17 กันยายน 2566

3 จังหวัดชายแดนใต้ เที่ยวได้ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

การเดินทางที่แสนประทับใจ ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ 


วันที่เก้าเดือนเก้า กับการเดินทางที่แสนประทับใจ มีโอกาสท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกับ การท่องเที่ยว - จังหวัด ปัตตานี ยะลา และ หาดใหญ่ คนเราแก่ลงทุกวัน คิดอยู่เสมอว่าเก็บเงินออกเดินทางท่องเที่ยวตอนนี้ดีกว่า เก็บเงินไปรักษาตัวเองในตอนแก่ แต่เวลานี้ที่เรายังเที่ยวไหวก็ไปเที่ยวกัน ถ้าเราเที่ยว สุขภาพดี สุขภาพจิตดี ออกไปทำอะไรให้ร่างกายจิตใจแฮปปี้ 


เราจะได้ยินข่าวจากจังหวัดชายแดนใต้เมื่อเกิดระเบิดและความรุนแรง ในการรับรู้ของคนทั่วไปอาจไม่เคยรู้ว่าจังหวัดชายแดนใต้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีเสน่ห์ทางวัฒนธรรม สถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม อาหารหลากหลาย ภาคประชาชนฉลาดเข้มแข็ง และมีความสงบเรียบง่ายตามวิถีทางวัฒนธรรม ก่อนอื่น ต้องขอบอกก่อนว่า ทริปท่องเที่ยวครั้งนี้ทีมงานและคณะไปเที่ยวเที่ยว 3 ชายแดนใต้ แค่ได้ยินชื่อก็ไม่กล้าเที่ยวแล้ว
ใช่มั้ย ด้วยข่าวที่กระจายผ่านสื่อต่างๆ ทำให้หลายคนหวั่นใจ อยากมาแต่แอบกลัวในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก  แต่ทั้งที่ในเรื่องของการท่องเที่ยว 3 จังหวัด ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด แปรเปลี่ยนเป็นความประทับใจทั้งเรื่องสถานที่ท่องเที่ยว อาหารการกิน ความน่ารักของคนในพื้นที่จากการที่ได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ในมุมมอง ที่หลากหลาย บอกเลยว่าที่นี่มีอะไรให้เที่ยวให้เพลิดเพลินให้ชมบ้าง แล้วอาหารล่ะจะทานได้ไหม ทางคณะจึงอยากพิสูจน์ มาดูมาเห็นกับตาให้รู้ว่ามันเป็นอย่างไร  

เพื่อที่จะประชาสัมพันธ์ สื่อสารข้อมูลให้ทุกท่านได้รับทราบว่า ความพิเศษและน่าเที่ยวอย่างไร และที่สำคัญปลอดภัยไร้กังวล  ไม่ได้เหมือนที่คนเล่าขานกล่าวกัน เมื่อได้มาแล้วก็อยากเดินทางมาอีก การเดินทางครั้งนี้  ขึ้นเครื่องบินที่สนามบินดอนเมือง ในกรุงเทพฯ เพื่อมุ่งสู่หาดใหญ่  เข้าไปพักที่จังหวัดปัตตานี  ซึ่งเป็นจุดหลักในการพักของทีมงานและคณะเราถึง 3 คืน 


จุดแรกของการท่องเที่ยวแบบเปิดใจให้ปัตตานีดินแดนแห่งปลายด้ามขวาน  วัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธ์ เป็นวัดเก่าแก่กราบสักการะหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ หรือ วัดราษฎร์บูรณาราม วัดสวยออายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ที่เป็นเหมือนศูนย์รวมจิตใจของชาวใต้ ไม่ว่าใครที่มาถึงปัตตานี  ตำนาน หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด ซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ทวดได้เดินทางด้วยเรือสำเภาไปยังอยุธยา แต่เกิดพายุและไม่สามารถเดินทางต่อได้ ระหว่างนั้นน้ำดื่มก็หมดลง หลวงปู่ทวด จึงได้จุ่มเท้าซ้ายลงไปในน้ำทะเล และน้ำบริเวณนั้นกลับกลายเป็นน้ำจืดที่สามารถดื่มได้ ทำให้เป็นที่อัศจรรย์ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ได้มีการนำพระศพท่านมาไว้ที่วัดช้างให้แห่งนี้ ทำให้มีการจัดงานสรงน้ำอัฐิหลวงปู่ทวด เป็นประจำทุกปี ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 5 ช่วงประมาณเดือนเมษายน การเดินทางที่แสนประทับใจในครั้งนี้ทางคณะรู้สึกประทับเนื่องจากเป็นวันดี วันที่ 9 เดือน 9 2566 





