24 พฤศจิกายน 2568

ขอเชิญร่วมต้อนรับการเดินทางมาประเทศไทยของ เอเลียด คิปโชเก้ ตำนานนักวิ่งมาราธอนชาวเคนยา

เจ้าของแชมป์เมเจอร์ ๑๑ สมัย ๒๖ พฤศจิกายนนี้


กรุงเทพฯ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๘: เอเลียด คิปโชเก้ ตำนานนักวิ่งมาราธอนชาวเคนยาเจ้าของแชมป์เมเจอร์ ๑๑ สมัย ในฐานะฑูตทางด้านการท่องเที่ยว กีฬา และ วัฒนธรรมของไทย ที่เดินทางมาประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ AMAZING THAILAND MARATHON BANGKOK 2025 Presented by TOYOTA โดยจะลงแข่งขันในระยะ ฮาล์ฟมาราธอน ๒๑ กม. ร่วมกับนักวิ่งกว่า ๓๐,๐๐๐ คน

โดยล่าสุด คิปโชเก้ ยืนยันที่เดินทางมาถึงประเทศไทย ในวันพุธที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 665 เวลา ๒๑.๑๕ น. ขอเชิญแฟนคลับของเอเลียด คิปโชเก้ ไปร่วมต้อนรับได้ตามอัธยาศัย พบกันที่ประตู ๑๐ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ


การแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) ครั้งที่ ๘ ประจำปี ๒๕๖๘ รายการ AMAZING THAILAND MARATHON BANGKOK 2025 ชิงถ้วยพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๘ เวลา ๐๒.๐๐ ถึง ๑๐.๓๐ น. จุดปล่อยตัว ณ เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ ถนนพญาไท เขตปทุมวัน และจุดเส้นชัย ณ ท้องสนามหลวง ถนนราชดำเนิน เขตพระนคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันและยกระดับให้เป็น ๑ ใน ๑๐ รายการวิ่งมาราธอนระดับโลกซึ่งจัดขึ้นในเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ จัดโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นเจ้าภาพร่วมกับกรุงเทพมหานคร, สมาคมกรีฑาโลก และไทยแลนด์ไตรลีก (ในฐานะคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันฯ) แฟนคลับของเอเลียด คิปโชเก้ อย่าลืมไปพบนักวิ่งระดับตำนาน และแสดงพลังการต้อนรับอันอบอุ่นแบบไทยให้ไประทับใจไปทั่วโลก

ติดตามรายละเอียดการแข่งขันได้ที่ https://www.facebook.com/amazingthailandmarathonbkk

สาธิต คำกองแก้ว อดีตข้าราชการกรมประมงเพาะขายพันธุ์ปลาหายากแม่น้ำโขง


คุณสาธิต คำกองแก้ว อดีตข้าราชการกรมประมง ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด หนองคาย  เจ้าของ วิภาวรรณ ฟาร์ม ดูแลฟูมฟักพันธุ์แบบผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะพันธุ์  ก่อนส่งขายแบบมืออาชีพ จากเพาะขายพันธุ์ปลาแม่น้ำโขง สู่เกษตรผสมผสาน แนวทางอาชีพ สร้างรายได้ยั่งยืนของเกษตรกร จังหวัดหนองคาย



ปัจจุบันทำเกษตรผสมผสานด้วยการเพาะขายพันธุ์ปลาและกบ และเลี้ยงสัตว์ พร้อมนำมูลสัตว์และเศษพืชผักมาผลิต กลับมาใช้ทุกกิจกรรม ทั้งยังแปรรูปปลาและกบเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสร้างมูลค่า เสริมรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน... เจ้าของฟาร์มรายนี้เริ่มต้นจากการเพาะพันธุ์ปลาน้โขงหายาก  เพราะมองว่าใช้เวลาเลี้ยงไม่นานก็มีรายได้แล้ว พันธุ์ปลาแม่น้ำโขงที่กำลังจะสูญพันธุ์ ที่เพาะ-ขาย ได้แก่ปลาชะโอน ปลาคัง ปลากดเหลือง พันธุ์ปลาที่เพาะขายจะเน้นชนิดที่คนอีสานตอนล่างรู้จักและนิยมกินเพราะตรงกับความต้องการอย่างแท้จริง 

โดยพันธุ์ที่นิยมมากที่สุดคือปลากดเหลือง  ปลาชะโอน และปลาชะโอน จะเพาะในบ่อซีเมนต์ก่อนแล้วย้ายไปอนุบาลในบ่อดิน ตอนนี้มีบ่อทั้งสองชนิดรวมกัน แล้วจะคัดแยกพ่อ-แม่พันธุ์ที่สมบูรณ์ไว้เพื่อใช้ขยายพันธุ์ในแต่ละรุ่นต่อไป

คุณสาธิต บอกว่า ปลาชะโอน ได้รับความนิยมมาก คุณสมบัติที่ดีของชะโอนแม่น้ำโขง คือ มีขนาดใหญ่ จำนวน 3-5 ตัวต่อกิโลกรัม จึงทำให้เป็นจุดเด่นของความต้องการจากลูกค้า ทั้งผู้บริโภคและพ่อค้า อีกประการเนื่องจากปลาชะโอน แม่น้ำโขง หนองคาย ที่โตตามธรรมชาติมีขนาดเล็กมาก ต่างจากปลาเลี้ยง
จึงทำให้ผู้บริโภคสนใจปลาเลี้ยงมากกว่า



คุณสาธิต ไม่ได้เพาะขายพันธุ์ปลาเป็นรายได้เท่านั้น  ยังเพิ่มความรู้เปิดโอกาสให้เกษตรกร ศีกษาดูงาน  สอนเทคนิคการเพาะพันธุ์ปลาชะโอน และปลาแม่น้ำโขงที่หายาก มีจุดเด่นตรงการคัดสายพันธุ์ของพ่อ-แม่ที่แข็งแรง มีการเจริญเติบโตดีแล้วนำมาผสมไขว้ เพื่อทำให้ลูกปลามีความแข็งแรง มีความสมบูรณ์ทั้งขนาดและเนื้อ มีความทนทานต่อโรค สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพพื้นที่ที่ใช้เลี้ยง 


สนใจเรียนรู้ ศึกษา รายละเอียดกับคุณลุงสาธิต
ได้ที่ Facebook : วิภาวรรณ ฟาร์ม
โทร 081 965 4756

23 พฤศจิกายน 2568

พัฒนพงษ์ พงษ์ทองเจริญ ผู้อำนวยการ ททท./กรุงโซล


นายพัฒนพงษ์ พงษ์ทองเจริญ ผู้อำนวยการ ททท./กรุงโซล เที่ยวเมืองไทยครองใจชาวเกาหลีใต้ ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว (Tourism Hub) และจุดหมายปลายทางระดับโลกภารกิจหลักของ ททท. กรุงโซล คือการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยในตลาดเกาหลีใต้ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเกาหลีให้เดินทางมายังประเทศไทย โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ด้านตลาดประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวและวัฒนธรรมไทย ณ กรุงโซล เพื่อสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย 


โดย  นายพัฒนพงษ์ พงษ์ทองเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประจำกรุงโซล ที่ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวในประเทศไทย และแนวทางการสนับสนุนผู้ประกอบการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการท่องเที่ยวประเทศไทยของทั้งนักท่องเที่ยว ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยภายใต้แบรนด์ Amazing Thailand พร้อมตอบโจทย์ความสนใจของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายการท่องเที่ยวคุณภาพ ทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยว รายได้ และส่งเสริมให้เกิดการเดินทางตลอดทั้งปีอย่างต่อเนื่อง

นักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ให้ความสนใจจังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ชลบุรี และกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าเชียงใหม่คือเมืองแห่งธรรมชาติ เมืองสุขภาพ และเมืองศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มักเดินทางซ้ำ หากสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ได้ ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่อย่างยั่งยืน

จุฬาฯ จัดเสวนาระดับโลกชี้ทางนวัตกรรมไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และทรัพย์สินทางปัญญา

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) เดินหน้ายกระดับศักยภาพนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศ ผ่านการจัดงานเสวนา President’s Distinguished Speaker ครั้งที่ 6 “ก้าวสู่อนาคตของนวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยีผ่านมุมมองของผู้นำระดับโลก” โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวเปิดงาน จากนั้นเป็นการปาฐกถาจากผู้นำระดับโลกด้านทรัพย์สินทางปัญญา นวัตกรรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยี คุณ Marco M. Alemán ผู้ช่วยอธิบดีองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) และคุณ Katharine Ku อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบริหารจาก Office of Technology Licensing จาก Stanford University มีคุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา พร้อมด้วยผู้บริหารมหาวิทยาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ และผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชน มาเข้าร่วมเพื่อร่วมยกระดับผลงานวิจัยและทรัพย์สินทางปัญญาไทยสู่ตลาดโลกอย่างคับคั่ง 


จุฬาฯ จัดเสวนาระดับโลกชี้ทางนวัตกรรมไทย ก้าวสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และทรัพย์สินทางปัญญาศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวว่า “บทบาทของมหาวิทยาลัยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การศึกษาภายในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างเดียวเท่านั้น แต่รวมถึงบทบาทในการสร้างนวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนไทย โดยอาศัยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญ นวัตกรรมที่สร้างขึ้นนั้นมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกระทบไม่ใช่สร้างรายได้ สิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือการสร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต นวัตกรรมที่ดีจะต้องเริ่มจากนวัตกร มหาวิทยาลัยมีบทบาทหลักในการสร้างนวัตกร นวัตกรต้องมาก่อนนวัตกรรมเสมอ”

ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ รองอธิการบดีจุฬาฯ กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของจุฬาฯ ในการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญานั้น เกิดจากยุทธศาสตร์สำคัญที่ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานตั้งแต่ “จุดเริ่มต้น” ของการพัฒนาความรู้และงานวิจัย “การบริหาร IP ที่ดี ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำ” โดยแนวทางการดำเนินงานของ จุฬาฯ ได้สร้างระบบนิเวศความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศและภาคเอกชน ตั้งแต่ช่วงที่งานวิจัยยังเป็นเพียง วิจัยพื้นฐาน จนพัฒนาต่อเนื่องไปสู่การ ถ่ายทอดเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ ได้จริงจะเห็นได้จากผลงานความสำเร็จที่เป็น “ประวัติศาสตร์ของประเทศ” คือการถ่ายทอดเทคโนโลยี “ยาต้านมะเร็งไฮเทค” สู่สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการถ่ายทอดนวัตกรรมด้านยาไทยไปยังประเทศสหรัฐฯ โดยสมบูรณ์  

คุณอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า IP คือหัวใจสำคัญในการสร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ และ DIP พร้อมสนับสนุนในทุกมิติทั้งการคุ้มครอง การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ การบังคับใช้สิทธิ์ และการเชื่อมโยงตลาดผ่าน Business Matching เพื่อให้งานวิจัยตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง สำหรับกรมฯ พร้อมเป็นพันธมิตรร่วมกับสถาบันการศึกษา เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนและพร้อมก้าวสู่เวทีนวัตกรรมระดับโลก 

คุณ Marco M. Alemán จากองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ผู้กำหนดนโยบายและขับเคลื่อนระบบนิเวศนวัตกรรมในกว่า 30 ประเทศเชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา กล่าวว่า กรอบกฎหมายที่เข้มแข็ง คือรากฐานสำคัญในการคุ้มครองผลงานทางปัญญาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยสิทธิบัตร การระบุตัวตนของสินค้าโดยเครื่องหมายการค้า หรือผลงานสร้างสรรค์ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยลิขสิทธิ์ กรอบกฎหมายเช่นนี้ทำให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกระทบเชิงบวก เขาเสริมว่า ระบบการบริหารจัดการที่เข้มแข็ง ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ระบบทรัพย์สินทางปัญญาตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วน นโยบายที่มีประสิทธิผลต้องตระหนักถึงบทบาทเฉพาะของแต่ละมิติ เช่น ระบบสิทธิบัตรส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม ระบบเครื่องหมายการค้าช่วยจัดระเบียบตลาด และระบบลิขสิทธิ์สนับสนุนการพัฒนาวัฒนธรรม องค์ประกอบทั้งหมดนี้รวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ระบบนิเวศทรัพย์สินทางปัญญา” ซึ่งนักวิจัย นักประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัย และหน่วยงานกำกับดูแล ต้องทำงานร่วมกันอย่างสอดประสาน เมื่อทุกองค์ประกอบเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ระบบก็จะสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมั่นคง

ทั้งนี้ การถอดบทเรียนจาก Stanford University สู่โมเดลไทยผ่านงานเสวนานานาชาติครั้งนี้  คุณ Katharine Ku ผู้ทรงอิทธิพลด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยี ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของมหาวิทยาลัยระดับโลกอย่าง Stanford University มากว่า 27 ปี และขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับพันล้านดอลลาร์ ได้กล่าวเชิญชวนให้มหาวิทยาลัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความมุ่งมั่นจะนำงานวิจัยไปสู่การสร้างนวัตกรรมระดับโลก และสตาร์ทอัพเชิงลึก (Deep Tech) ให้เริ่มลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เธอกล่าวเสริมว่า สำนักงานถ่ายทอดเทคโนโลยีของ Stanford University มีอายุยาวนานกว่า 55 ปี การสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้เวลา สถาบันในภูมิภาคสามารถเรียนรู้จากสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่น ๆ แต่ท้ายที่สุดจำเป็นต้องออกแบบระบบนิเวศนวัตกรรมที่สะท้อนบริบททางวัฒนธรรมและชาติของตนเอง เธอย้ำว่า ความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในวันนี้สามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่า Stanford ในอดีต เพราะทุกคนสามารถเรียนรู้จากเส้นทางที่ Stanford ได้ผ่านมาก่อนแล้ว


งานเสวนาครั้งนี้สะท้อนภาพชัดเจนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ สถาบันการศึกษา และองค์กรนานาชาติ ที่มีเป้าหมายร่วมกันคือการผลักดันประเทศไทยสู่ “เศรษฐกิจที่มีรากฐานมาจากนวัตกรรม (Innovation-driven Economy)” ด้วยระบบนิเวศที่เชื่อมโยงภาควิจัยกับตลาดอุตสาหกรรมอย่างไร้รอยต่อ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงไทยกับเครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก โดยมีเป้าหมายหลักในการผลักดันผลงานวิจัยหรือเทคโนยีของไทยไปสู่เชิงพาณิชย์ (Research/Technology Utilization) และส่งเสริมสตาร์ทอัพเชิงลึก (Deep Tech) ให้เติบโตระดับโลกผ่านมุมมองของทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม

สตาร์ทอัพชิลีและไทยเปิดมิติใหม่แห่งความร่วมมือด้านนวัตกรรม


สถานเอกอัครราชทูตชิลีประจำประเทศไทย ร่วมกับ ProChile สำนักงานส่งเสริมการส่งออกของชิลี โดยการนำของรองหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูต สถานเอกอัครราชทูตชิลี ประจำประเทศไทย มร.ดาวิด ฮันเซน (David Hansen) และผู้แทนการค้าชิลีประจำประเทศไทย มร. ออสการ์ อาริอากาดา ( Oscar Arriagada) ร่วมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงรับรองเป็น เกียรติแก่คณะผู้แทนสตาร์ทอัพ ชั้นนำจากประเทศชิลีที่เดินทางมาพบปะ ผู้บริหารหน่วยงานด้านนวัตกรรม ระดับชาติและพันธมิตรในประเทศไทย ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตชิลี เมื่อเร็วๆนี้ โดยมีผู้บริหารจากองค์กรภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสตาร์ทอัพของไทยร่วมงาน
การจัดคณะผู้แทนมาในครั้งนี้เป็นความคิดริเริ่มของ Imagine Global South East Asia หน่วยงานบ่มเพาะสตาร์ทอัพนานาชาติแห่งสาธารณรัฐชิลี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเผยแพร่ศักยภาพและความเชี่ยวชาญของสตาร์ทอัพชิลี พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายในการพัฒนาความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีกับสตาร์ทอัพในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉี่ยงใต้ โดยมีสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมสามแห่ง ได้แก่ Zhagra, MUK3D และ Emonk มร.ออสการ์ อาริอากาดา แห่ง ProChile ประเทศไทย เปิดเผยว่าการเยือนครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีสตาร์ทอัพชิลีถึงสามรายเดินทางมาเยือนประเทศไทยพร้อมกัน เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคนี้ พร้อมแสดงความหวังว่านี่ จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ใหม่ๆที่จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ ระหว่างสตาร์ทอัพชิลีกับภูมิภาคนี้ให้แน่นแฟ้นยิ่งๆขึ้นไป
มร.ดาวิด ฮันเซน รองหัวหน้าคณะผู้แทนทางการทูต สถานเอกอัครราชทูตชิลี ประจำประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานเอกอัครราชทูตชิลีได้เคยมีการร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ของไทยในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ มาก่อนและได้พบว่ามีโอกาสมากมายในการขยายความร่วมมือในอนาคต เนื่องจากในขณะเดียวกัน NIA ก็กำลังมุ่งขยายสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง และได้เลือกประเทศชิลีเป็นศูนย์กลางเชิงยุทธศาสตร์ของภูมิภาคละตินอเมริกา สำหรับ Zhagra เป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์รูปแบบ Software-as-a-Service (SaaS) ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร ผ่านระบบอัตโนมัติอัจฉริยะและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก แพลตฟอร์ม ของ Zhagra ถูกออกแบบมาเพื่อคาดการณ์ความต้องการน้ำและสารอาหารในระบบไฮโดรโปนิกส์ โดยสามารถเชื่อมต่อกับเซนเซอร์ฟาร์มที่มีอยู่แล้วเพื่อเรียนรู้สภาพแวดล้อม และให้คำแนะนำแบบเรียลไทม์โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์เพิ่มเติม อีกทั้งยังสามารถประยุกต์ใช้กับการเกษตรที่ใช้ดินได้เช่นกัน
ในขณะที่ MUK3D เป็นซอฟต์แวร์ด้านการออกแบบที่ช่วยให้การวางแผนงานดินและการจัดการกากแร่สำหรับผู้ประกอบการเหมืองและวิศวกรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซอฟต์แวร์นี้ช่วยลดเวลาและต้นทุนในการออกแบบโครงสร้างดินเหนียว เช่น เขื่อนและโครงสร้างพื้นฐานด้านเหมืองแร่ อีกทั้งยังสนับสนุนการวิเคราะห์ความเสี่ยงและการจำลองสถานการณ์การแตกของเขื่อน โดยสอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการจัดการกากแร่ (Global Industry Standard on Tailings Management: GISTM)


ส่วน EMonk เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่บริษัทหรือองค์กรทำการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างกันเองที่เรียกว่า B2B (Business to Business) ซึ่งมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพ ห่วงโซ่อุปทานการผลิต ระดับโลกสำหรับภาคธุรกิจ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2562 โดยมีพันธกิจเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถจัดหาสินค้าและนำเข้าผลิตภัณฑ์จากทั่วโลกได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง แพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถเชื่อมต่อกับระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เป็นระบบที่รวมข้อมูลและกระบวนการทางธุรกิจไว้ในฐานข้อมูลเดียว เพื่อบริหารจัดการการจัดซื้อ การขาย และสินค้าคงคลังในหลายหมวดหมู่สินค้า อาทิ เครื่องจักรโรงงาน วัตถุดิบ อุปกรณ์กีฬา ของตกแต่ง บ้าน รวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม โดย EMonk ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนการบริหารทรัพยากรและการประสานงานด้านอุปทานอย่างไร้รอยต่อ
ในระหว่างการเยือนประเทศไทยนี้ คณะผู้แทนสตาร์ทอัพจากประเทศชิลีได้เข้าเยี่ยมชม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA), Tech Source ที่ True Digital Park, นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรม Investor Pitch Tank และงานสร้างเครือข่ายทางธุรกิจอื่น ๆ เพื่อเชื่อมโยงกับกลุ่มธุรกิจท้องถิ่นและสำรวจโอกาสความร่วมมือในอนาคต

เมคอัพ ไม่จำกัดเพศ แบรนด์ดัง LAKA จัดงาน THE MIXOLOGY OF BEAUTY BY LAKA

เมคอัพ ไม่จำกัดเพศ แบรนด์ดัง LAKA จัดงาน THE MIXOLOGY OF BEAUTY BY LAKAเจาะกลุ่มเจนใหม่ หวังโตกว่า 50% ชวนสองสาว ลีน่า-หมิว ร่วมเปิดประสบการณ์ความงาม

การยอมรับในเรื่องความหลากหลายและเท่าเทียมทางเพศที่ทั่วโลกพร้อมเปิดกว้าง กลายเป็นตลาดกลุ่มใหม่ที่น่าสนใจและโตขึ้นอย่างมากเนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว มีไอเดียสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งใหม่อยู่เรื่อย ๆ หลายแบรนด์มองเห็นโอกาสทางการตลาดในการนำเสนอสินค้าและบริการบนพื้นฐานของความเข้าใจ ขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ต่างตอบรับกับแนวคิด “ความงามที่ไร้กรอบ”

จากกระแสดังกล่าว สอดคล้องกับการมาถึงของ LAKA แบรนด์เมคอัพสัญชาติเกาหลีที่มีจุดยืนชัดเจน และเป็นแบรนด์ที่น่าจับตามองในประเทศไทย โดยมีบริษัท JSW Asset เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย ภายใต้คอนเซปต์ความงามที่ไม่จำกัดเพศ เน้นส่งต่อสินค้าสำหรับทุกคน ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ได้รับการออกแบบให้มีดีไซน์เรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์ เน้นใช้ง่ายจริงในชีวิตประจำวัน เนื้อผลิตภัณฑ์เบาสบาย สีที่ออกแบบมาคิดถึงทุกโทนผิว แพ็คเกจมินิมอลที่สวย ใช้ได้กับทุกเพศและทุกโทนสีผิว ภายใต้แนวคิด Love and Kind Artistry (LAKA) ซึ่งเน้นความอ่อนโยน ความคิดสร้างสรรค์ และการเปิดรับความงามในทุกรูปแบบคือจุดแข็งของแบรนด์
คุณเนธาน ลี และ คุณนที สิงหพุทธางกูร ผู้บริหารของบริษัท JSW Asset ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย กล่าวถึงจุดยืนในการทำธุรกิจและการทำตลาดในไทยว่า “แบรนด์ LAKA มีการส่งเสริม Gender Neutral Beauty คือความงามที่ไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบเพศหรือบรรทัดฐานใด ๆ ทุกคนควรมีอิสระในการใช้เมคอัพที่สะท้อนตัวเองจริง ๆ JSW Asset มองเห็นว่า คอนเซปต์ของแบรนด์มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ของไทย ที่เปิดกว้างขึ้น กล้าลอง กล้าสร้างลุคของตัวเองมากขึ้น รวมถึงตลาดเมคอัพไทย ก็เป็นตลาดที่แข็งแรงและมีศักยภาพสูง LAKA จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างของแบรนด์ที่เน้นความ
มีเอกลักษณ์ คุณภาพดี และเหมาะกับทุกคนจริง ๆ ด้วยจุดยืนตามที่กล่าวมา ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเราโดดเด่น สร้างกระแสฮือฮายิ่งได้ร่วมงานกับ KOL ที่หลากหลาย ทั้งเมคอัพ อาร์ติสต์ อินฟลูเอนเซอร์ และครีเอเตอร์หลายสไตล์ การสื่อสารที่เน้น Storytelling และ Emotional Bonding เป็นการทำตลาดที่แข็งแกร่ง เราจึงต่อยอดมาทำ POP-UP Tour – The Mixology of Beauty by LAKA กันในปีนี้
โดยการจัดงานในครั้งนี้ เหมือนเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่แบบเต็มรูปแบบของ LAKA โฉมใหม่ ทันสมัยขึ้น โตขึ้น งานที่ออกแบบมาเรามุ่งให้ลูกค้า สื่อมวลชน และเหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ได้เข้ามาเล่น มาลอง และทำความเข้าใจตัวตนผ่านการนำเสนอของแบรนด์ ในแต่ละโซนภายในงานอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ ทั้งการลองผสมเฉดลิปของตัวเองจากเครื่อง Mixology Bar ที่นำมาจากเกาหลี การทดลองเนื้อสัมผัส และมุมต่าง ๆ ของแบรนด์ที่ทุกกิจกรรมวางไว้


