09 มิถุนายน 2568

กลุ่มบริษัทน้ำตาลราชบุรีจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม

เมื่อเร็วๆนี้ นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานเปิดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในโครงการปลูกป่าไม้ "รักษ์โลก รักษ์ดิน ลดร้อน" ณ ต.อ่างหิน อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ซึ่งดร.อารยา อรุณานนท์ชัย ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทน้ำตาลราชบุรีร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สํานักงานสิ่งแวดล้อมภาค 8ราชบุรี โดยมีนายตรีทิพ อรุณานนท์ชัย,นางสาวพวงทอง ลลิตไพศาล, ดร.สุรพล ชามาตย์, นายสุวัฒน์ ชลธารานที, นายพร ขำจา, นายนิติภัทร์ สวนเพลง, ผศ.ดร.ศศิธร หาสิน, นายณรงค์ ครองชนม์ และภาคส่วนต่างๆมาร่วมกันปลูกต้นไม้
กิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ดินด้วยการเร่งฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และปลูกป่าในพื้นที่ดินทราย จัดที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกอ้อยในพื้นที่ 250 ไร่เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยร่วมกันปลูกไม้ป่าในพื้นที่ป่าธรรมชาติ และปลูกต้นกระถินเทพณรงค์ ในพื้นที่ปลูกสร้างสวนป่า และการวัดต้นไม้เพื่อพัฒนาโครงการสำหรับการขอรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกภาคป่าไม้


ทั้งนี้เพื่อลดจุดความร้อนในพื้นที่ดินทรายจัดสร้างสมดุลของระบบนิเวศน์ดิน และน้ำด้วยการช่วยปกป้องผิวดินให้ชุ่มชื้น ดูดซับน้ำฝน และค่อยๆ ปลดปล่อยความชื้นจากพื้นที่ป่าสู่พื้นที่เกษตรกรรมข้างเคียง เพื่อสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูลระหว่างบริษัทน้ำตาลราชบุรี จำกัด และชุมชนชนมิตรชาวไร่อ้อย และเพิ่มการดูดซึมก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์จากบรรยากาศ รวมทั้งร่วมแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้กับจังหวัดราชบุรี และตอบสนองต่อยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 20 ปี ด้านการสร้างการเติบโตคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนายั่งยืน SDG13 การปฏิบัติการอย่างเร่งด่วนเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ SDG 15 เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดิน และฟื้นสภาพป่าไม้ให้กลับมาใหม่ตามเป้าหมาย

08 มิถุนายน 2568

ไทยสร้างสถิติใหม่ไต่อันดับโลกจุดหมายจัดประชุมนานาชาติ

กรุงเทพฯ ขึ้นแท่นอันดับ 7 รวม 13 เมืองทำผลงานติดตารางจัดอันดับ

ประเทศไทยทำผลงานเด่นขึ้นแท่นจุดหมายการจัดประชุมนานาชาติอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน ตามรายงานการจัดอันดับประเทศและเมืองของ ICCA ในรอบปี 2567 กรุงเทพฯ ทำสถิติใหม่ผงาดสู่อันดับ 7 ของโลก ก้าวกระโดดครั้งสำคัญจากอันดับที่ 15 ในปี 2566 ในภาพรวมประเทศไทยมีเมืองติดอันดับรวมทั้งสิ้น 13 เมือง ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดเท่าที่ไทยเคยทำได้

สมาคมการจัดประชุมนานาชาติ (International Congress and Convention Association: ICCA) ได้เปิดเผยรายงาน GlobeWatch Business Analytics – Country & City Rankings ล่าสุดประจำปี 2567 ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ที่ประเทศเยอรมนี รายงานฉบับนี้ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากการจัดประชุมกว่า 11,000 รายการที่จัดขึ้นทั่วโลกในปี 2567 จากการวิเคราะห์ชี้ว่าภูมิภาคเอเชียมีความโดดเด่นได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 สำหรับการจัดประชุมนานาชาติ รองจากทวีปยุโรปในส่วนของประเทศไทยพบว่า ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 158 งาน เพิ่มขึ้นจาก 143 งานในปี 2566 ทำให้ประเทศไทยขยับจากอันดับที่ 26 ของโลกในปี 2566 ขึ้นสู่อันดับที่ 25 ในปี 2567 พร้อมทั้งครองอันดับ 5 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียนผลงานที่โดดเด่นสุดในระดับเมืองคือ กรุงเทพฯ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติรวม 115 งาน ก้าวขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก ในฐานะเมืองจุดหมายปลายทางการประชุมนานาชาติระดับโลก ซึ่งเป็นการก้าวกระโดดจากอันดับที่ 15 ในปี 2566 อีกทั้ง กรุงเทพฯ ได้รับการจัดอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน



นอกจากนี้ กรุงเทพฯ ยังได้รับการยืนยันจาก Cvent ในการประกาศรายชื่อ 2025 Top Meeting Destinations ในงาน IMEX Frankfurt 2025 ว่าเป็นเมืองอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รองจากสิงคโปร์ ผลการจัดอันดับนี้อิงจากกิจกรรมของผู้วางแผนและผู้จัดงานในการจัดหาและการขอข้อเสนอ (RFP) สำหรับการจัดงานจากเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่มีมูลค่ารวมมากกว่า 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มการจัดหาสถานที่จัดงานจากทั่วโลกของ Cvent ในปี 2567 โดยเฉพาะในการดำเนินการผ่าน Cvent Supplier Network มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเครือข่ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับจัดหาสถานที่จัดงานจากทุกมุมโลก
อีกหนึ่งความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศไทยในรอบปี 2567 คือ มีจำนวนเมืองมากถึง 13 เมือง ได้รับการจัดอันดับในรายงานของ ICCA เป็นครั้งแรก นอกจากกรุงเทพฯ อีก 12 เมืองที่ได้รับการจัดอับดับประกอบด้วย เชียงใหม่ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม 12 งาน พัทยา 10 งาน ภูเก็ต 8 งาน ชลบุรี 3 งาน เชียงราย 2 งาน ปทุมธานี 2 งาน หัวหิน 1 งาน ขอนแก่น 1 งาน สมุย 1 งาน นครราชสีมา 1 งาน นนทบุรี 1 งาน และปัตตานี 1 งาน
นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการ และรักษาการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งกับผลการดำเนินงานโดยรวมของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพฯ ที่มีผลงานไต่อันดับโลกได้อย่างโดดเด่น
ในโอกาสนี้ ทีเส็บจึงขอขอบคุณสมาคมวิชาชีพนานาชาติที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในกรุงเทพฯ ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งกรุงเทพฯ และอุตสาหกรรมไมซ์โดยรวมของไทยมุ่งมั่นพัฒนามาตรฐานการดำเนินงานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ทีเส็บ ยังภาคภูมิใจที่เมืองทั้ง 13 แห่ง ได้รับการจัดอันดับในตารางสถิติของ ICCA สะท้อนถึงความหลากหลายของเมืองในประเทศไทยที่มีขีดความสามารถรองรับการจัดประชุมนานาชาติในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา เป็นสัญญาณที่ชัดเจนถึงขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้นของประเทศไทยในการจัดการประชุมของสมาคมนานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศ ประเทศไทยจึงมีทางเลือกสำหรับสถานที่จัดงานที่หลากหลายมากขึ้น แต่ละเมืองมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัว สามารถสร้างประสบการณ์ที่มีความหมายและน่าจดจำสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ อีกทั้งการจัดตั้งสำนักงานในแต่ละภูมิภาคของทีเส็บมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เมืองต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคของไทยเจาะตลาดไมซ์ สร้างแรงกระตุ้นให้เมืองเหล่านี้มีตำแหน่งในแผนที่ไมซ์ระดับโลก เพราะเชื่อว่าผลการจัดอันดับของ ICCA จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้แต่ละเมืองในประเทศไทยยกระดับผลงานเพื่อไต่อันดับต่อไป”