ร้านอิควาน ดีไลท์ (IKHWAN DELIGHT)  จังหวัดปัตตานี 



หลังจากนั้นคณะเดินทางต่อ เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอิควาน ดีไลท์ (IKHWAN DELIGHT)  จังหวัดปัตตานี พี่น้องมุสลิมต้อนรับพวกเราอย่างดี ต้องบอกเลยว่าที่นี่ เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคณะเราได้รับการต้อนรับอย่างดีจาก อาจารย์อาคม  โสมนัส (มะรูฟ) ผู้บริหาร และทีมงาน จาก GISBH  สำหรับบรรยากาศร้านและอาหารมีหลากหลายสไตล์  อย่างเช่น ผัดไทย ไก่ทอด ซุปเห็ดกับขนมปังกระเทียม โรตี ทานกับแกง สลัดไก่รมควัน ซีซาร์สลัด ราดหน้า และเมนูข้าวต่างๆ จากอุสเบกิสถาน อาหรับ และปากีสถาน ฯลฯ 



อีกทั้งยังมีน้ำผลไม้รสชาติกลมกล่อม เช่น น้ำมะม่วง น้ำแอปเปิ้ล น้ำกีวี  ที่ส่งตรงมาจากนครเมกกะ ประเทศซาอุดิอารเบีย  รวมทั้งจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากมาเลเซีย เกี่ยวกับ GISBH  นั้นมีร้านอาหารที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก มากกว่า 100 แห่ง  ซึ่ง GISBH  มีแนวคิดตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีธุรกิจครอบคลุมครบวงจร มีสาขาทั่วโลก เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม ของประชาชน โดยเฉพาะสังคมอิสลามตามหลักความรักซึ่งกันและกันในทุกเชื้อชาติศาสนา มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก 


รวมไปถึงมีบริษัทลูก 10 บริษัท ดำเนินธุรกิจที่แตกต่างกัน โดยมีธุรกิจต่างๆ มากกว่า 500 ธุรกิจ นอกจากร้านอาหาร เบเกอรี่ ยังมีโรงงาน ซักรีด คลินิค ร้านบูติก ร้านตัดเสื้อ ตลอดจน ในเรื่องของการศึกษา ที่มีตั้งแต่ระดับเนิร์สเซอรี่ อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษาทั่วประเทศ ส่วนสาขาในต่างประเทศ มีสาขาในทุกทวีป หรือหากไม่มีก็จะส่งตัวแทนไปเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับสังคมที่นั่น กับผู้นำ และองค์กรศาสนา ทั้งใน ออสเตรเลีย รัสเซีย โดยมีเป้าหมายหลักคือ การกลับคืนสู่พระเจ้า 

รีวิวGISBH  มีแนวคิดตรงกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง : https://www.voy-y.com/2023/09/gisbh.html


เยี่ยมชมแหล่งผลิตรังนกแท้  แบรนด์ “แหลมทองรังนกไทย” 



อิ่มหนำสำราญกันแล้ว คณะเราก็ได้เดินทางต่อ  เพื่อเยี่ยมชมแหล่งผลิตรังนกแท้  แบรนด์ “แหลมทองรังนกไทย”  ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคุณธานัท  เด่นสันติกุล หรือคุณแบงค์  ชายหนุ่มรูปงามเจ้าของผลิตภัณฑ์แหลมทองรังนกไทย ซึ่งคณะเราได้ดื่มรังนกแท้  ทั้งในแบบบรรจุขวด ซึ่งมีทั้งแบบสเตอริไลซ์ และแบบพาสเจอไรซ์  รวมทั้งรังนกต้มสดกับใบเตย  ซึ่งหอมอร่อย  เมื่อดื่มแล้วสดชื่นมาก โดยได้ความรู้ว่ารสชาดของรังนกแท้จะคล้ายกับไข่ขาว








ต่อจากนั้น  คณะเข้าเยี่ยมชมโรงงานรังนกแท้ดูไลน์การผลิต ตั้งแต่เริ่มต้น  จนถึงขั้นตอนสุดท้าย กันเลย  ทำให้คณะเรารู้คุณค่าของรังนกแท้ ชมกรรมวิธีการผลิตอย่างไรในทุกขั้นตอนอย่างละเอียด ทำให้ทราบว่ามันเหมาะสมกับมูลค่าราคาที่ค่อนข้างสูงมากจริง ๆ  ก่อนกลับพวกเราได้รับของที่ระลึก  เป็นรังนกแท้แบบสเตอริไลซ์ ไม่ต้องแช่เย็น เพื่อดื่มบำรุงในอีก 3 วัน ที่อยู่ใน 3 ชายแดนใต้  