โดยหวังว่าทุกคนจะได้รู้จักตัวตนของ LAKA มากยิ่งขึ้น แล้วค่อยต่อยอดการขายในระยะยาวต่อไป ถึงแม้ว่าตลาดความงามในประเทศไทย จะเป็นตลาดใหญ่ที่มีความแข็งแรงและแข่งขันสูง แต่สำหรับแบรนด์ LAKA ที่มีจุดยืนด้านการตลาดชัดเจน ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้า สำหรับปี 2568 เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และหวังว่า ในปี 2569 จะเป็นปีที่ได้รุกตลาดอย่างเต็มตัว เราวางเป้าหมายเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 50% ซึ่งการเติบโตดังกล่าว มาจากออนไลน์และออฟไลน์ การขยายสาขาให้ครอบคลุมจุดที่กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงได้ โดยมีลิปสติกของ LAKA หลากเนื้อสัมผัส หลายเฉดสี
เป็น Hero Product ไม่ว่าจะทั้งลิปทินต์, ลิปกลอส, ลิปบาล์ม, ลิปสติก, ลิปแมทต์ หรือลิปออยล์บำรุงริมฝีปาก และที่แนะนำเป็นพิเศษ คือ Fruity Glam Tint เป็นผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของ LAKA ได้อย่างชัดเจนที่สุด เป็นไอเทมที่ได้รับการตอบรับดีที่สุด เนื้อสัมผัสบางเบา ให้ความฉ่ำวาวอย่างเป็นธรรมชาติ มาพร้อมกลิ่นผลไม้อ่อน ๆ มีให้เลือก 50 เฉดสี
ทาง JSW Asset เราวางแผนการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ ในช่วง 1–3 ปีข้างหน้า เราต้องการจะขยายสาขาให้ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้า เข้าถึงแบรนด์ LAKA ได้สะดวกยิ่งขึ้น และรองรับฐานลูกค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เราตั้งใจเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างมั่นคงร่วมกับพาร์ตเนอร์ รวมถึง มองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติม เพื่อให้แบรนด์สามารถเติบโตและเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างยิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ LAKA เชื่อว่าความงามไม่มีกรอบ ไม่มีเพศ ไม่มีคำจำกัดความ จึงอยากให้ทุกคนเปิดใจและลองสัมผัสความงามในแบบของตัวเองผ่านผลิตภัณฑ์ของเรา หวังว่า LAKA จะเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นใจในทุกวันของทุกคน”

ภายในงานยังได้สองนักแสดงสาว ลีน่า-ลลินา และ หมิว-ณัชชา ที่มาร่วมเปิดประสบการณ์แห่งโลกความงามของ LAKA ซึ่ง ลีน่า-ลลินา เผยว่า “รู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้มาร่วมงานกับแบรนด์ LAKA เพราะส่วนตัวลีน่าเคยใช้สินค้าของทางแบรนด์มาอยู่แล้ว พอได้มาสัมผัสตัวแบรนด์ในงานนี้ก็รู้สึกชอบในคอนเซปต์ของแบรนด์ที่ชัดเจนและเปิดกว้างในเรื่องของความหลากหลาย เนื้อสัมผัสเบาบาง สีชัดเนื้อแน่น ใช้ง่าย แล้วแพ็คเกจดีไซน์เค้าเป็นเอกลักษณ์มาก” เธอกล่าว ด้าน หมิว-ณัชชา ที่ชอบแต่งหน้าหลากหลายสไตล์ เล่าว่า “LAKA ทำให้การแต่งหน้าของทุกคนกลับมาสนุกอีกครั้ง เราไม่ต้องคิดว่า ผู้หญิงใช้ได้หรือผู้ชายใช้ไม่ได้ ทุกคนใช้ได้หมด ยิ่งสีของ Fruity Glam Tint คือสวยมาก ฉ่ำกำลังดี ติดทนนานกลิ่นผลไม้ก็หอมแบบไม่แรงเกินไป แล้วมีสีให้เลือกเยอะมาก ดีใจที่ได้มาร่วมงานและสัมผัสประสบการณ์จากทางแบรนด์ บรรยากาศในงานสนุกมาก และกิจกรรมก็ทำมาดีมาก ๆ เลยค่ะ”

ติดตามความเคลื่อนไหวและอัปเดตข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :
Facebook: https://www.facebook.com/LakaBeautyThailand
Instagram: https://www.instagram.com/laka.beauty.thailand/
TikTok: https://www.tiktok.com/@laka.thailand
X: https://x.com/LakaBeauty_TH

#Laka #LakaThailand #LAKAXBEAUTRIUM #TheMixologyofBeauty

อนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท เชิญชวนแขกผู้มาเยือนออกเดินทางสู่เส้นทางรสชาติแบบใหม่

คลาสทำอาหาร Spice Spoons รูปแบบใหม่บนเรือล่องแม่น้ำปิง

อนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท เชิญชวนแขกผู้มาเยือนออกเดินทางสู่เส้นทางรสชาติแบบใหม่ ผสมผสานคลาสทำอาหารไทย Spice Spoons เข้ากับการล่องเรือ “น้ำจิต” ในแม่น้ำปิง แขกจะได้เรียนรู้การทำอาหารไทยจานโปรดและอาหารเหนือยอดนิยมระหว่างล่องเรือชมวิวริมน้ำของเมืองเชียงใหม่