“อาเวีย พร็อพเพอร์ตี้” บุกตลาดทาวน์โฮมหรู รุกเปิด “เดอะพาร์คเลน15 สุขุมวิท-แบริ่ง”

ราคาเริ่ม 13.9 - 33.9 ลบ.* เปิดตัวครั้งแรกในงาน VVIP DAY 14-15 มิ.ย.นี้

“อาเวียพร็อพเพอร์ตี้” เจ้าตลาดโซนสุขุมวิท-แบริ่ง-สมุทรปราการ ไม่หวั่น เดินหน้าบุกตลาดทาวน์โฮมหรูอีกครั้ง เตรียมเปิดโครงการใหม่ “เดอะพาร์คเลน 15 สุขุมวิท-แบริ่ง” ทาวน์โฮม-บ้านแฝด ในสังคมสุดExclusive เพียง 16 ยูนิตเท่านั้น ราคาเริ่มต้นที่ 13.9-33.9 ล้านบาท เปิดให้ชมครั้งแรกในงาน VVIP Day พร้อมรับโปรสุดพิเศษ วันที่ 14-15 มิถุนายน 68 นี้ จองด่วน!!!

นายศุภกิจ ประมวลทรัพย์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อาเวียพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Avia Property Company Limited) เปิดเผยว่า อาเวียพร็อพเพอร์ตี้ เป็นผู้ประกอบการด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น ที่เชี่ยวชาญในพื้นที่ สุขุมวิท-แบริ่ง–พระประแดง–ปู่เจ้าสมิงพราย ภายใต้แนวคิด “มุ่งนำเสนอ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีความหลากหลาย และตรงกลุ่มเป้าหมายเป็นสำคัญ”โดยพัฒนาโครงการเพื่อขาย จนประสบความสำเร็จ และได้รับการตอบรับด้วยดีมาแล้วหลายโครงการ อาทิ พรีเมียร์ วิลล์ สุขุมวิท - ปู่เจ้า, พรีเมียร์ แกรนด์ สุขุมวิท - ปู่เจ้าสมิงพราย, เดอะ พาร์ค เลน 22, เดอะ แคนวาส สุขุมวิท - สำโรง, พรีเมียร์ ซิตี้ สุขุมวิท-ปู่เจ้า และ พรีเมียร์ ไพร์ม ล่าสุด ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ “เดอะ พาร์คเลน” ซึ่งเป็นแบรนด์ Hi-end ของอาเวียที่เคยเปิดมาแล้ว 3 โครงการ ได้แก่ เดอะพาร์คเลน 12 เอกมัย, เดอะพาร์คเลน 22 เอกมัย และ เดอะพาร์คเลน 24 สุขุมวิท-ลาซาล
สำหรับโครงการใหม่ “เดอะพาร์คเลน15 สุขุมวิท-แบริ่ง” ทาวน์โฮมและบ้านแฝดหรู พัฒนาภายใต้แนวคิด THE PHILOSOPHY OF LUXURY LIVING ในราคาเริ่มต้นที่ 13.9 - 33.9 ล้านบาท* เปิดตัวครั้งแรกในงาน VVIP DAY ในวันที่ 14-15 มิถุนายน 2568 นี้ ขนาดที่ดินในโครงการอยู่ที่ 1-2-47.8 ไร่ จำนวนยูนิต 16 ยูนิต เนื้อที่เริ่มต้น 24 - 53.2 ตารางวา โดยประกอบด้วยสินค้า 3 แบบคือ
ทาวน์โฮม 4.5 ชั้น ขนาด 302 ตารางเมตร จำนวน 6 ยูนิต มาพร้อมกับ 3 ห้องนอน , 1 ห้องอเนกประสงค์ / 1 ห้องนอน , 5 ห้องน้ำ, 1 ห้องนั่งเล่น , 1 ห้องรับประทานอาหาร , 1 ห้องครัว , 3 ที่จอดรถ
ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น ขนาด 275 ตารางเมตร จำนวน 8 ยูนิต 3 ห้องนอน , 4 ห้องน้ำ , 1 ห้องรับประทานอาหาร , 1 ห้องครัว , 3 ที่จอดรถบ้านแฝด 4.5 ชั้น ขนาด 542 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต 4 ห้องนอน , 7 ห้องน้ำ , 2 ห้องนั่งเล่น, 1 ห้องรับประทานอาหาร , 1 ห้องแม่บ้าน, 5 ที่จอดรถ

โดยตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยแบริ่ง 15 จัดว่าเป็นทำเลศักยภาพเชื่อมต่อหลายเส้นทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ใกล้ห้างสรรพสินค้า , คอมมูนิตี้มอลล์, โรงเรียน, โรงพยาบาล เดินทางสะดวก ทั้งเข้าและออกเมืองได้หลายสาย อยู่ใกล้ทางขึ้น-ลงทางด่วน รวมถึงใกล้สถานีรถไฟฟ้า ทั้ง BTS (สถานีแบริ่ง) และ MRT (สถานีศรีแบริ่ง)
พบกันครั้งแรก ในงาน VVIP DAY 14-15 มิถุนายนนี้ กับบ้านหรูดีไซน์ใหม่ที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ด้วย จำนวนยูนิตน้อย สงบ ให้ความเป็นส่วนตัว ที่ครบครันด้วยฟังก์ชั่นและพื้นที่ใช้สอยในตัวบ้านที่เหมาะกับการใช้ชีวิตที่ลงตัว สำหรับท่านที่จองในงานรับโปรโมชั่นพิเศษ ระบบ SCG Smart Living มูลค่า 100,000 บาท*, ระบบปรับคุณภาพอากาศให้บ้าน SCG Active AIR Quality รุ่น outdoor special ERV เพื่อสร้างอากาศคุณภาพที่ดี สะอาดและปลอดภัย
เดอะพาร์คเลน15 สุขุมวิท-แบริ่ง (The Park Lane15 Sukhumvit – Bearing) บริหารงานโดยบริษัท อาเวีย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถรายละเอียดโครงการและโปรโมชั่นดี ๆ ก่อนใคร ผ่านช่องทางไลน์ Line id : @503xzmez หรือ คลิก https://lin.ee/2CnGvR1 หรือ โทร.094-480-6111
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

3 โรงพยาบาล ในเครือ รพ.พญาไท-เปาโล เข้ารับประกาศนียบัตรรับรอง

 “การอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธภายใต้หลักพระธรรมวินัย”

     เมื่อเร็วๆ นี้ เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล โดย โรงพยาบาลพญาไท 3 โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ และโรงพยาบาลเปาโล รังสิต เข้ารับมอบประกาศนียบัตรรับรอง “การอุปัฏฐากพระสงฆ์อาพาธภายใต้หลักพระธรรมวินัย” จากโรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ ในงานวิชาการ “นวัตกรรมนำสุขภาวะ พระสงฆ์ไทยสู่ความยั่งยืน” ณ โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ สะท้อนมาตรฐานการดูแลพระภิกษุสงฆ์อาพาธที่เหมาะสมทั้งด้านการแพทย์และหลักพระธรรมวินัย 


โดยได้รับเกียรติจากท่านเจ้าคุณ สมเด็จพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก  เจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร เป็นประธานมอบใบประกาศแก่ นพ.สุรพล โล่ห์สิริวัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 3, นพ.จุมพล สิงห์หิรัญนุสรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ และนางสาวจิรวรรณ ผลเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารโรงพยาบาลเปาโล รังสิต โดยมี นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ร่วมแสดงความยินดี และกล่าวชื่นชมแนวทางการดูแลพระภิกษุอาพาธของเครือโรงพยาบาลฯ ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลที่สอดคล้องกับบริบทและสมณสารูป ภายใต้หลักคิด “ดูแลพระแบบพระ ไม่ใช่ดูแลพระแบบคนไข้ทั่วไป”

การรับรองในครั้งนี้เป็นผลจากการดำเนินงานภายใต้โครงการ “คุณพระช่วย ทำงานได้บุญ” ที่เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ริเริ่มขึ้น เพื่อพัฒนาระบบการดูแลพระภิกษุและสามเณรอาพาธให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านการรักษา ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาชีพและพระธรรมวินัย โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลในเครือผ่านการรับรองแล้ว 7 แห่ง และมีแผนขยายองค์ความรู้สู่โรงพยาบาลในเครือฯ ที่เหลืออีก 4 แห่งให้ครบถ้วนภายในปี 2568 เพื่อสร้างเครือข่ายบริการสุขภาพพระสงฆ์ที่ยั่งยืนและได้มาตรฐานทั่วทั้งเครือข่าย

07 มิถุนายน 2568

ร้านอาหารไทยรางวัล Thai SELECT signature award 2024 หนึ่งเดียวในพระนครศรีอยุธยา

กระทรวงพาณิชย์ผลักดันและส่งเสริมร้านอาหารไทยให้เข้มแข็ง สามารถยกระดับสู่มาตรฐานสากลประกอบกับการสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว ผ่านตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ซึ่งจะสร้างจุดขายสำคัญให้กับประเทศไทย และผลักดัน Soft power อาหารไทยนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับชุมชน ซึ่งได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าดำเนินการอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์ขอแนะนำร้านอาหารไทย ซึ่งเป็นร้านเดียวในจังหวัดอยุธยา ที่ได้รับรางวัล Thai SELECT Signature award 2024 โดยรางวัล Thai SELECT Signature Award เป็นรางวัลที่แสดงถึงคุณภาพและมาตรฐานของร้านอาหารไทยที่มีความโดดเด่นในด้านรสชาติ ความเป็นเอกลักษณ์ และการบริการที่ดีเยี่ยม คือร้าน The Artisans Ayutthaya ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 

เนตรนภางค์  หงษ์อุปถัมภ์ไชย  CMO ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด กล่าวว่า ร้าน The Artisans Ayutthaya เกิดจากแนวคิดต้องการช่วยเหลือคนในชุมชน โดยเฉพาะเหล่าป้า ๆ ยาย ๆ ที่มีฝีมือทำอาหารแต่ขาดโอกาสสร้างรายได้ ร้านจึงเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้เข้ามาปรุงอาหารไทยด้วยรสมือและตำรับดั้งเดิม เพื่อเสิร์ฟให้ลูกค้า พร้อมเติมเต็มคุณค่าและความหมายให้กับผู้สูงวัยในชุมชน 

"แรงบันดาลใจในการสร้าง The Artisans อยุธยา เราต้องการที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้ดีขึ้นซึ่งเราเชื่อว่าตั้งแต่ที่เราอยู่มา เราได้สัมผัสกับคนในชุมชนที่มีองค์ความรู้ภูมิปัญญาที่ตกทอดรุ่นสู่รุ่นแล้วเราเชื่อว่ามีคุณค่าและมีพลังมากพอที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนของความสำเร็จของไทยอย่างแท้จริง แต่ถูกซ่อนตัวอยู่ในชุมชนที่เป็นชายขอบของอยุธยาซึ่งตอนนั้นที่เจอป้า ๆ บางคนก็รับจ้างรายวัน บางคนก็ทำไร่ทำนา  ส่วนคุณป้าที่หุงข้าวคือป้าที่เข็นรถขายน้ำแก้วละสิบบาทซึ่งแต่ละคนมีองค์ความรู้ที่ซ่อนอยู่ในตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร งานฝีมือหรือว่าวิถีชีวิตวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่หลอมรวมอยู่ในคนคนนึง เพราะที่นี่เราไม่ได้มีเพดานอายุ สูงสุดตอนนี้อยู่ที่อายุเจ็ดสิบสี่ เราก็ให้ทำงานกับเราซึ่งก็ปรับแต่งตำแหน่งที่เหมาะสมให้ประมาณนี้ และในเรื่องของบางจังหวัด เช่น อ่างทอง สุพรรณบุรีและเริ่มไปที่สุโขทัย เราสามารถที่จะช่วยส่วนไหนได้เราช่วย ถ้าไม่ได้มาทำงานที่นี่ เหมือนป้าๆ  ยายๆ ที่เห็นเราก็ให้ส่งวัตถุดิบส่งสินค้ามาให้เรา ซึ่งอย่างอรัญญิกยังมีอีกประมาณสิบครอบครัว เนื่องจากอรัญญิกเมื่อก่อนตีแต่ดาบ เราจะเคยเห็นแต่มีดอรัญญิก แต่ว่าตอนนี้มีดอรัญญิกไม่มีใครเลือกซื้อเยอะ ก็ต้องปรับตัวเป็นทำจานช้อนส้อมที่เห็นด้จะเป็นจานของอรัญญิก และเราเอาวิธีการทานแบบสมัยก่อนที่ชาวบ้านรองด้วยใบตอง เพราะว่าวิธีการกินแบบนี้ก็เป็นวัฒนธรรมเก่า ๆ ดั้งเดิมและเราก็อยากให้คนได้สัมผัสเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างใช้ฝีมือในการทำ ข้าวหุงหม้อดินเช็ดน้ำไม่ง่ายนะคะ ต้องมีความเชี่ยวชาญ คือเหมือนเป็นช่างฝีมือที่เกี่ยวกับด้านอาหารและขนมโดยเฉพาะ  คำว่า ไทย คราฟท์ทีซานส์ คูซีน เหมาะกับเรามาก ๆ เวลาใครถามเราบอกว่า เราไม่ใช่ authentic เราไม่ใช่ royal เราไม่ใช่ progressive  เราไม่สามารถนิยามตัวเราเองว่าอะไรเลย จนกระทั่ง เรามาคุยกันเองในครอบครัวว่าเราแยกทุกอย่างออกจากกันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ที่นี่ไม่ใช่แค่ร้านอาหารแต่มีภูมิปัญญา มีองค์ความรู้ดั้งเดิม วิถีการกิน หรือ วัฒนธรรมการทานแบบเก่า ๆ ที่ยังมีอยู่ที่นี่  ดังนั้นแล้วถ้าเกิดมาสัมผัสแล้วไม่ใช่เข้ามาทานอาหารแล้วจบ ทุกคนจะได้พบกับประสบการณ์อื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ในอยุธยา 