และเพื่อให้กลมกลืนและเข้ากับวิถีชุมชน ในการมาอยู่ในกลุ่มชาวมลายู หรือ ที่เรียกกันว่า ชาวมุสลิม  บรรดาสาว คณะเรา  เดินทางต่อไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้เปลี่ยนชุดเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศแบบสาวมลายู  ด้วยชุดอันแสนสวยโพกผ้าฮิญาบที่ศรีษะ   

เมื่อมาถึงปัตตานี ต้องมาชมศิลปและความสวยงามของตัวอาคาร มัสยิดกลางปัตตานี ตั้งอยู่ที่ตำบล
อาเนาะรู อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำเมืองปัตตานีที่ ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามมีความโดดเด่นและยังเป็นศาสนสถานศูนย์รวมจิตใจของผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ในภาคใต้ ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง รูปทรงภายนอกของมัสยิดมีต้นแบบมาจากทัชมาฮาล เป็นสถานที่เมื่อมาถึงปัตตานี ต้องมาชมศิลปและความสวยงามของตัวอาคารเป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของผู้นับถือศาสนาอิสลามในภาคใต้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งมัสยิดกลางปัตตานี ได้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2497  เนื่องจากรัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญของศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวปัตตานี ส่วนใหญ่นับถืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งมีชาวมุสลิมจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่สี่จังหวัดภาคใต้จึงเห็นสมควรให้จัดสร้างมัสยิดขนาดใหญ่ ไว้เพื่อเป็นศูนย์กลางแก่ชาวไทยผู้นับถือศาสนาอิสลามทั่วประเทศ สาวคณะเราได้ถ่ายรูปในลุคการแต่งตัวตามแบบฉบับสาวมลายูมาให้ได้ชมกันด้วย  


ความสุขของการเดินทางทริปนี้ที่อยากเล่าสู่กันฟัง ในค่ำคืนนี้จะเป็นคืนพิเศษสำหรับคณะเราที่จะได้ล่องแพไปบนแม่น้ำปัตตานี ที่เป็นความใฝ่ฝันของหลายท่าน  ในครั้งนี้คณะเราได้รับเกียรติจากท่านพาติเมาะ สะดียามู  ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี  ซึ่งท่านเป็นผู้ว่าหญิงชาวมุสลิมท่านแรกของประเทศไทย ที่มีศักยภาพในความเป็นผู้นำชุมชนที่ เข้าถึงประชาชนในทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ได้มาร่วมล่องแพทานอาหารไปพร้อมกับคณะเรา ในบรรยากาศอันแสนโรแมนติก









ชมวิถีชีวิย่านชุมชนริมน้ำที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นวิถีชิวิตบ้านเรือนของคนที่อยู่ริมน้ำ ได้ยินเสียงละมาดจากมัสยิด ความสวยงามที่เกินบรรยาย ในวันที่ท้องฟ้าครึ้มฟ้า ครึ้มฝน สายฝนตกมาปรอยปรายเล็กๆ ทำให้บรรยากาศสดชื่นเพิ่มชึ้น  อีกทั้งยังได้รับลมเย็นที่พัดผ่าน  รู้สึกว่าที่ตรงนั้น อากาศสดชื่นมาก ไปที่เมนูอาหารอร่อยที่มีหลากหลายรสชาติ รวมทั้งไฮไลท์ของแพที่ลอดใต้สะพาน  ที่ลุ้นมาก ว่าจะผ่านมั้ยหนอ ได้เห็นนกนางแอ่นมากมายที่เกาะอยู่บนสายไฟ ถ้าแหงนหน้าขึ้นไปมองเหมือนสร้อยประดับระย้าลงมาเลยเชียว เป็นภาพบรรยากาศที่เห็นได้ทั่วไปใน จังหวัดปัตตานี  คณะเรามีโอหาสได้ถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน มีรูปถ่ายสวย ๆ มาให้ได้ชมกันมากมาย  และแล้วความสนุกสนานสำราญใจก็ได้จบลงเมื่อแพล่องกลับไปสู่ร้านมายาวี และในค่ำคืนนี้ที่พักของคณะเราก็อยู่ติดกับแม่น้ำปัตตานี คือ โรงแรมเดอะริเวอร์  ปัตตานี ที่เราใช้เป็นที่พักผ่อนตลอดระยะเวลาที่อยู่ใน 3 ชายแดนใต้ ทำให้การเดินทางลงพื้นที่ ปัตตานีของเรา ได้พบเจอเรื่องราวดีๆ อีกมากมาย



เริ่มต้นวันที่ 2 ของการเดินทาง

มิตรภาพระหว่างทาง คณะเราพักผ่อนชาตแบตกันอย่างเต็มที่แล้ว ช่วงเช้าเช้าลงมารับประทานอาหารเช้า ริมแม่น้ำปัตตานี ตามเมนูที่โรงแรมมีให้เลือก ใครอยากทานอะไรก็สั่งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน  ซึ่งในห้องอาหารจะมีบริการ ชา กาแฟ  และขนมปัง เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์สองฝั่งของแม่น้ำใสสะอาด ร่มเย็น เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด เพิ่มอรรถรสในการทานอาหารมากขึ้นอิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้ว  คณะเราพร้อมออกเดินทางไปยัง ศูนย์เรียนรู้พิพิธภัณฑ์ปราชญ์ท้องถิ่น มูลนิธิอาจารย์ฮัจจียร์ สุหลง โต๊ะมีนา โดยมี  คุณหมอเพชรดาว โต๊ะมีนา มาบรรยายเป็นความรู้ให้กับคณะเราได้ฟังความเป็นมาเป็นไปของมูลนิธิฯ  พยายามใช้พลังของชุมชนและผู้คนพัฒนาศักยภาพของพื้นที่บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและความเข้าใจ ในอัตลักษณ์ท้องถิ่น 

 คุณหมอเพชรดาว โต๊ะมีนา




โดยที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าก่อนหน้านี้คนในพื้นที่ต่างศาสนาไม่ไว้วางใจพวกเขาเลย แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้เปลี่ยนความไม่ไว้วางใจนั้นไปสู่มิตรภาพและความเชื่อใจ เปลี่ยนบางพื้นที่เล็กๆ ในจังหวัดชายแดนใต้ให้กลับไปเหมือนก่อนเหตุการณ์ความไม่สงบ ที่มาให้ความรู้กับคณะเราอีกคือ คุณจตุรนต์  เอี่ยมโสภา สมาชิกสภาจังหวัดปัตตานี และกรรมการมูลนิธิฯ ที่นี่เราได้เจอคุณมูฮัมหมัดอารีฟ แวสาแล ผู้ช่วยคุณหมอเพชรดาว อีกทั้งยังได้เลี้ยงอาหารว่าง ที่มีโรตีกรอบ จิ้มกับนมข้นและขนมอร่อยอีกหลายอย่าง รับรองคณะเราอีกด้วย ไม่เท่านั้น คุณหมอ ยังได้ส่งลองกอง จากสวนของคุณหมอ  ส่งมอบให้คณะได้ชิมความหอมหวานถึงรงแรมที่พัก  การมาเข้าชมพิพิธภัณฑ์ วิธีการต้องโทรแจ้งนักมายล่วงหน้า เพื่อที่จะได้จัดเตรียมต้อนรับผู้ที่สนใจมาศึกษาถึงประวัติความเป็นมา อาจารย์ฮัจจียร์ สุหลง โต๊ะมีนา พยายามใช้พลังของชุมชนและผู้คนพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ บนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมและความเข้าใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น โดยที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าก่อนหน้านี้คนในพื้นที่ต่างศาสนาไม่ไว้วางใจพวกเขาเลย แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้เปลี่ยนความไม่ไว้วางใจนั้นไปสู่มิตรภาพและความเชื่อใจ เปลี่ยนบางพื้นที่ในจังหวัดชายแดนใต้ให้กลับไปเหมือนก่อนเหตุการณ์ความไม่สงบ 




ก่อนกลับพวกเราก็ได้รับเกียรติจากท่านเด่น โต๊ะมีนา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
และอดีตสมาชิกวุฒิสภา จ.ปัตตานี ซึ่งท่านเป็นคุณพ่อของคุณหมอ มาถ่ายภาพร่วมกับคณะเราด้วย


อาหารกลางวันวันนี้คงจะไม่ง่ายที่จะหารับประทานได้ทั่วไป  เนื่องจากเป็นอาหารพื้นบ้านประจำท้องถิ่น  ซึ่งคณะได้รับเกียรติจากคุณมูฮัมหมัดอารีฟ แวสาแล (คุณยี) ให้เข้าไปร่วมในพิธีฉลองแต่งงานของชาวมลายู  ที่เรียบง่ายและเป็นกันเองมาก เลี้ยงอาหารกันตลอดทั้งวัน คือใครอยากอาหารมีพร้อมเสริฟตลอดเวลา ซึ่งคุณยี บอกกับคณะเราว่าในการทำอาหารให้กับแขกที่มานั้น คัดสรรแม่ครัวที่มีฝีมือในอาหารแต่ละชนิดมาเป็นผู้ปรุงอาหาร อและจะทำเป็นหม้อใหญ่ๆ  เพื่อจะได้มีเสริฟตลอด ซึ่งในการจัดโต๊ะก็เหมือนกับโต๊ะจีนที่บ้านเรานั่นเอง ถ้าที่นี่เราก็คงจะเรียกเป็นโต๊ะมลายู ก็คงได้เนอะ ไม่น่าเชื่อว่าอาหารพิ้นบ้านที่เรารับประทานนั้นจะอร่อยถูกปากคณะเรา ทานกันอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียวเชียว เวลามีไม่มากคณะเราต้องรีบเดินทางไปยัง จังหวัดยะลา ที่ได้รับเกียรติจากท่านวันมูหะมัดนอร์ มะทา  ประธานรัฐสภา คนปัจจุบัน ได้เปิดบ้านชมบ้านใหญ่ศรียะลาของ "ประธานสภาฯ" ให้ได้เข้าชม








บ้านใหญ่ศรียะลาของ "ประธานสภาฯ" 

ต้อนรับคณะได้ไปเยี่ยมชม  ซึ่งขอบอกว่าสวยงามมาก เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว  

สวนสวย ตกแต่งอย่างสวยงามสะอาด และเป็นระเบียบ ในแต่ละห้อง แต่ละมุม มีความเป็นเอกลักษณ์
โดยเฉพาะภายในส่วนของตัวบ้าน  ที่ตกแต่งด้วยโต๊ะทานข้าวมากมาย สำหรับใช้เป็นสถานที่ประชุม
และสังสรรค์กันได้อย่างลงตัว 


มาทำความรู้จัก ร้านจำหน่ายฮิญาบ ชื่อดังของปัตตานี  โด่งดังไปไกลถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย  ที่เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จัก ร้าน ZU UAN ร้านจำหน่ายฮิญาบ ที่ได้ลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จากสวารอฟสกี้ (Swarovski) ประเทศออสเตรเลีย ที่จะนำคริสตัล มาประดับประดาติดลงบนผืนผ้าฮิญาบที่มีสีสันให้เลือกหลากหลาย  ดีไซเนอร์ (designer) คนไทยเป็นผู้ออกแบบ  สนนราคาเริ่มต้นจากหลักร้อย ไปจนถึงหลักแสน  มีความสวยงามอลังเป็นอย่างมาก  ซึ่งที่นี่เราได้เจอเจ้าของร้านคือ คุณธาราทิพย์  ปาตัน  (ซูอ้วน)  และคุณวันฮูเซ็น มานิตย์พันธ์  อีกทั้งยังมี คุณฮายันตี  สะนิ  เป็นผู้จัดการร้าน  คุณอารียา  กูนา  เป็นรองผู้จัดการร้าน และคุณธัญมลง สุขาเชิน เป็นดีไซเนอร์ ให้การต้อนรับคณะเรา   

ร้าน ZU UAN ร้านจำหน่ายฮิญาบ ลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จากสวารอฟสกี้ (Swarovski)
รีวิว : https://www.toptotravelvariety.com/2023/09/zu-uan.html 




 คุณธาราทิพย์  ปาตัน  (ซูอ้วน)

ในครั้งนี้  ซูอ้วน  ส่งมอบความประทับใจ คณะได้เลือกผ้าฮิญาบผืนพิเศษ ที่ปักคริสตัลของสวารอฟสกี้ เลือกสีที่อยากได้กันคนละผืนอีกด้วย  เพื่อให้คณะเราสวมใส่ในวันถัดไป  ที่วังยะหริ่ง บอกเลยว่าสวยสมราคามาก  ที่นี้ก็ได้เวลาอาหารค่ำอีกหล่ะ คืนนี้เราได้ไปรับประทานอาหารที่บ้านสวนมายาวี  ที่บรรยากาศร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์  ประดับด้วยไฟส่องสว่างสวยงามในยามค่ำคืนมาก คุณนารีนาถ มั่นใจเกษตร (คุณนับ) จัดเมนูอาหารแสนอร่อย ไม่ว่าจะเป็นแกงส้มใส่ข้าวโพด ก๋วยเตี๊ยวเรือ ราดหน้า  สุกี้แห้ง  ผัดสะตอ  และอื่น ๆ อีกมากมาย  มาให้คณะเราได้ทานกันอย่างเต็มที่  และไม่เท่านั้นในบ้านสวนมายาวี 
ยังเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้า OTOP ที่ขึ้นชื่อโดยเฉพาะกระเทียมดำ  ซึ่งได้รับรางวัลคุณภาพสินค้ามาการันตีอีกด้วย ปิดท้ายค่ำคืนนี้ก่อนกลับที่พักอันแสนสบายของคณะเรา ณ โรงแรม เดอะริเวอร์ ปัตตานี

