29 พฤษภาคม 2568

กระทรวงดีอี ชูโมเดลขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล

ดัน Thailand Digital Valley กระตุ้น Big Data ตั้งศูนย์  AI Governance Center

3 ภาครัฐ ETDA - DEPA - BDI ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชูศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทย เปิดโชว์เคส โมเดลขับเคลื่อนหนุนเอกชน ในงานสัมมนา “Navigating Thailand’s Sustainable Digital Future” ในหัวข้อ “Thailand’s Digital Growth Engine” จัดโดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ร่วมกับ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ที่ผ่านมา 




คุณกษมา กองสมัคร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า (DEPA)  กล่าวว่า DEPA ถือเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน 4 ยุทธศาสตร์หลักครอบคลุม การพัฒนาทุนมนุษย์ เศรษฐกิจ สังคม และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรม ภาคธุรกิจ การพัฒนาบุคลากร ไปจนถึงการพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานภายใต้แนวคิด ทำอย่างไร ที่จะสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานในระดับที่สูงขึ้น

• ภาคเกษตรกรรม  เพิ่มศักยภาพการแข่งขันและพัฒนาการผลิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

DEPA ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับ และส่งเสริมการใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการซื้อขายผลผลิต การจัดการข้อมูลการเพาะปลูก และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่ออำนวยความสะดวกให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคเกษตรกรรมให้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายโดยเฉพาะตลาดออนไลน์ให้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น  

• ภาคธุรกิจ: เร่งปรับสู่ดิจิทัลชู Thailand Digital Valley ดึงนักลงทุน

DEPA มุ่งกระจายความช่วยเหลือและสนับสนุนให้บริษัทเอกชนเร่งพัฒนาทักษะ ปรับตัวสู่ดิจิทัล ผ่านเครือข่าย Depa 8 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคต่างๆ ให้เข้าถึงงกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศ พร้อมวางกลยุทธ์เน้นการให้ความสำคัญในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ 

• การพัฒนาบุคลากร: หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล   

การพัฒนาทักษะ ศักยภาพของบุคลากรนับเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนของแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ปัจจุบัน DEPA ได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ จัดทำโครงการการพัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรม ที่มุ่งเน้นการสร้างทักษะด้านการเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและก้าวทันเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างต่อเนื่อง


• การพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐาน: ชู Thailand Digital Valley ดึงนักลงทุน

การพัฒนาเมืองให้มีความน่าอยู่ ปลอดภัย และยั่งยืน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ความเร็วสูง หรือการมีแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง นับเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ล่าสุด DEPA เตรียมเปิดตัวโครงการ  Thailand Digital Valley ที่ อ.ศรีราชา ซึ่งเป็นโครงการลงทุนเพื่อดึงนักลงทุนทั้งต่างชาติและผู้ประกอบการ SMEs เข้าไปใช้ โดยวางบทบาทให้เป็น Tech Park เป็นฮับด้านบริการครบวงจร และเตรียมจัดทำ AI Literacy ช่วยเติมเต็มศักยภาพให้ SMEs ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลปลุก  Big Data 

รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า  “สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BDI เป็นองค์กรมหาชนน้องใหม่  ภายใต้การกำกับของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดดำเนินงานมาแล้ว  18 เดือน ภายใต้บทบาทและภารกิจ การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชน ครอบคลุม  3 กลุ่มงานหลักคือ 

1. เชื่อมโยงและข้อมูลเชิงวิเคราะห์  มุ่งสร้าง Big data (กลุ่ม B. I. G)   

2. เชื่อมโยงผู้ประกอบการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ด้าน Big data โดยพัฒนาคอมมูนิตี้ ด้าน AI (กลุ่ม Bridge)  และ 

3. พัฒนาทักษะและองค์ความรู้ด้านวิเคราะห์ข้อมูล (กลุ่ม BUILD) 

ภายใต้หลักการ Data Sharing Facilitation โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลชาติ ประกอบด้วย  3 แกนหลักคือ 1. อีโคซิสเต็ม 2. เครื่องมือและมาตรฐาน และ 3. โครงสร้างพื้นฐาน โดยวางเป้าหมายในปี 2025-2026 เชื่อมโยงแพลตฟอร์มระหว่างภาครัฐกับเอกชน 4 กลุ่มหลักคือ ท่องเที่ยว สุขภาพ โครงการแพลตฟอร์มบริการข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับพื้นที่เมืองอัจฉริยะ หรือ  Envi Link ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทย เพื่อสนับสนุนการวางแผนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม อากาศสะอาด และลดคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint)  และ Provincial Platform หรือแพลตฟอร์มระดับจังหวัด  คาดว่าการพัฒนา Data Sharing Facilitation จะแล้วเสร็จตามแผนปี 2568-2569 ภายใต้วัตถุประสงค์ การเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมโยงข้อมูลประเทศ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ข้อมูลเชิงวิเคราะห์” 

หนุนองค์กร ใช้ AI Governance Center คุณรจนา ล้ำเลิศ หัวหน้าทีมศูนย์ AI Governance Center (AIGC) และที่ปรึกษาสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “ทางหน่วยงานได้เร่งผลักดันให้องค์กรและหน่วยงานให้ความสำคัญของการพัฒนา AI  และอยากให้มองว่า  AI  Governance ไม่ใช่ภาระแต่เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น  ซึ่งบทบาทการขับเคลื่อนของศูนย์ AIGC ทำหน้าที่เป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลือและเตรียมความพร้อมองค์กรในการประยุกต์ใช้ AI  จากผลการสำรวจความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI ขององค์กร ระหว่างปี 2566-2567 พบว่า สัดส่วนองค์กรที่เริ่มนำ AI มาปรับใช้แล้ว เพิ่มขึ้นจาก 15.2% ในปี 2566 เป็น 17.8% ในปี 2567 ขณะที่องค์กรที่มีแผนที่จะใช้ AI ก็เพิ่มขึ้นจาก 56.6% ในปี 2566 เป็น 73.3% ในปี 2567 ในทางกลับกัน สัดส่วนองค์กรที่ยังไม่มีความต้องการใช้ AI และต้องการการสนับสนุนก็ลดลงอย่างมากจาก 28.2% เหลือเพียง 8.9% 