ส่วนเมนูที่ประทับใจ รังสรรค์ทีไรแล้วปลื้มใจทุกครั้งก็จะเป็นข้าวปลาเกลือย่างถ่าน เริ่มจากข้าวเราใช้ข้าวหุงหม้อดิน ก็เป็นวิธีแบบเช็ดน้ำ ที่ป้าๆ ยายๆ หุง เวลาเช็ดน้ำเสร็จแล้วก็จะมีน้ำข้าว เราเสิร์ฟร้อมน้ำข้าวและงบน้ำอ้อย กับดอกเกลือ อันนี้เป็นวิธีการทานแบบดั้งเดิม แล้วก็มีผงโรยข้าว ชื่อว่า พริก กับเกลือ มีส่วนผสมของ น้ำตาลมะพร้าว มะพร้าว แล้วก็ดอกเกลือ 3 อย่างนะคะ เป็นพริกกับเกลือที่ไม่มีพริก อีกอันนึง ก็จะเป็นพริกขิงแห้งที่ไม่มีขิง ความหมายคือเผ็ดเท่าขิง แต่ไม่มีขิง ใช้คำว่า พริกขิงแห้ง เป็นผงโรยข้าว พริกกะเกลือโบราณ (ที่ไม่มีพริก) เป็นผงโรยข้าวโบราณสูตรของคุณแม่ผู้ก่อตั้ง ที่หาทานได้ยาก และทำยากมาก ขั้นตอนในการทำมีถึง 9ขั้นตอน ส่วนผสมก็จะมีมะพร้าวคั่ว น้ำตาลมะพร้าว ดอกเกลือ ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ป้ายายจะนำไปคั่วในกระทะก่อนแล้วค่อยนำมาตำในครกวิธีการก็คือพลิกไปพลิกมาเลยเป็นที่มาของชื่อพริกกะเกลือที่ไม่มีพริก เป็นเครื่องจิ้มที่คนโบราณ ต้องมีติดไปท้องไร่ท้องนา หรือ เดินทางไกลยามออกศึกเพราะสามารถกินคู่กับข้าว หรือ ผักบุ้งนา และเก็บรักษาได้นาน


เมนูสุดพิเศษ อย่าง ปลาเกลือย่างถ่าน ตัวปลาเกลือ เราเอามาจากเสนา เป็นอำเภอที่อยู่ในอยุธยา เราก็นำปลาไปย่างใช้เวลาย่างประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ถึง 2 ชั่วโมง ย่างด้วยไฟอ่อนๆ จะมีความหอมของควัน เเล้วก็กลิ่นของใบตอง และตัวเนื้อปลา เนื่องจากเราค่อย ๆ ย่างให้มันสุกก็จะมีความฟู จะมีความเค็มอ่อน ๆ แล้วก็ทานคู่กับแตงโมแล้วก็มะม่วงสุก อันนี้เป็นเมนูที่ทำให้เพลิดเพลิน เพราะว่าเราใช้มือทานได้เลย เป็นวัฒนธรรม คือมันมีครบทุกองค์ประกอบที่อยู่ในนั้น เราจะได้สัมผัสถึง ข้าวหุงหม้อดินแบบเช็ดน้ำ ปลาเกลือทานพร้อมแตงโม หรือ มะม่วงสุก แล้วก็ใช้มือทาน ยกนิ้วให้เลยค่ะเมนูนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด 




เมนูเด็ดที่อยากแนะนำและทำให้ถูกคัดเป็น Thai Select คือต้องห้ามพลาดเมนูนี้ แกงขี้เหล็กเนื้อย่าง กะทิคั้นเอง ใช้กะทิสด ตำพริกแกงเอง ขี้เหล็กปลูกเองเป็นของชาวบ้าน ใช้ใบเพสลาด เพราะว่าถ้าอ่อนเกินไปไปต้มแล้วก็จะเป็นโคลนแข็งเกินไปก็จะทานไม่อร่อย เพราะฉะนั้นที่นี่ก็ทุกองค์ประกอบเราทำเองหมด แล้วก็ปกติบางร้านจะใช้น้ำปลาร้าแต่ของเราเป็นปลาอินทรีย์แล้วก็ใส่เนื้อปลากดย่างเข้าไปอีกต้องบอกว่าเป็นเมนูที่ใครไม่เคยทานขี้เหล็ก หรือ เคยทานแล้วบอกว่าไม่ชอบมาทานที่นี่ทานได้ทุกคนเราไม่ขมแน่ ๆ แต่เรายังมีสรรพคุณเดิมอยู่ เพราะว่าป้าและยายที่นี่ สมมุติว่าไปวัด เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย พรุ่งนี้จะต้มแกงขี้เหล็กอันนี้เป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ถ้าเกิดนอนไม่หลับกินแกงขี้เหล็กจะช่วยได้ มีประโยชน์สำหรับร่างกายของเราด้วย