วันที่ 3 ของการเดินทาง

การเดินทางทำให้เข้าใจโลกมากขึ้น ได้เห็นผู้คน...  สวัสดียามเช้า ณ โรงแรม  เดอะริเวอร์  หลังทานอาหารเช้าอันแสนอร่อยกันแล้วก็พร้อมเดินทางกันต่อ 




ในวันนี้คณะเรา ได้เข้าชมวังยะหริ่ง  จังหวัดปัตตานี  ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2438 ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสุรสงคราม เป็นวังที่มีลักษณะเฉพาะตัวด้วย สถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างไทยมุสลิม จีน และยุโรป ตัวอาคาร 2 ชั้น มีลักษณะครึ่งตึกครึ่งไม้ ชั้นล่างเป็นลานโล่ง ใต้ถุนตึกสูงชั้นบนแบ่งเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีห้องพักของเจ้าเมืองและบุตรธิดา  ช่องรับแสงประดับด้วยกระจกสีสด ช่องระบายอากาศ หน้าจั่วทำด้วยไม้ฉลุลวดลายงดงาม จุดเด่น คือ บันไดโค้งแบบยุโรปทอดขึ้นสู่ระเบียงทั้งสองด้าน จากระเบียงมีประตูเปิดสู่ห้องโถงใหญ่ ลักษณะคล้ายท้องพระโรง บริเวณโดยรอบแวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้ร่มรื่นอายุกว่า 100 ปี   






อีกทั้งยังเคยเป็นที่พักของ พลเอก ณรงค์ เด่นอุดม หรือ “คุณลุงติ๋ว” หรือ ต่วนกูอับดุลเลาะ ท่านเคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 และเป็นที่ปรึกษากองทัพบก เป็นบุคคลสำคัญที่เป็นที่ยอมรับอย่างสูงในความรู้ความสามารถ ความดี และเป็นแบบอย่างที่ดีงาม จึงเป็นความภาคภูมิใจของคนปัตตานีอย่างมาก



โดย พลเอก ณรงค์ เด่นอุดม สืบเชื้อสายสุลต่านฟาฏอนี (ราญาฟาฏอนี) เป็นลูกหลาน “ตึงกูลามีเด็น” อดีตราญาปาตานีดารุสสลาม เกิดที่บ้านแขก ธนบุรี กรุงเทพฯ สมรสกับ ตึงกูซาบีดะห์ หรือ วุจจิรา พิพิธภักดี บุตรีของ พระพิพิธภักดี อดีตเจ้าเมืองสตูล มีบุตรด้วยกัน 3 คน จบการศึกษาจากสวนกุหลาบ และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าฯ เคยรับราชการในกองทัพบก แม่ทัพภาคที่ 4 ในปี 2542-2544 หลังเกษียณราชการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวที่กรุงเทพฯ และที่วังยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี   

ทั้งนี้  “วังยะหริ่ง” เป็นที่รู้จักไปทั่วเมื่อครั้งถูกถ่ายทอดผ่านงานเขียนด้วยฝีมือของ “พนมเทียน” หรือ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ และมีโอกาสโลดแล่นผ่านบทละครทางโทรทัศน์ในเรื่อง “มัสยา” ซึ่งผู้ประพันธ์ได้แรงบันดาลใจและผูกโยงเค้าโครงเรื่องจากการได้สัมผัสกับสถานที่แห่งนี้  รวมทั้งภาพยนตร์เรื่อง ละติจูดที่6 เรื่องราวความรัก ความศรัทธา ท่ามกลางสงคราม ความขัดแย้ง และคราบน้ำตา ภายใต้การสนับสนุนของกองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือที่เรารู้จักกันในชื่อย่อ กอ.รมน. ซึ่งการเข้าชมสามารถติดต่อขออนุญาตได้ที่ทายาทเจ้าของวังและแล้วก็ถึงช่วงเวลาอาหารกลางวัน คุณหนึ่งฤทัย  อับดุลบุตร (หม่อมอูม) เหลนเจ้าเมืองยะหริ่ง เจ้าของร้านอาหารข้าวผัดปูพี่อูมที่มีสาขาทั้งหมด 4  สาขาแต่วันนี้เราไม่ได้ทานข้าวผัดปู เพราะหม่อมอูมเตรียมเมนูสุดพิเศษ มาเที่ยวภาคใต้ต้องห้ามพลาด ลิ้มรสข้าวยำฝีมือหม่อมอูม ตั้งใจทำให้กับคณะได้ลิ้มลองกัน โดยปกติที่ร้านไม่ได้จำหน่าย จัดให้ทีมงานเป็นกรณีพิเศษเฉพาะแขกของหม่อมอูม เท่านั้น  