ส่วนตัวเลของค์กรที่มีความตระหนักถึงการนำ AI มาใช้งาน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ในระดับ 45.3% เป็น 55.1% ในปี 2567  ซึ่งองค์กรในประเทศไทยมีความพร้อมที่ดีและมีการวางแผน AI ที่ชัดเจน ทั้ง 5 ด้านคือ 1. ความพร้อมด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน 2. ความพร้อมด้านบุคลากร 3. ความพร้อมด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร 4. ความพร้อมด้านธรรมาภิบาล และ 5. ความพร้อมด้านเทคโนโลยี 

ทั้งนี้ เป้าหมายในการนำ AI มาใช้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ใน 6 ด้าน  ประกอบด้วย 

1. การใช้ AI ควรส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมและสร้างประโยชน์ต่อประชาชนในวงกว้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม 

2. AI ต้องได้รับการออกแบบและใช้งานให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายและจริยธรรม โดยยึดหลักมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และเคารพสิทธิมนุษยชน 

3. AI ต้องสามารถอธิบายได้ มีระบบการติดตาม ตรวจสอบย้อนหลังได้ 

4. การพัฒนา AI ต้องคำนึงถึงการป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล และความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 

5. หลีกเลี่ยงอคติของข้อมูลและอัลกอริธึ่ม ส่งเสริมความหลากหลายและให้ความสำคัญกับการปกป้องกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือที่สร้างประโยชน์อย่างทั่วถึง 

6. ควบคุมกระบวนการพัฒนา AI ให้มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ และสามารถปรับปรุงต่อเนื่อง 

คุณรจนากล่าวและสรุปเพิ่มเติมว่า “ประเทศไทยให้ความสำคัญกับประเด็นแนวทางธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ เป็นกลไกกำหนดนโยบาย ขั้นตอนปฏิบัติ เครื่องมือในการปฏิบัติงาน ตลอดจนการวิเคราะห์ความเสี่ยงการใช้ AI เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน รวมทั้งเป็นกลไกส่งเสริมผู้พัฒนาและผู้ประกอบการด้าน AI สู่การประยุกต์ในภาคอุตสาหกรรมของประเทศอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และความรับผิดชอบ ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังออกหลักการกฎหมายเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) อยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นจากสาธารณะ (Public Hearing)”

เอกชนระบุต้องสร้างบุคลากร ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล
ดร.ขจรพงษ์ อัครจิตสกุล AI Technology Expert บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI บนเวทีสัมมนาเรื่อง “ Thailand Way Forward: Digital and AI Driven Economy” ว่า “ปัญหาในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นดิจิทัล และ AI Transformation อยู่ที่การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการทำงานและการพัฒนาระบบ ทำให้ปัจจุบันต้องร่วมกับสถาบันการศึกษาในการสร้างหลักสูตร ที่สร้างบุคลากรตอบโจทย์กับความต้องการบุคลากรด้านนี้ขององค์กร 

ในขณะเดียวกันบริษัทได้มีการพัฒนาบุคลากรด้าน AI ในรูปแบบของ Working Group เพื่อสร้าง AI Champion ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของบริษัทในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้มีการนำ AI มาใช้ในการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สามารถลดต้นทุนในการผลิตและมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น” ดร.ขจรพงษ์ กล่าว 

คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ CEO & Co-Founder Techsauce Media กล่าวว่า “ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีในเรื่องของดิจิทัล แต่เรามีปัญหาในเรื่องของการบริหารจัดการข้อมูล เราไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ เพราะเราขาดบุคลากรที่มีความรู้และความเข้าใจในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของบุคลากรด้านดิจิทัล และ AI แต่ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก มีปัญหาที่ขาดแคลนทั้งทุนและบุคลากรในด้านนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องเข้ามาสนับสนุน เพราะเทคโนโลยี AI ในปัจจุบันสามารถนำมาใช้ในการขับเคลื่อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหลายอุตสาหกรรม โดยปัจจุบันมีการนำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้ง ด้านสุขภาพ เกษตรกรรม รวมไปถึง ภาคอุตสาหกรรม ถ้าเรามีบุคลากรที่เพียงพอ ก็จะสามารถที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจได้” 

ทางด้านคุณจรุง เกียรติสุภาพงศ์  Chief Information officer of KBTG Group  ให้ความเห็นเช่นเดียวกันว่า “ปัจจุบันธนาคารนำ AI มาใช้ในการทำ Digital Lending โดยการนำฐานข้อมูลของลูกค้ามาใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการสินเชื่อของลูกค้า และความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ได้ อย่างเรื่องบุคลากรที่ไม่เพียงพอ นำ AI มาช่วยในการทำ coding เป็น Coding Assistance ลดภาระในการเขียนโปรแกรมไปได้ 40% ทำให้เราเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้เพิ่มขึ้น 40%” นายจรุง กล่าวและเพิ่มเติมว่า 

“ผมว่า AI เข้ามาช่วยในการทำงานได้หลายด้าน และการนำ AI มาใช้ในองค์กร สิ่งสำคัญคือผู้นำองค์กรต้องมีความชัดเจนในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การใช้ AI ก็จะทำให้องค์กรสามารถที่จะขับเคลื่อนนำ AI มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน”