบคลุมทุกมิติ สอดคล้องกับนโยบาย ทักษะดี มีงานทำ หลักประกันสังคมเด่น เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป” นายไพโรจน์ กล่าว

ปวดข้อ เข่าติดขัด บวมแดง อาจเป็น "โรคข้อเข่าเสื่อม"

ภาวะเข่าสึกหรอที่เป็นได้ทุกวัยแพทย์ รพ.วิมุต ชี้ พบแพทย์-รักษาแต่เนิ่น ๆ ก่อนเจ็บหนัก

ต้องบอกว่าการเดินเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนเรา เพราะไม่ว่าจะไปทำงาน ไปเที่ยว หรือเดินทางไปไหนก็ต้องเดินไม่มากก็น้อย แต่ในบางคนเมื่อเดินเยอะ ๆ ก็รู้สึกว่ามีอาการขัดหรือรู้สึกเจ็บบริเวณเข่า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของ "โรคข้อเข่าเสื่อม" ภาวะการเสื่อมของข้อเข่าที่พบมากในผู้สูงอายุ ทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณข้อเข่าเวลาเคลื่อนไหว และหากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจเจ็บมากจนกระทบการใช้ชีวิต วันนี้ นพ.สมยศ ปิยะวรคุณ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ แพทย์ผู้ชำนาญการ ข้อเข่าและข้อสะโพกเทียม ศูนย์กระดูกและข้อ รพ.วิมุต จะมาเล่าถึงลักษณะของโรคข้อเข่าเสื่อม พร้อมบอกวิธีการดูแลรักษาเพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพข้อเข่าที่ดี เดินไปไหนมาไหนได้อิสระตามใจต้องการ

วัยไหนก็ห้ามเมิน “โรคข้อเข่าเสื่อม”
โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) หมายถึง ภาวะความเสื่อมของข้อเข่า ทั้งด้านรูปร่าง โครงสร้าง หรือการทำงานของกระดูกข้อต่อและกระดูกบริเวณใกล้ข้อต่อ รวมทั้งเนื้อเยื่อและเส้นเอ็นของข้อเข่า เมื่อไม่มีผิวกระดูกอ่อนมาห่อหุ้มทำให้เนื้อกระดูกชนกันขณะรับน้ำหนัก ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด และเมื่อผ่านไปนาน ๆ อาการจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนหัวเข่าผิดรูป ไม่สามารถทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ

ข้อเข่าเสื่อมแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปฐมภูมิ เกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ ที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน เช่น การเสื่อมสภาพของข้อเข่าจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งมักพบในช่วงอายุ 60 ปีขึ้นไป นอกจากนี้อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ น้ำหนักตัวที่มากเกินไป รวมถึงการใช้งานข้อเข่ามาก ๆ อีกกลุ่มคือ กลุ่มทุติยภูมิ คืออาการข้อเข่าเสื่อมที่มีสาเหตุบางอย่างเป็นตัวกระตุ้น เช่น อุบัติเหตุที่กระทบบริเวณข้อเข่า การติดเชื้อที่ทำให้หลั่งสารที่ทำลายกระดูกอ่อน ส่วนใหญ่กลุ่มนี้จึงเกิดกับคนที่อายุน้อย นพ.สมยศ ปิยะวรคุณ อธิบายเพิ่มเติมว่า "คนไข้บางโรคที่มีอาการอักเสบเรื้อรัง เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) ก็อาจทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น เพราะการอักเสบที่เป็นซ้ำๆ เป็นๆ หายๆ จะไปเร่งการเสื่อมของเนื้อเยื่อในข้อเข่า"

อาการแบบไหนเป็นสัญญาณ “โรคข้อเข่าเสื่อม”
โดยทั่วไปผู้ที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมในระยะเริ่มต้นจะมีอาการปวดเล็กน้อยจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรืออาจมีอาการติดขัดข้อเข่า ยืดขาได้ไม่เต็มที่ “นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น เข่าเริ่มมีเสียงกรอบแกรบจากการสึกของข้อเข่า ในบางกลุ่มอาจทำให้ข้อเข่าเปลี่ยนรูปทรง โดยส่วนมากจะมีภาวะข้อเข่าโก่ง และในส่วนน้อยข้อเข่าจะเกเข้าด้านใน ซึ่งทุกอาการจะมีอาการปวดร่วมด้วย และจะเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ ดั้งนั้นถ้ามีอาการเหล่านี้จนรบกวนชีวิตประจำวันก็ควรมาพบแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษา” นพ.สมยศ ปิยะวรคุณ อธิบาย