ทั้งนี้ ขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ ที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนทางกระทรวงพาณิชย์ มอบสัญลักษณ์ Thai select ซึ่งเป็นการการันตีได้ว่าร้านมีคุณภาพด้านการบริการ อาหาร และรสชาติ และช่วยให้ร้านอาหารได้มีพื้นที่ในการบอกต่อ และเชื่อมั่นว่า  The Artisans อยุธยา เป็นร้านอาหารไทยแท้สูตรต้นตำหรับได้อย่างภาคภูมิใจ รวมถึงยังช่วยสนับสนุนเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้The Artisans อยุธยาเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศอีกด้วย

สำหรับคนที่อยากสัมผัสประสบการณ์ อาหารไทยพื้นบ้าน งานฝีมือโดยคนในชุมชน วัตถุดิบจากชุมชน แล้วก็เพื่อคนในชุมชน เรามั่นใจว่าที่นี่จะมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้แน่นอนค่ะ กล่าว"




กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายขยายร้านอาหาร Thai SELECT เพิ่มขึ้นอีก 100 ร้านทั่วประเทศ ภายใน
ปี 2568 จากเดิมที่มีอยู่ 496 ร้าน สำหรับร้าน Thai SELECT จะได้รับการส่งเสริมจากกระทรวงฯ เพื่อ
กระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น การเข้าร่วมงานแสดงและจำหน่ายอาหาร และการประชาสัมพันธ์ร้านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

06 มิถุนายน 2568

ปักหมุด! Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025

มหกรรมสุขภาพ และความงามครบวงจร เติมพลังชีวิต สู่สุขภาวะที่ยั่งยืน 26-29 มิถุนายน 2568 นี้ ที่ ไบเทค บางนา ฮอลล์ 101


กรุงเทพฯ – เตรียมพบกับที่สุดแห่งงานแฟร์ด้านสุขภาพ ความงาม และไลฟ์สไตล์ ที่จะปลุกพลังคนรักสุขภาพและผู้ประกอบการ โดยบริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำด้านการจัดอีเวนต์และโซลูชันธุรกิจครบวงจร ประกาศจัดงาน “Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025” มหกรรมสุดยิ่งใหญ่แห่งปี ที่จะพลิกโฉมประสบการณ์การดูแลสุขภาพของคุณไปอีกขั้น ระหว่างวันที่ 26-29 มิถุนายน 2568 ณ ฮอลล์ 101 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา คาดเงินสะพัดภายในงานกว่า 120 ล้านบาท

คุณณรินณ์ทิพ วิริยะบัณฑิตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความมุ่งมั่นในการจัดงานครั้งนี้ว่า "เราภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ทั้งภาครัฐ และเอกชน อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, SME D Bank, EXIM Bank, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อสร้างสรรค์ Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 ให้เป็นแพลตฟอร์มระดับชาติ ที่ไม่เพียงนำเสนอศักยภาพของธุรกิจสุขภาพและเวลเนสไทย แต่ยังเป็นศูนย์รวมนวัตกรรม บริการ และผลิตภัณฑ์สุขภาพแบบครบวงจร


เราตั้งใจให้งานนี้เป็นจุดหมายสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพและการแพทย์ระดับโลก พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน" 

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดดังกล่าว ภายในงาน Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 ได้ออกแบบพื้นที่จัดแสดงครอบคลุมถึง 9 โซนไฮไลต์หลัก ที่สะท้อนแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่การแพทย์ เทคโนโลยี อาหารความงาม ไปจนถึงไลฟ์สไตล์และการเงิน ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการยุคใหม่อย่างแท้จริง

Healthcare & Medical Industry Zone: อัปเดตเทรนด์การแพทย์สุดล้ำ นวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ที่จะทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำขึ้น พบกับโรงพยาบาลชั้นนำ คลินิกเฉพาะทาง และผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์กว่า 170 แบรนด์ เช่น ควอนตัมเมด, เครื่องสแกนร่างกาย 3 มิติจากชีวาโน่, โปรแกรมตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต, คลินิกชะลอวัย 120 Wellness Villa Clinic และโรงพยาบาลรามาธิบดี

Future Food & Food Supplement Zone: มิติใหม่ของอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแห่งอนาคต และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน

Skin Care Zone: สวรรค์ของคนรักผิว! รวมผลิตภัณฑ์บำรุงผิว สกินแคร์ออร์แกนิก นวัตกรรมความงาม และศาสตร์ชะลอวัยจากแบรนด์ดังและผู้เชี่ยวชาญ เช่น ทีเอฟ คอสเมโทโลจี (ผู้ผลิตเครื่องสำอาง) พร้อมนวัตกรรมสกินแคร์ทุเรียนจาก EEC ที่น่าลอง

Digital Health Zone: ก้าวทันโลกกับเทคโนโลยีสุขภาพดิจิทัล พบกับซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชัน และแกดเจ็ตอัจฉริยะ ที่จะช่วยให้การดูแลสุขภาพของคุณสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Wellness Zone: เติมเต็มความสุขแบบองค์รวมกับบริการ และผลิตภัณฑ์เพื่อการผ่อนคลาย สปา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และกิจกรรมบำบัดที่ตอบโจทย์การพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ อาทิ คลินิกแพทย์แผนไทย อนันตา เวลเนส, ที่พักโฮมสเตย์จาก EEC และผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาชุมชน

Fitness & Lifestyle Zone: สำหรับสายแอคทีฟและคนรักการออกกำลังกาย พบกับอุปกรณ์ออกกำลังกายรุ่นใหม่ล่าสุด เสื้อผ้ากีฬา และโปรแกรมฟิตเนสจากแบรนด์ชั้นนำ

Specialized Zones: 

Jin Wellbeing County: สัมผัสโครงการต้นแบบเพื่อสังคมผู้สูงวัยคุณภาพ

Bank & Investor Zone: โอกาสทองสำหรับนักลงทุนและผู้ประกอบการที่มองหาโซลูชันทางการเงินและสินเชื่อเพื่อธุรกิจสุขภาพ

Food Zone: อิ่มอร่อยกับอาหารสุขภาพหลากหลายเมนู ที่คัดสรรมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

นอกจากไฮไลต์จาก 9 โซนจัดแสดงแล้ว ภายในงานยังอัดแน่นด้วยกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อสร้างประสบการณ์ที่มากกว่าการเดินชมบูธ เพราะนี่คือพื้นที่สำหรับ การเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และต่อยอดสู่อนาคตของสุขภาพ

• เจาะลึกเทรนด์สุขภาพกับกูรูตัวจริง: เวทีเสวนาสุดเข้มข้น ที่รวมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย และ Influencer ด้านสุขภาพชื่อดังทั้งไทยและต่างชาติ มาอัปเดตองค์ความรู้และนวัตกรรมล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮอร์โมน ยีนส์ วัยทอง สเต็มเซลล์ หรือเทคโนโลยีการรักษาโรคแห่งอนาคต

