18 มิถุนายน 2564

เรียกร้องห้างไทยขาย“ไก่ไร้ฝุ่น” ลดต้นตอใหญ่ฝุ่นพิษ PM 2.5!

แคมเปญผู้บริโภคที่รัก และ วรรณสิงห์ประเสริฐกุล ร่วมวิพากษ์ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งมีที่มาจากอุตสาหกรรมการผลิตไก่ พร้อมเสนอวิธีแก้ไขผ่านการรวมพลังผู้บริโภคเรียกร้อง 4 ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำเพิ่มสัดส่วนขาย“ไก่ไร้ฝุ่น”

ฝุ่นพิษ PM 2.5 คือปัญหามลภาวะระดับชาติในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแต่ทราบหรือไม่ว่าอีกหนึ่ง                    อุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบต่อสภาพอากาศของไทยเป็นอย่างมากคืออุตสาหกรรมการผลิตไก่เพื่อบริโภคนั่นเอง หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าฝุ่นพิษ PM2.5 จะเกี่ยวข้องกับไก่ได้อย่างไร Oxfam (อ็อกแฟม)                   

ประเทศไทยผู้ดำเนินงานแคมเปญ‘ผู้บริโภคที่รัก’ จึงได้จัดเสวนา“แฉเบื้องหน้าเบื้องหลังอุตสาหกรรมการผลิตไก่”ผ่านเฟสบุ๊คไลฟ์ทางแฟนเพจ‘ผู้บริโภคที่รัก’ เพื่อชี้ให้เห็นปัญหาและผลกระทบของกระบวนการผลิตไก่ที่ก่อให้เกิดมลภาวะโดยมีคุณฐานิตาวงศ์ประเสริฐเจ้าหน้าที่รณรงค์องค์การอ็อกแฟมประเทศไทย (Oxfam) มาเปิดเผยเรื่องราวของ“ไก่อมฝุ่นพิษ” พร้อมวิทยากรรับเชิญอย่างคุณวรรณสิงห์ประเสริฐกุลคอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดังที่มีความสนใจและมีบทบาทในการรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อมร่วมรับฟังและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นจากอุตสาหกรรมในการผลิตไก่โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้

อุตสาหกรรมการผลิตไก่กับฝุ่นพิษ PM2.5 เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
“ไก่ถือเป็นเนื้อสัตว์ที่อยู่ใกล้ตัวมนุษย์ที่สุดและเป็นหนึ่งในเนื้อสัตว์ที่ต้องการของตลาดทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือนมากที่สุดโดยเฉลี่ยแล้วคนไทยบริโภคไก่เฉลี่ยเกือบ 30 กิโลกรัมต่อปีนอกจากนี้ประเทศไทยยังส่งออกไก่เป็นอันดับ 4 ของโลกหากนับสหภาพยุโรปรวมเป็น 1 ประเทศด้วยปริมาณราว 910 ตันซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมากแต่ทว่าเมื่อสืบไปหาต้นตอหลักของปัญหากลับไม่ใช่ที่ตัวไก่แต่เป็น‘การเผาป่า’ ซึ่งเป็นหนึ่งในวงจรของการปลูกข้าวโพดเพื่อเลี้ยงไก่และเมื่อความต้องการในการบริโภคไก่มากขึ้นความต้องการอาหารสัตว์ในการเลี้ยงไก่ก็ยิ่งเพิ่มสูงตามไปด้วยโดยเฉพาะไก่ที่เลี้ยงในระบบอุตสาหกรรมที่จะถูกขุนด้วยอาหารสูตรพิเศษที่ใช้เวลาเลี้ยงเพียง 1 เดือนกว่าๆก็ถึงเกณฑ์ที่จะนำไปบริโภคในขณะที่ไก่บ้านทั่วไปต้องใช้ระยะเวลาถึง 5 เดือนจึงจะโตเต็มไว้และนำไปบริโภคได้เมื่อความต้องการเพิ่มมากขึ้นก็ก่อให้เกิดการขยายพื้นที่เพาะปลูกจนต้องขยายขึ้นไปปลูกบนภูเขาโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือของไทยเหตุที่ต้องเผาเพื่อเตรียมเพาะปลูกอันเนื่องจากพื้นที่มีความลาดชันจึงไม่สามารถไถกลบแบบปกติได้นอกจากนี้ยังเป็นวีธีที่ทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างต่ำและนี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดฝุ่นละอองและค่ามลภาวะเพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจสูงจนในบางช่วงประเทศไทยมีค่าฝุ่นสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลกโดยเหตุการณ์เช่นนี้” คุณฐานิตาวงศ์ประเสริฐบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับที่มาของไก่อมฝุ่นพิษ