ส่องวิธีการรักษา “โรคข้อเข่าเสื่อม”
สำหรับผู้ที่มีอาการเข้าข่ายโรคข้อเข่าเสื่อม แพทย์จะตรวจร่างกายด้วยการเอกซเรย์ และอาจตรวจด้วยเครื่อง MRI ร่วมด้วยในบางราย นอกจากนี้อาจเจาะเลือดเพิ่มเติมเพื่อตรวจดูปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น นพ.สมยศ ปิยะวรคุณ อธิบายถึงวิธีการรักษาว่า "การรักษาโรคนี้สามารถทำได้หลายวิธี อย่างแรกคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย การบริหารข้อ ต่อมาคือการรักษาด้วยการทานยาหรือการฉีดยาแก้ปวด เช่น สเตียรอยด์ ส่วนอีกวิธีคือการฉีดน้ำหล่อลื่นข้อเข่า ซึ่งการฉีดยาทั้งสองแบบช่วยลดอาการในระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อฤทธิ์หมดก็จะกลับมาปวดเหมือนเดิม ดั้งนั้นทั้งสองวิธีจึงเหมือนเป็นการบรรเทามากกว่าจะเป็นการรักษา"

เปลี่ยนชีวิตด้วย “ข้อเข่าเทียม”
หนึ่งในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในปัจจุบันคือการผ่าตัดข้อเข่าเทียม ซึ่งเป็นการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพสูง ความเสี่ยงต่ำ และผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งข้อเข่าเทียมในตอนนี้มีความใกล้เคียงข้อเข่าจริงมากขึ้น และใช้งานได้ยาวนานกว่า 20 ปีในคนไข้ส่วนใหญ่ โดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแบ่งได้ 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบเต็มเข่า คือการผ่าเปลี่ยนทั้งสองข้างทั้งด้านนอกและด้านใน แบบที่สองคือ แบบครึ่งเข่า คือการผ่าเปลี่ยนแค่ครึ่งที่มีปัญหา ซึ่งวิธีนี้สามารถเก็บเส้นเอ็นในข้อเข่าไว้ได้ ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่า "ข้อเข่าเทียมนั้นสามารถใช้งานได้ใกล้เคียงข้อเข่าจริง แต่ต้องระวังกิจกรรมที่มีการพับงอเข่านานๆ เช่น เรื่องการคุกเข่า และหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องใช้ข้อเข่ามาก ๆ เพราะข้อเข่าเทียมก็สึกหรอได้เหมือนเข่าจริง" นพ.สมยศ ปิยะวรคุณ อธิบาย

"หลายคนกังวลว่าถ้าเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการหนักขึ้นต่อเนื่องจนเดินไม่ได้เลย แต่ในความจริงเรารักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยวิธีการที่เหมาะสม อาจต้องปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทำกายภาพบำบัด ใช้ยา หรือรักษาด้วยการผ่าตัดข้อเข่าเทียมก็ได้เช่นกัน ข้อเข่าของเราจะได้กลับมาแข็งแรงสมวัย ไม่ต้องมากังวลว่าจะเจ็บเวลาเดินไปไหนมาไหน"  นพ.สมยศ ปิยะวรคุณ กล่าวทิ้งท้าย

ผู้ที่สนใจปรึกษาแพทย์โรงพยาบาลวิมุต สามารถติดต่อได้ที่ ชั้น 4 ศูนย์กระดูกและข้อ หรือโทรนัดหมาย 02-079-0060 เวลา 08.00-20.00 น. หรือใช้บริการ Telemedicine ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน ViMUT App คลิก https://bit.ly/372qexX

ประชุมคณะกรรมการกองทุนดอกแก้วกัลยาฯ


สภาสังคมสงเคราะห์ฯ ได้มีการประชุมคณะกรรมการกองทุนดอกแก้วกัลยาฯ ครั้งที่ 3/2567 ณ ห้องแพลตตินั่ม ฮอลล์ ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพฯ โดยมี นางอารยา อรุณานนท์ชัย ประธานคณะกรรมการกองทุนดอกแก้วกัลยาฯ เป็นประธาน ทั้งนี้ ดร.วิชัย ไทยถาวร รองประธานสภาสังคมสงเคราะห์ฯ ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุนดอกแก้วกัลยาฯ 







และ คณะกรรมการกองทุนดอกแก้วกัลยาฯ เข้าร่วมประชุม เพื่อทราบการดำเนินงาน และเตรียมความพร้อมสำหรับการจัดงานน้อมรำลึกพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ที่กำหนดจัดในวันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม 2567