• ต่อยอดธุรกิจ สู่ตลาดโลก: โอกาสพิเศษสำหรับผู้ประกอบการ กับกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ที่จะเชื่อมโยงคุณกับนักลงทุนและคู่ค้าจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น

• พันธมิตรชั้นนำร่วมสร้างสีสัน: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า คัดสรรผู้ประกอบการดาวเด่นด้านสุขภาพ เวลเนส และสปา รวมกว่า 30 บูธ ขณะที่สำนักงาน EEC นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนที่น่าจับตา โดยนำสินค้าชุมชน และนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ภายในภาคตะวันออก มาให้เลือกช้อปกว่า 20 บูธ 



คุณณรินณ์ทิพ กล่าวเสริมว่า “เราเชื่อมั่นว่า Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025 จะเป็นมากกว่างานแสดงสินค้า แต่จะเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่รวมคนรักสุขภาพ ผู้ประกอบการ และนักลงทุน มาแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และสร้างเครือข่าย เพื่อร่วมกันยกระดับอุตสาหกรรมสุขภาพของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มองหาการดูแลตัวเองแบบรอบด้าน

อย่าพลาด! ร่วมค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก พร้อมอัปเดตเทรนด์สุขภาพ นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนโลก ในงาน Thailand Wellness & Healthcare Expo 2025
รายละเอียดงาน

วันที่: 26-29 มิถุนายน 2568

สถานที่: ฮอลล์ 101, ไบเทค บางนา

เวลา: เปิดให้เข้าชมตลอด 4 วัน

ลงทะเบียนล่วงหน้าฟรี พร้อมของที่ระลึก: https://eventpassinsight.co/el/to/TWHE13

ลงทะเบียนฟังสัมมนาฟรี: https://eventpassinsight.co/el/to/TWHE02

“บีไชน์ เนเจอร์ซี สูตรใหม่” วิตามินซีธรรมชาติ 100% โปรราคาพิเศษ ขวดละ 189 บาท

พร้อมดูแลสุขภาพคุณในทุกวัน แข็งแรง สดใสทุกวัน สู้ฝนและโควิด ซื้อได้ที่เซเว่น อีเลฟเว่น

ช่วงนี้ทั้งฝนตกบ่อย และโควิด-19 ก็ยังต้องระวัง การดูแลตัวเองจึงสำคัญเป็นพิเศษ บริษัท บีไชน์ นูทริชั่น พลัส จำกัด จัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ “บีไชน์ เนเจอร์ซี สูตรใหม่” วิตามินซีจากธรรมชาติ 100% ขนาดบรรจุ 30 เม็ด แถมฟรีอีก 5 เม็ดในขวด รวมเป็น 35 เม็ด ทานได้นาน 1 เดือน เหลือเพียง 189 บาท จากปกติ ราคา 249 บาท ช่วยประหยัดถึง 60 บาท และสมาชิก All Member รับ 1 เหรียญ ตั้งแต่วันนี้ - 23 มิถุนายน 2568 หาซื้อได้ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ      บีไชน์ เนเจอร์ซี ช่วยดูแลสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น เหมาะกับช่วงที่ต้องใส่ใจสุขภาพเป็นพิเศษ ให้คุณมีสุขภาพที่ดี พร้อมเผชิญทุกสถานการณ์ได้อย่างมั่นใจและสดใสในแบบที่เป็นคุณ

“บีไชน์ เนเจอร์ซี สูตรใหม่” (B Shine NaturC) ผลิตภัณฑ์วิตามินซีจากธรรมชาติ ด้วยสารสกัดอะเซโรลา เชอร์รี่ 1000 มก. เทียบเท่ากับผลอะเซโรลาเชอร์รี่สด 4000 มก. จากสวิตเซอร์แลนด์ ผสานคุณค่าจากสารสกัดผลไม้หลากหลายชนิด และยังเพิ่มปริมาณสารสกัดจากทับทิมมากถึง 70 มก. ซึ่งสารสกัดจากทับทิมนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยดูแลผิวพรรณให้แลดูสดใส และเหมาะสำหรับการดูแลสุขภาพในทุกวัน 

“บีไชน์ เนเจอร์ซี สูตรใหม่” มีสารสกัดที่มีประโยชน์จากผลไม้และผักหลากชนิด ส่วนประกอบสำคัญใน 1 เม็ด : ประกอบด้วย อะเซโรลา เชอร์รี่ สกัด 1000 มก., ซิตรัสไบโอฟลาโวนอยด์ 100 มก., เบอร์รี่มิกซ์ 120 มก. (สตรอเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, ราสพ์เบอร์รี่, เอลเดอร์เบอร์รี่, แบล็คเคอร์เรนท์, เรดบีท), สารสกัดจากทับทิม 70  มก., สารสกัดจากเมล็ดลิ้นจี่ 23.75 มก., แคโรทีนอยด์ 7.5% 23.75 มก.

รับประทานเพียงวันละ 1 เม็ด หลังอาหารมื้อเช้าหรือเย็นทันที เริ่มต้นวันที่สดใสและใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจกับบีไชน์ เนเจอร์ซี ที่ช่วยดูแลสุขภาพของคุณให้แข็งแรงสมดุลจากภายในสู่ภายนอก ให้คุณพร้อมใช้ชีวิตในทุกวันได้อย่างมั่นใจ 

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bshine.co.th,
FB : https://www.facebook.com/BnpHealth และ Line : @Bshine

05 มิถุนายน 2568

เพราะโลกที่ดีกว่า…เริ่มจากเราทุกคน

ปรับ เปลี่ยน และปฏิบัติ คือทางรอดในยุคที่โลกรวน

5 มิถุนายน ของทุกปี องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้กำหนดให้เป็น “วันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day)” ซึ่งได้มีการสถาปนครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 จุดเริ่มต้นครั้งนั้น ทำให้ได้รับความร่วมมือจาก 113 ประเทศทั่วโลก และจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมจำนวน 1,500 คน จึงเกิดเป็นการลงนามข้อตกลงให้จัดตั้ง โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP: United Nations Environment Programme) ขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักและร่วมกันแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย ได้ก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2518

ปัจจุบันเป็นที่รู้กันดีว่า สิ่งแวดล้อมของโลกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เห็นได้ชัดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติ ความรุนแรงของภัยพิบัติที่มากขึ้น ฯลฯ  และจะเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าสถานการณ์สิ่งแวดล้อมทั้งของประเทศไทยและทั่วโลกแปรปรวนสูงขึ้น จากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น พายุถล่ม น้ำท่วม ไฟป่า แผ่นดินไหว 