คุณวรรณสิงห์ประเสริฐกุลได้แสดงความคิดเห็นหลังจากได้รับฟังเรื่องราวของไก่อมฝุ่นพิษว่า“แม้ว่าฝุ่นพิษ PM 2.5 จะเกิดจากหลายที่มาที่ไปไม่ว่าจากรถยนต์โรงงานหรือการก่อสร้าง แต่ทราบหรือไม่ว่าการเผาในภาคเกษตรกรรมในประเทศเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดฝุ่นพิษ PM2.5 มากที่สุดและเมื่อศึกษาไปยังต้นตอของปัญหาเราจะพบว่า 30-40%   เกิดจากการเผาเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ผมเชื่อว่าสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องพื้นฐานที่สำคัญในสังคมและเชื่อมโยงทั้งในส่วนของสิทธิทางสังคมความเสมอภาครวมไปถึงความเท่าเทียมดังนั้นพฤติกรรมต่าง ๆ รวมถึงพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์เราเอง ก็สามารถส่งผลกระทบได้ในวงกว้างไม่เพียงแต่ในเรื่องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ดังนั้นเราทุกคนจึงจะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบร่วมกัน”

เกษตรกรไม่ใช่อาชญากรเป็นเพียงเหยื่อรายหนึ่งของวงจร
คุณฐานิตากล่าวต่อไปว่า“เกษตรกรเป็นเพียงฟันเฟืองเล็กๆในวงจรอุตสาหกรรมปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เมื่อความต้องการบริโภคไก่เพิ่มขึ้นเลยต้องปลูกข้าวโพดเพิ่มขึ้น เพื่อส่งต่อให้กับนายทุนที่ไมได้มีส่วนรับผิดชอบในขั้นตอนหลังเก็บเกี่ยว ทำให้พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งเวลามีข่าวเกษตรกรจะตกเป็นจำเลยสังคมในอันดับแรกไม่ใช่พวกเขาไม่มีความรู้แต่เขาไม่มีทางเลือกเพราะการปลูกข้าวโพด 1 ไร่ได้กำไรเฉลี่ยเพียง 1,600-2,000 บาทเท่านั้นเมื่อหักลบต้นทุนแล้วกำไรที่ได้ก็มีมูลค่าน้อยมาก และราคาก็ไม่สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้อันเนื่องมาจากต้นทุนของฟาร์มไก่ 40-50%มาจากราคาของอาหารสัตว์ ดังนั้นหากต้นทุนของอาหารที่สำคัญอย่างข้าวโพดมีราคาสูงขึ้นก็จะทำให้ราคาไก่เพิ่มสูงตามไปด้วยเช่นกัน ทำให้เกษตรกรไม่มีทางเลือกผนวกกับพื้นที่เพาะปลูกที่มีความลาดชันทำให้การเผาหน้าดินและหยอดเมล็ดเป็นวิธีที่ง่ายประหยัดต้นทุนที่สุดสำหรับการปลูกข้าวโพด ซึ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาระดับโครงสร้างที่ไม่ใช่แค่ภาคเกษตรกรรมเท่านั้น”