ณ ห้องประชุม ชั้น 3 ตึกนวมหาราช สภาสังคมสงเคราะห์ฯ 




CP LAND พลิกโฉมโปรดักต์ใหม่ยกแผงทั้งแนวราบ – แนวสูง

เตรียมเปิดตัว 5 โครงการแฟล็กชิพใหม่ทั่วประเทศ

24 เมษายน 2567 – กรุงเทพฯ , บริษัท ซี.พี. แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ หรือ CP LAND บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 เดินเกมส์รุก บุกตลาดใหม่ ปรับดีไซน์โปรดักต์ยกแผงทั้งแนวราบและแนวสูง พร้อมเริ่มรับประกัน 10 ปี** เตรียมเปิดตัว 5 โครงการแฟล็กชิพใหม่ใน 4 จังหวัดทั่วประเทศ 

นายกีรติ ศตะสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ CP LAND เปิดเผยว่า  ผลประกอบการธุรกิจของ CP LAND ในปี 2566 สามารถสร้างรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ส่วนทิศทางการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งปี 2567 ตั้งเป้าหมายที่เติบโตเพิ่มขึ้น 60%  เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการลงทุนเพื่อเปิดตัว 5 โครงการแฟล็กชิพใหม่ใน 4 จังหวัดทั่วประเทศในปี 2567 ประกอบด้วย

1.โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ลักซ์ริวา เรสซิเดนเซส (LUXRIVA RESIDENCES) ตั้งอยู่ในจ.นครศรีธรรมราช ระดับราคาเริ่มต้นที่ 12 – 20 ล้านบาท โดยได้ทำการเปิดการขายรอบ VVIP – Pre-Sale ไปแล้วเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งได้ Sold Out ในส่วนของโครงการเฟสแรกไปแล้ว และได้เปิดขายเฟสต่อไปทันที คาดว่าจะพร้อมโอนได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567

2.โครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ในจ.พิษณุโลก ระดับราคาเริ่มต้นที่ 7 – 15 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงไตรมาส 3/2567

3.โครงการบ้านเดี่ยวระดับพรีเมี่ยม ภายใต้แบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ในจ.นครสวรรค์ ระดับราคาเริ่มต้นที่ 7 – 15 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงไตรมาส 3/2567

4.โครงการคอนโดมิเนียม High Rise ภายใต้แบรนด์ใหม่  ตั้งอยู่ในจ.ขอนแก่น ระดับราคาเริ่มต้นที่ 2.3 – 4 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567

5.โครงการคอนโดมิเนียม Low Rise ภายใต้แบรนด์ใหม่ ตั้งอยู่ในจ.ขอนแก่น ระดับราคาเริ่มต้นที่ 1.7 – 3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มเปิดขายโครงการได้ในช่วงปลายไตรมาส 3/2567

การเปิดตัวโครงการใหม่ทั้ง 5 โครงการใน 4 จังหวัดครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของ CP LAND เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ใหม่ หลังจากที่ CP LAND มีการรีเฟรชแบรนด์ ปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยขึ้น ปรับดีไซน์โปรดักต์ใหม่ยกแผงทั้งแนวราบและแนวสูง รับประกันถึง 10 ปี** โดย Welcome Home Club by CP LAND ใน 4 เรื่องหลัก ประกอบด้วย 1.โครงสร้างของอาคาร 2.การรั่วซึมของหลังคา 3.การรั่วซึมของระบบท่อน้ำและไฟฟ้า และ 4.การใช้งานของประตู และหน้าต่าง  ในโครงการเปิดใหม่ทั้งหมด  เพื่อให้สอดรับกับแผนธุรกิจที่เริ่มปรับแผนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมา โดยการเปิดตัวแบรนด์ใหม่อย่าง LUXRIVA RESIDENCES นครศรีธรรมราช ถือเป็นการเปิดแบรนด์ใหม่นำร่องแบรนด์แรก ก่อนที่ CP LAND จะทยอยเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกมาในช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2567