ตั้งแต่ พ.ศ. 2567 ที่ประเทศไทยได้เผชิญกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ตั้งแต่น้ำท่วมรุนแรง     ปรากฏการณ์เอลนีโญ ปัญหามลพิษที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น และในปี พ.ศ. 2568 เหตุการณ์ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมก็ยังเกิดขึ้นให้เห็นอย่างต่อเนื่อง อาทิ พายุ Alfred, Rae และ Seru เกิดขึ้นพร้อมกันในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยากในรอบ 27 ปี  แผ่นดินไหวที่เมียนมาเมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 ซึ่งส่งผลถึงประเทศไทยและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก น้ำท่วมฉับพลันที่เนปาล รวมไปถึงไฟป่าครั้งใหญ่ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และ ภูเขาไฟระเบิด ฯลฯ ซึ่งผลกระทบภาพรวมตั้งแต่ต้นปี  พ.ศ. 2568 จนถึง เดือนพฤษภาคม 2568 รวมทั้งหมด 19 ครั้ง ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐิจทั่วโลกเป็นอย่างมาก

จากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น การปรับตัว (Adaptation) ให้เท่าทันกับสภาวะโลกรวน เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับสภาวะภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่มีสูตรสำเร็จ ทั้งนี้เพื่อให้เราทุกคนได้อยู่รอดในสภาวะวิกฤตต่างๆ และรับมือกับโลกที่เปลี่ยนไป

ดังนั้น Adaptation อาจจะเป็นกลยุทธ์สำคัญที่พวกเราทุกคนต้องลงมือทำในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม SUSTAINABILITY EXPO 2025 หรือ SX 2025 ปีนี้ เล็งเห็นความสำคัญเรื่องปรับตัวให้เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในระบบนิเวศ เพราะ Climate Change Adaptation ไม่ใช่เรื่องไกลตัว 

ภายในงานนำเสนอเรื่องราวของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในรอบ 10 ปี สัมผัสประสบการณ์ Immersive แบบ 4 มิติของภัยพิบัติในประเทศไทย  พร้อมวิธีปรับตัวที่ช่วยรับมือกับสถานการณ์  พบกับการจำลองบ้านอนาคตที่สามารถรับมือกับภัย พิบัติต่างๆ  กับ “บ้านอยู่รอด” นอกจากนี้ยังพบกับโซนนิทรรศการต่างๆ ที่นำเสนอความสำคัญของด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ไขปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม  อาทิ โซน Better Me นำเสนอเรื่องอายุยืนยาวอยู่อย่างไรให้มีคุณภาพและมีความสุข โซน Better Community นำเสนอเรื่องการปรับตัวของเมือง ด้วยพลังของคนอาสา เป็นต้น 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมที่ทำเรื่องสิ่งแวดล้อมมากมาย อาทิ SX FOOD FESTIVAL มีการแยกทิ้งอาหารอย่างถูกวิธีผ่าน “Food Waste Station” ซึ่งขยะที่ถูกแยกจะถูกนำไปจัดการอย่างเหมาะสม SX REPARTMENT STORE ที่เปิดให้คนที่อยากนำของที่ไม่ได้ใช้แล้วมาแบ่งปันเพื่อส่งต่อ เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีและสังคมไร้ขยะที่ยั่งยืน ฯลฯ 

งาน SUSTAINABILITY EXPO ปีนี้จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 เป็นมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นแพลตฟอร์มความร่วมมือขององค์กรชั้นนำระดับภูมิภาคและระดับโลก นำโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC, บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG, บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)  ร่วมด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายพันธมิตรทุกภาคส่วนทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศที่จะมาร่วมกันสร้างพลัง และปลุกกระแสด้านความยั่งยืนในมิติต่างๆ  มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กันยายน -  5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่จะปรับตัวเพื่อรับมือกับโลกที่เปลี่ยนแปลง เพื่อโลกที่อยู่อย่างยั่งยืนไปด้วยกัน ติดตามข่าวสารและกิจกรรมต่างๆ เพื่อความยั่งยืนได้ตลอดทั้งปีได้ที่
www.sustainabilityexpo.com , Facebook : Sustainability Expo และแอปพลิเคชัน SX


“สเตลล่า” ประกาศแผนธุรกิจปิดดีลซื้อที่แปลงใหญ่ เตรียมซื้อที่ดินเพิ่ม

“สเตลล่า” ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นคุณภาพชีวิตและความยั่งยืน เดินหน้าแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจส่งต่อแนวคิด Space for tomorrow เตรียมออกหุ้นกู้ระดมทุน รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนในอนาคต

นายรองฤทธิ์ ธรรมสถิต ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท สเตลล่า เอ็กซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ STELLA เปิดเผยว่า เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทได้มีจัดซื้อที่ดินไว้แล้ว 1 แปลง ย่านฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ และมีแผนการซื้อที่สำหรับพัฒนาโครงการเพื่อขายในปีนี้อีก 3 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ที่มีฟังก์ชันเพื่อการอยู่อาศัยครบทุกความต้องการสำหรับลูกค้าในปัจจุบัน ตรงกับแนวทางของบริษัท พื้นที่เพื่อความสุขในวันนี้และตลอดไปการลงทุนในที่ดินครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในการสร้างความมั่นคงด้านสินทรัพย์ และแสดงให้เห็นกระบวนการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่โปร่งใส ตอบสนองความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง


                           คุณรองฤทธิ์ ธรรมสถิตผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มงานพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

นายรองฤทธิ์ ยังบอกอีกว่า บริษัทมีแผนเปิดโครงการรวมถึงการซื้อที่ดินให้ครบทั้ง 4 มุมเมือง เพื่อพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ เห็นได้จากยอดขายของโครงการโนวา ลาดกระบัง ทะลุ 400 ล้านบาทใน 3 เดือนแรกที่เปิดตัว มียอดรับรู้รายได้จนถึงเดือนพฤษภาคมกว่า 120 ล้านบาท และยังมีแผนเปิดโครงการอีก 2 โครงการ ในชื่อแบรนด์ แอสตร้า และ โนวา ภายในปีนี้  

นอกจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญของบริษัทแล้ว STELLA ยังได้มีการขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง โดยเริ่มต้นจาก Maga Projects ของบริษัทอย่าง “สเตลล่า โอโซน” ( STELLA OZONE ) ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญในส่วนของภาคธุรกิจบริการ  ด้วยกลยุทธ “ Expand Happiness” ขยายพื้นที่ความสุขให้กับทุกคนในครอบครัว

EXPAND HAPPINESS

Expand Wellness แนวคิดในการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม 

Expand Activities การเพิ่มกิจกรรมสันทนาการให้ครอบคลุมทุกเพศทุกวัย

Expand Customer การเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มลูกค้า

Expand Standard การรักษามาตรฐานและบริการระดับมืออาชีพ

Expand Events การจัดการสินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การจัดEventงานแสดงต่างๆ 

Expand Experience การส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจเมื่อเข้าใช้บริการหรือสินค้า 