คุณวรรณสิงห์ได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า“เมื่ออุตสาหกรรมการผลิตไก่กลายเป็นต้นตอใหญ่ของฝุ่นพิษ PM 2.5 ทุกฝ่ายจะต้องคิดและทำงานร่วมกันว่าถ้าเกษตรกรจะต้องเตรียมพื้นที่เพาะปลูกโดยไม่ใช้วิธีการเผาในส่วนของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นจะทำอย่างไรรัฐจะช่วยสนับสนุนเครื่องมือให้ได้หรือไม่หรือมีโรงงานไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่ทำให้ของเหลือจากภาคเกษตรกรรมเหล่านี้อย่างซังช้าวโพดฟางข้าวหรือชานอ้อยต่างๆกลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าในเชิงพลังงานได้หรือไม่ หรืออีกทางหนึ่งคือบริษัทที่รับซื้อไก่จะรับผิดชอบในต้นทุนเหล่านั้นไว้เอง เป็นกระบวนการที่จะต้องคิดตามมาไม่สามารถเดินไปบอกเกษตรกรได้ว่าห้ามเผาเป็นสิ่งทีเค้าจะไม่เข้าใจเลย แต่การเข้าใจเรื่องต้นทุนจะทำให้เรามองหาว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนส่วนนั้นกันแน่ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

ไก่ไร้ฝุ่นคือความหวังของผู้บริโภค
แคมเปญผู้บริโภคที่รักเชื่อมั่นและสนับสนุนความร่วมมือที่จะแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเราเชื่อว่าแคมเปญนี้
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายสามารถมาร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยกันได้ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไก่อุตสาหกรรมข้าวโพดรวมถึงผู้ที่มีบทบาทสำคัญอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตซึ่งเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคและมีศักยภาพในการดำเนินนโยบายได้อย่างรวดเร็วและอิสระนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในสังคมที่ดีขึ้นที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อผผู้บริโภคด้านความปลอดภัยแต่ยังรวมไปถึงการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและความเป็นธรรมต่อเกษตรกรได้อีกด้วยแต่อย่างไรก็ตามเราจะขาดแรงผลักดันและสนับสนุนจากผู้บริโภคไม่ได้ เราจึงจึงอยากเชิญชวนให้ผู้บริโภคร่วมกันใช้เสียงที่ตัวเองมีรวมพลังสร้างความเปลี่ยนแปลง ผ่านการร่วมลงชื่อในแคมเปญไก่ไร้ฝุ่นทางเว็บไซต์Change.org/HazeFreeChickenเรียกร้องให้ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ 4 แบรนด์ได้แก่บิ๊กซี (Big C), โลตัส (Lotus's), (ท็อปส์) Tops และแมคโคร (Makro) เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค ด้วยการเพิ่มสัดส่วนในการจัดจำหน่ายไก่ที่ถูกเลี้ยงโดยข้าวโพดที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการเผาไร่ หรือ“ไก่ไร้ฝุ่น” โดยเราเชื่อว่า Haze Free Chicken หรือไก่ไร้ฝุ่นคือความหวังของผู้บริโภคที่ดีต่อโลกและดีต่อปอดโดยองค์กรไม่ได้ต้องการให้คนเลิกบริโภคไก่แต่มีวัตถุประสงค์ให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้ออาหารที่ดีมีความปลอดภัยไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นธรรมต่อเกษตรกรรวมถึงรู้ที่มาของอาหารว่าสิ่งที่เรารับประทานผ่านกระบวนการอะไรมาบ้างพลังของผู้บริโภคมีส่วนอย่างยิ่งในเชิงนโยบายของซูเปอร์มาร์เก็ตยิ่งมีผู้เรียกร้องมากเท่าไหร่ยิ่งมีพลังในการทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตหันมารับฟังได้ง่ายขึ้นการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทำอยู่แล้ว แคมเปญของเราแค่เป็นการนำเสนอข้อเรียกร้องเพื่อให้ซูเปอร์มาร์เก็ตตระหนักถึงความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น แม้ตอนนี้จะยังไม่มีไก่ไร้ฝุ่นให้ซื้อในท้องตลาดแต่เราเชื่อว่า เสียงของผู้บริโภคมีพลังที่จะทำให้ไก่ไร้ฝุ่นถูกนำมาขายในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างแน่นอน” คุณฐานิตากล่าวสรุป

ร่วมรวมพลังผ่านการรณรงค์และลงชื่อในแคมเปญไก่ไร้ฝุ่นเรียกร้องให้ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำเพิ่มเพิ่มสัดส่วนในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากไก่ที่บริโภคข้าวโพดที่เพาะปลูกโดยไม่ผ่านกระบวนการเผาไร่ได้ที่ Change.org/HazeFreeChicken