สำหรับแบรนด์ LUXRIVA RESIDENCES นครศรีธรรมราช ที่สามารถ Sold Out ในเฟสแรกได้อย่างรวดเร็วถือว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญของ CP LAND ยุคใหม่ที่ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูง (High-Net-Worth Individuals) กลุ่มผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ประสบความสำเร็จ หรือ Local Achiever และกลุ่มลูกค้าลักซ์ชัวรี่ภูมิภาค ซึ่งถือเป็นการวางกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย  มีการออกแบบดีไซน์บ้านแนวใหม่ที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านหรือที่อยู่อาศัยที่ได้รับการพักผ่อนอย่างแท้จริง ภายใต้มาตรฐานการทำงานและก่อสร้างของบริษัท ที่มีการเริ่มรับประกัน 10 ปี**เป็นโครงการแรก  ตลอดจนการออกแบบโครงการที่ชูดีไซน์การออกแบบโมเดิร์น ผสมผสานเอกลักษณ์ระหว่างศิลปวัฒนธรรมไทย และ วัฒนธรรมท้องถิ่นของภาคใต้ โดยนำศิลปินนักออกแบบระดับประเทศ ร่วมนำเสนอภูมิปัญญาท้องถิ่น ให้เข้ากับความร่วมสมัย พร้อมประยุกต์ดีไซน์ในส่วนต่าง ๆ ให้เข้ากับสภาพอากาศในประเทศเขตร้อนชื้น ทำให้ผู้พักอาศัยมีสภาวะความเป็นอยู่ที่สบายที่สุด รู้สึกถึงความร่มเย็น







“ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จากการดูแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2567 ยังคงเป็นความท้าทายต่อแผนขับเคลื่อนธุรกิจของ CP LAND เนื่องจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ แต่ในตลาดบ้านเดี่ยว กลุ่มลูกค้า Premium-Luxury Tier มีแนวโน้มจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง สวนทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเงินกู้ เพียงแต่สินค้าต้องมีความตอบโจทย์ในทุกความต้องการขั้นพื้นฐาน ให้ความรู้สึกเป็นที่พักอาศัยอย่างแท้จริง ทาง CP LAND มองเห็นช่องโอกาสนี้จึงได้ตั้งใจพัฒนาสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์ LUXRIVA RESIDENCES  และแบรนด์ใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านของภาพลักษณ์ และ ฟังก์ชันการใช้งาน ที่ผ่านการทำการศึกษาด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญ และมอบความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยการรับประกัน 10 ปี โดย Welcome Home Club by CP LAND ปี  เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นว่าจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจาก CP LAND ทำให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่า หากจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้นึกถึง CP LAND ด้วยแนวคิดนี้ จึงเชื่อมั่นว่า แบรนด์ CP LAND จะมีความแข็งแรง เติบโตไปพร้อมความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆได้อย่างแน่นอน”นายกีรติ กล่าวทิ้งทาย 

 ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.CPLAND.co.th

โปรสุดคุ้มที่ศูนย์สุขภาพ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์


ซัมเมอร์นี้ เตรียมอวดหุ่นเซี๊ยะให้เพื่อนร้องว้าว! โปรโมชั่นแน่น จัดเต็มรอให้คุณมาทดลองเลือกโปรแกรมที่ใช่  หุ่นสวยปัง  ทันใจแน่นอนที่ศูนย์สุขภาพ  โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกศูนย์สุขภาพ  นอกจากเข้าใช้บริการฟิตเนส คาดิโอ เวทเทรนนิ่ง   แอโรบิค สควอช สนุกเกอร์ โต๊ะปิงปอง โดยมีเทรนเนอร์มืออาชีพคอยแนะนำการใช้อุปกรณ์ ยังสามารถเข้ากิจกรรมคลาสพิเศษต่างๆ ใช้บริการสระว่ายน้ำกลางแจ้ง พร้อมพื้นที่สำหรับพักผ่อนและอาบแดด ห้องอบซาวน่า  สตรีม อ่างจากุซซี่ร้อน-เย็น ด้วย



เพียงสมัครสมาชิกรายปีได้แถมฟรีพิเศษอีก 1 เดือน รวมเป็น 13 เดือน (เพียง 25,500 บาท) สมัครราย 6 เดือน รับฟรี! บัตรกำนัลบุฟเฟ่ต์ดินเนอร์ 1 ใบ รับส่วนลด50% ล็อกเกอร์รายปีสำหรับสมาชิกเก่า 3 ปีขึ้นไปหรือสมัคร “โปรโมชั่นทดลองใช้บริการ 1 เดือนเพียง 3,000 บาท” โปรโมชั่นสุดคุ้มแบบนี้รีบสมัครด่วน!! ภายในวันที่ 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 0-2276-4567 ต่อ 8340
หรือไลน์ @theemeraldhotel และเพจ www.facebook.com/TheEmeraldHotel