ข้าวยำสูตรหม่อมอูม ลิ้มลองแล้วบอกเลยว่ารสชาติอร่อยครบเครื่องอย่างพิถีพิถัน เพราะเครื่องเยอะมากมายใช้ผักถึง 33 ชนิด ผักถูกหั่นอย่างละเอียดและปราณีตมาก รวมไปถึงน้ำบูดูสูตรพิเศษสุด รับประทานแกล้มกับ ไก่กอแระ ปลากอแระ ผักเคียง ที่มี แตงกวา พริกขี้หนู มะเขือ สะตอ โดยเฉพาะเมื่อทานข้าวยำไปแล้ว ดื่มน้ำชาตามลงไป มันวิเศษมากมาย  และปิดท้ายกันด้วย ผลไม้พื้นบ้าน ลองกอง และรูกูอาหารมื้อนี้มันช่างดีต่อสุขภาพจริง ๆ 




การเดินทางครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้.......แต่ยังอบอุ่นอยู่ในหัวใจเสมอ จากนั้นคณะเราก็เดินทางต่อไปเพื่อเยี่ยมชมสถาบันการศึกษาปอเนาะอิฮ์ซานียะห์ ดัรฮัม โดยการต้อนรับอย่างดีจาก คุณมูฮำมัดซูวรี  สาแล นายกสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้  




ซึ่งในครั้งนี้คณะเราได้เข้าใจถึงการเป็นผู้ให้ สถานที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งช่วยเหลือและพัฒนาเด็กที่ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยที่ได้รับการสั่งสอนอบรมดูแลจากครู ที่ไม่ได้รับเงินเดือนมากมาย แต่ทำด้วยใจให้ความเมตตากับเด็กๆ เหล่านี้เพื่อส่งออกสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพสามารถเลี้ยงตัวเองได้และมีอนาคตที่ดีต่อไป  



หลังจากนั้นคณะเราก็ได้ไปเที่ยวชม ทะเลแหลมตาชี หรืออีกชื่อเรียกคือ แหลมโพธิ์ ถ่ายรูปสวยๆ เรือกอและแหลมโพธิ์ ถ่ายภาพ เรือกอและ ที่จอดอยู่ริมน้ำบริเณป่าชายเลนบนฝั่ง ชื่นชมอันซีนความงามจากธรรมชาติ ที่ปลายขวานทองของไทย โดยรอบของ แหลมตาชี บริเวณโดยรอบมีทั้งรีสอร์ทและบ้านพักตากอากาศเรียงรายตลอดเส้นทางมีนักท่องเที่ยวท้องถิ่นพอสมควร ที่นี่ค่อนข้างจะปลอยภัยในเรื่องของการเดินทาง สามารถเดินทางด้วยทางเรือจากปากแม่น้ำปัตตานีตัดตรงเข้าสู่แหลมตาชี คณะเราได้เก็บภาพบรรยากาศสวยของท้องทะเล น้ำทะเลสีเขียวสวยงาม มีกังหันอยู่อีกฝั่งของทะเล สุดท้ายสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้ความเหนื่อยล้าที่มีหายไปหมดสิ้น เหลือแต่ความสวยงามของธรรมชาติ ได้ถ่ายรูปกับขอนไม้ธรรมชาติ  และเรือกอและ ที่มีเหลืออยู่เพียงลำเดียวในเวลานั้น เพราะที่เหลือออกทะเลไปแล้ว ความงดงามตระการตา ที่ทุกคนต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง


ส่วนในค่ำคืนนี้ เป็นคืนพิเศษอีกเช่นกัน คณะเราได้รับเกียรติจาก ท่านพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชาการจังหวัดปัตตานี  เลี้ยงอาหารค่ำ จวนผู้ว่าปัตตานี  หรืออีกชื่อ คือเรือนชบา เมื่อเข้าไปข้างในอลังการมาก อาหารที่ท่านผู้ว่านำมาเลี้ยงคณะเราเป็นอาหารท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นขนมจีนน้ำยาใต้ สะเต๊ไก่และเนื้อ  ข้าวยำ  อื่น ๆ อีกมากมาย  ตบท้ายด้วยลองกอง และทุเรียนทรายขาวที่ขึ้นชื่อ ทั้งแบบแช่แข็งและทานสด  มาถึงปัตตานี ต้องห้ามพลาด  ก่อนกลับไปพักผ่อนในคืนนี้  คณะเราได้เก็บบรรยากาศ ร่วมถ่ายภาพหมู่ในท่าชบาบาน เพราะจังหวัดปัตตานี มีดอกชบา เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดนั่นเอง และแล้วค่ำคืนอันแสนพิเศษนี้จบลงด้วยความประทับใจที่ไม่มีวันลืม ด้วยความกรุณาของท่าน พาตีเมาะ  สะดียามู ผู้ว่าราชาการจังหวัดปัตตานี


ท่านพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชาการจังหวัดปัตตานี



 วันสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย เราได้รู้จักปัตตานีและจังหวัดชายแดนภาคใต้ในอีกแง่มุมอย่างคาดไม่ถึง หลังทานข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว คณะเราก็เตรียมตัวออกเดินทางไปหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ความศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองปัตตานีมาแต่โบราณ ตั้งอยู่ในตัวเมืองปัตตานี เป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองปัตตานี ขอพรรับความสำเร็จ เดินชมย่านชุมชนเมืองเก่าปัตตานี ตั้งอยู่ติดกับศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เป็นชุมชนชาวจีนมาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ซึ่งประวัติของชุมชนมีความเกี่ยวกันกับการสร้างศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว 


สตรีทอารท์ รวมถึงบ้านเลขที่ 1 ซึ่งเจ้าของคือเจ้าของโรงแรม CS Hotel โรงแรมชื่อดังในปัตตานี ให้เก็บภาพบรรยากาศสวยๆ อีกด้วยจากนั้นคณะเดินทางต่อไปยังตลาดกิมหยง หาดใหญ่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องแวะมาจับจ่ายซื้อของฝากโดยเฉพาะ ผลไม้  ถั่วหลากชนิด ไก่ทอดหาดใหญ่ ผ้าปาเต๊ะราคาไม่แพง มาตลาดกิมหยงก็ถือว่ามาถึงหาดใหญ่หล่ะ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา ได้เวลาเดินทางกลับ กทม คณะเราก็นั่งเครื่อง จากสนามบินหาดใหญ่  มายังสนามบินดอนเมือง  




หมดเวลาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในครั้งนี้แล้ว  คณะเราได้พบได้เห็นได้เจออะไรอีกมากมาย  ที่เราอยากให้ทุกคนได้ไปสัมผัสและไปเยือน 3 จังหวัดชายแดนใต้เหมือนกับคณะเรา  เมื่อได้ไปแล้วก็อยากกลับมาอีก สนุกสนาน อิ่มเอมใจ ประทับใจสุดๆ ปลอดภัย ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด คนใน 3 ชายแดนใต้ รอทุกคนไปสัมผัส ไปเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเที่ยว 3 ชายแดนใต้หวังว่าผู้อ่านคงอยากจะไปเยือนกันแล้วใช่มั้ย



ทริปท่องเที่ยวสุดประทับใจครั้งนี้  ขอขอบพระคุณ บริษัท 9 หน้าดี จำกัด นำทีมโดย คุณชดา บูรณพิมพ์ คุณรุ่งนภา ปักษี ผู้จัดโครงการเดินทางท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและผู้ร่วมเดินทางมาทำกิจกรรมเชิงวัฒนธรรม เพื่อเป็นประโยชน์ แก่ประชาชน และนักท่องเที่ยว ได้ทราบถึงเสน่ห์ วัฒนธรรม ที่หลากหลาย อาหารประจำถิ่น  ของ  3 จังหวัดชายแดนใต้ในครั้งนี้ เป็นอย่างสูง


จากคนไม่รู้จักกลายเป็นคนร่วมทางที่รู้ใจ
ขอขอบคุณทีมงานและผู้ร่วมเดินทางการครั้งนี้..........
การท่องเที่ยวให้อะไรมากมายที่ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำตลอไป

สุดท้ายก็ปิดทริปกันไปด้วยมิตรภาพดีๆ ที่ยังคงยืนยาวจนถึงปัจจุบัน