นอกจากนี้ บริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นกู้ STELLA 2/2568 มูลค่ารวม 300 ล้านบาท (รอบแรก 10-12 มิ.ย.68 และรอบที่สอง 24-26 มิ.ย.68) ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนเพิ่มเติมสำหรับการดำเนินโครงการในระยะกลางถึงระยะยาว ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการดำเนินงานของสเตลล่า และคาดว่าการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากสถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง มีประวัติการดำเนินงานที่โปร่งใส และสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงมาอย่างต่อเนื่อง นับเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถทำกำไรได้ดีขึ้น และสร้างความสมดุลด้านรายได้ให้กับองค์กร

 “เรามั่นใจว่าการขยายพอร์ตที่ดินและการมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน รวมถึงการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัท สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนในระยะยาว” นายรองฤทธิ์ กล่าวเสริม 

“สเตลล่า”ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตยุคใหม่ ด้วยการผสานแนวคิดด้านนวัตกรรม สุขภาวะ และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของชุมชน เพิ่มพื้นที่ความสุขตั้งแต่วันนี้จนถึงอนาคต ภายใต้แนวคิด “ Space For Tomorrow”

พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงการคลัง

เป็นประธานและปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่”ในงานสัมมนา THAILAND CVISION SUMMIT 2025: จุดเปลี่ยนประเทศไทยสู่อนาคตใหม่

บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) โดย นิตยสาร Business+ ร่วมกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดงานสัมมนา THAILAND CVISION SUMMIT 2025 ภายใต้แนวคิด “THAILAND TRANSFORMATION 2025: จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยการสนับสนุนของ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ (ประเทศไทย) จำกัด, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, บริษัท บิซิเนส ออนไลน์ จำกัด (มหาชน) และตลาดหลักทรัพย์ mai งานสัมมนาที่รวมสุดยอดผู้นำ กว่า 20 ชีวิต กับหัวข้อสัมมนากว่า10 หัวข้อ ร่วมถ่ายทอดแนวคิดและข้อมูลที่จะปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อก้าวข้ามภาวะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และพาไทยไปสู่ผู้นำแห่งอาเซียน รวมถึงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของผู้บริหารที่จะทรานฟอร์มธุรกิจเพื่อเอาชนะความท้าทายจากทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. กระทรวงการคลัง เป็นประธาน ณ พารากอนฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Thailand Transformation for The Next Decade: ทิศทางไทยในการปรับตัวสู่ทศวรรษใหม่ กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี โดยเฉพาะการเข้าสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับวิธีคิดของทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในทุกมิติ ตั้งแต่กระบวนการผลิต การบริการ ไปจนถึงการบริหารจัดการข้อมูล (Big Data) รัฐบาลตระหนักว่า บทบาทของภาครัฐต้องเปลี่ยนจากผู้ให้บริการแบบเดิม มาเป็นผู้ส่งเสริมให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนที่มากขึ้น ทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยตั้งเป้าให้มีสัดส่วนการลงทุนมากกว่า 30% ของจีดีพี พร้อมปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้สอดรับกับความต้องการของนักลงทุน เช่น การจัดหาพลังงานสะอาด ราคาค่าไฟที่เหมาะสม ความมั่นคงของน้ำ และระบบขนส่งที่ทันสมัย


“นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินให้มีความยืดหยุ่น รองรับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจในระยะยาว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทยต้องผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมเพื่อแข่งขันกับโลกสมัยใหม่ ภาคเอกชนเองต้องเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล มีการยกระดับอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น ยานยนต์ไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและเทคโนโลยี แต่ต้องกล้าเริ่มต้นและลงทุน ในภาคเกษตรกรรม ประเทศไทยยังขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถแข่งขันด้านต้นทุนกับตลาดโลกได้ จึงจำเป็นต้องใช้ไบโอเทคโนโลยี และการจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการผลิตเกินความต้องการ”

“ด้านการท่องเที่ยวต้องปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นประสบการณ์และความยั่งยืนมากกว่าการบริโภคจำนวนมาก รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการผลักดันประเทศไทยจากการเป็นแค่ฐานการผลิตหรือผู้รับจ้างผลิต ไปสู่การมีแบรนด์ของตัวเองที่เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก ทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความกล้าหาญ ความต่อเนื่อง และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการเปลี่ยนผ่านประเทศอย่างเป็นระบบ สู่ทิศทางใหม่ที่มั่นคง ยั่งยืน และสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแท้จริง”

นายบุญเลิศ นราไท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2568 นิตยสาร Business+ ครบรอบ 36 ปี เราในฐานะสื่อด้านธุรกิจที่อยู่เคียงงข้างนักธุรกิจมาอย่างยาวนาน จึงได้จัดงานสัมมนาพิเศษในโอกาสครบรอบ 36 ปี สำหรับงานสัมมนา THAILAND C VISION SUMMIT 2025 ที่จัดขึ้นในโอกาสพิเศษนี้ เพื่อมุ่งเน้นการปรับตัวให้กับทุกธุรกิจจากปัญหาทั้งหมด 3 ด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม และการเปลี่ยนแปลงของภาคธุรกิจ นิตยสาร Business+ ที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับ CEO มากมาย เราจึงได้เชิญผู้บริหารชั้นนำ ทั้งภาครัฐ และเอกชน มาร่วมแบ่งปันความรู้ แลกเปลี่ยนมุมมองแนวทางการบริหารจัดการ เปิดมุมมองใหม่ทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศไทย เมื่อโลกธุรกิจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เสริมสร้างความเข้าใจในแนวโน้มและความท้าทายของธุรกิจในอนาคต และโอกาสในการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้นำภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกันสร้างโอกาสการเติบโตขององค์กรไปด้วยกัน”


ผศ.ดร.มณฑล สรไกรกิติกูล หัวหน้าสาขาวิชาการบริหารองค์การ การประกอบการ และทรัพยากรมนุษย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ทำงานร่วมมือกับ นิตยสาร Business+ มาอย่างต่อเนื่องในการศึกษาวิจัยถึงแนวทางการบริหารงานของผู้บริหารระดับสูงขององค์กร เพื่อนำมาถอดบทเรียนความสำเร็จในมิติต่างๆ ของผู้บริหาร และในงานสัมมนาครั้งนี้ที่เป็นโอกาสพิเศษครบรอบ 86 ปีของคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และครบรอบ 36 ปี ของ นิตยสาร Business+ จึงเป็นโอกาสที่จะได้เผย
แพร่สุดยอดงานวิจัยด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจที่รวบรวมข้อมูลมาจากผู้นำระดับหัวกะทิของเมืองไทย จากหลากหลายอุตสาหกรรมและหลากหลายเจเนเรชั่น จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้นำองค์กร นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ ที่สนใจวางแผนธุรกิจเพื่อรับฟังแนวคิดของผู้นำ”