เครือโรงแรมอนันตราเป็นที่รู้จักมาอย่างยาวนานในการนำเสนอประสบการณ์อันแท้จริงที่สะท้อนภูมิประเทศ วัฒนธรรม และผู้คนในแต่ละจุดหมายปลายทาง สำหรับอนันตรา เชียงใหม่ ประสบการณ์ใหม่นี้เริ่มต้นด้วยการนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปยังตลาดท้องถิ่น เชฟจะพาแขกสำรวจวัตถุดิบสำคัญของอาหารไทย แนะนำวัตถุดิบทดแทนที่หาซื้อได้ง่าย และเชิญชิมอาหารทานเล่นจากพ่อค้า แม่ค้าที่เพิ่งปรุงสด ๆ จากเตา

เมื่อกลับมาที่รีสอร์ท แขกจะลงเรือ “น้ำจิต” ซึ่งเป็นเรือท้องแบนไม้สักขนาด 21 เมตร สร้างในสไตล์ล้านนา ตัวเรือเปิดโล่งทุกด้าน ทำให้สัมผัสลมเย็นสบายและชมวิวแม่น้ำได้รอบทิศ ภายใต้คำแนะนำจากเชฟผู้เชี่ยวชาญ แขกจะได้เรียนทำอาหารไทยเมนูยอดนิยม เช่น ต้มยำกุ้ง และแกงเขียวหวาน รวมถึงเมนูอาหารเหนืออย่างข้าวซอย แกงฮังเล และน้ำพริกอ่อง หลังจากนั้นแขกจะได้อิ่มอร่อยกับอาหารมื้อเที่ยงฝีมือตนเองบนเรือ พร้อมเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพริมฝั่งน้ำของเมืองเชียงใหม่ ปิดท้ายด้วยการมอบประกาศนียบัตร Spice Spoons และสูตรอาหารให้กลับไปทำที่บ้านได้

“การเรียนทำอาหาร Spice Spoons บนเรือ ‘น้ำจิต’ เป็นอีกประสบการณ์พิเศษในการเข้าถึงจิตวิญญาณของเชียงใหม่” มร. อาโนลด์ เบริล ผู้จัดการทั่วไป (Cluster General Manager) ประจำอนันตรา เชียงใหม่ รีสอร์ท และ อนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ แคมป์ช้าง แอนด์ รีสอร์ท กล่าว “นี่คือการตอกย้ำคำมั่นสัญญาของอนันตราในการเชื่อมโยงนักเดินทางเข้ากับแก่นแท้ของแต่ละจุดหมาย ไม่ว่าจะผ่านอาหาร ชุมชน หรือความงดงามของสายน้ำ”


ประสบการณ์เรียนทำอาหารไทย Spice Spoons บนเรือ ราคาอยู่ที่ 4,800++ บาทต่อท่าน รวมการเยี่ยมชมตลาดด้วยรถตุ๊กตุ๊ก หรือ ราคา 3,800++ บาทต่อท่านสำหรับเฉพาะล่องเรือและคลาสทำอาหาร การเยี่ยมชมตลาดเริ่มเวลา 10.00 น. และเรือออกเวลา 11.00 น. กรุณาสำรองที่ล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง นอกจากนี้แขกยังสามารถเลือกเรียนทำอาหาร แบบดั้งเดิมที่ครัวสาธิต ณ ห้องอาหารโพธิ์เทอเรซ (Bodhi Terrace) ภายในรีสอร์ทได้เช่นกัน

เรือ “น้ำจิต” เป็นหนึ่งในเรือ 3 ลำ ของฟลีทเรือจ้าวปิง ริเวอร์ครูซ ที่มีโปรแกรมการล่องเรือที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเรือเยี่ยมชมวัดเกตการามและชุมชนท้องถิ่นในตอนเช้า (Morning Voyage) การล่องเรือจิบน้ำชายามบ่าย (Afternoon Tea Cruise) ทริปล่องชมยามเย็นเมื่อพระอาทิตย์ตก (Sunset Cruise) หรือดินเนอร์สุดพิเศษที่เมนูออกแบบโดยเชฟมิชลินสตาร์ชื่อดังของไทยบนเรือทิพยานจิต (Dibba Yana Chitta) ผลงานการออกแบบเรือลำแรกและลำเดียวจากศิลปินไทยชื่อดังระดับโลกอย่างอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือต้องการสำรองที่นั่ง กรุณาโทร +66 53 253 333
หรืออีเมล chiangmai@anantara.com

คึกคัก !! “หินซ้อน” เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ “พายเรือแคนูและคายัค ล่องลำน้ำป่าสัก

“หินซ้อน” เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ “พายเรือแคนูและคายัค ล่องลำน้ำป่าสัก ชมผาหมีเหนือเสือใต้

เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2568 เวลา 14.00 น. นายจิรัญชัย อาทิตย์นพชัย นายอำเภอแก่งคอย ปลัดอำเภอ คณะแพทย์จากศิริราช ร่วมกิจกรรมเทศกาลท่องเที่ยงเชิงนิเวศน์ตำบลหินซ้อน “พายเรือแคนูและคายัค ล่องลำน้ำป่าสัก ชมผาหมีเหนือเสือใต้” ณ จุดลงเรือวัดศรีวังม่วง หมู่ที่ 7 ตำบลหินซ้อน อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี






ซึ่งจัดขึ้นโดยความร่วมมือของชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตำบลหินซ้อน สมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดสระบุรี และอำเภอแก่งคอย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับผู้รักสุขภาพ การผจญภัย และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยมีนายสมนึก อินทรชาติ กำนันตำบลหินซ้อน พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ ตำบลหินซ้อน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว





18 พฤศจิกายน 2568

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จับมือ ศศินทร์ เร่งสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรไทย

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จับมือ ศศินทร์ เร่งสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรไทย คัดเลือกองค์กรที่มีความเป็นเลิศ เตรียมประกาศเชิดชูเกียรติในงาน TMA Excellence Awards 2025  

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เร่งสำรวจความคิดเห็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรไทย และผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการธุรกิจ ต่อความเป็นเลิศในการบริหารจัดการ เพื่อคัดเลือกและประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการ ในงาน “TMA Excellence Awards 2025” ที่เตรียมจัดขึ้นในวันที่ 26 พฤศจิกายน นี้ ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ 

การเชิดชูองค์กรธุรกิจไทยที่มีความเป็นเลิศในการบริหารจัดการผ่านโครงการรางวัลพระราชทาน Thailand Corporate Excellence Awards และรางวัล SMEs Excellence Awards ถือเป็นพันธกิจสำคัญของสมาคมฯ ที่ต้องการส่งเสริมและผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน 


โดย Thailand Corporate Excellence Awards เป็นโครงการรางวัลพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่ง TMA ร่วมกับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นด้านความเป็นเลิศในการบริหารจัดการธุรกิจ ของผู้บริหารระดับสูงขององค์กรและผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการธุรกิจของประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2545  ในขณะที่รางวัลพระราชทาน SMEs Excellence Awards เป็นโครงการที่มุ่งเน้นส่งเสริมการยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจของ SMEs ไทย เพื่อให้เกิดความตื่นตัวในการพัฒนาและรักษาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งความเป็นเลิศในการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ และการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส มีจริยธรรมและธรรมภิบาล 

นายนิธิ ภัทรโชค ประธาน สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) กล่าวถึงโครงการ TMA Excellence Awards ว่า “ขณะนี้ การสำรวจความคิดเห็นกำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น องค์กรทุกแห่งที่ได้รับการเสนอชื่อได้ผ่านการประเมินจากคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญและผู้ทรงคุณวุฒิ รวมไปถึงความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำของประเทศ เพื่อให้ได้รายชื่อองค์กรที่มีความโดดเด่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละสาขารางวัล ซึ่งแต่ละองค์กรต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการที่เป็นเลิศ มีความโดดเด่นและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาทุกท่าน อีกทั้งยังสามารถเป็นแรงบันดาลใจและเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรอื่นๆ ในการพัฒนาการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น” 

9 สาขารางวัล Corporate Excellence และ 3 สาขารางวัล SMEs Excellence

ปีนี้ การประกาศผลและมอบรางวัลพระราชทานในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี Thailand Corporate Excellence Awards 2025 จะมีทั้งสิ้น 9 สาขารางวัล คือ 

• สาขารางวัลสำหรับองค์กรที่มีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท/ปี  จำนวน 8 สาขา ดังนี้

1. สาขาความเป็นเลิศด้านการบริหารทางการเงิน (Financial Management Excellence)

2. สาขาความเป็นเลิศด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล (Human Resource Management Excellence)

3. สาขาความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ (Innovation Excellence)

4. สาขาความเป็นเลิศด้านผู้นำ (Leadership Excellence)

5. สาขาความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence)

6. สาขาความเป็นเลิศด้านสินค้า/การบริการ (Product/ Service Excellence)

7. สาขาความเป็นเลิศด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Excellence)

8. สาขาความเป็นเลิศในการพัฒนาการบริหารจัดการขององค์กร (Corporate Improvement Excellence)

• สาขารางวัลสำหรับองค์กรที่มีรายได้ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท/ปี  จำนวน 1 สาขา คือ 

1. สาขาความเป็นเลิศในการบริหารจัดการโดยรวม (Corporate Management Excellence)

โดยจะมีรางวัล 2 ประเภท คือ รางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่จะมอบให้แก่องค์กรที่มีผลคะแนนรวมสูงสุดจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง และรางวัล Distinguished Awards ที่มอบให้แก่องค์กรที่มีผลคะแนนรวมเป็นลำดับถัดไป

ส่วนโครงการรางวัลพระราชทาน SMEs Excellence Awards 2025 จะมอบให้แก่สถานประกอบการที่มีรายได้เกินกว่า 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท/ปี  มี 3 ประเภทธุรกิจ ดังนี้

1. ประเภทธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิต (Manufacturing)

2. ประเภทธุรกิจบริการ (Services)

3. ประเภทธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง (Trading) 

และมี 2 ประเภทรางวัล ได้แก่ รางวัลพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับธุรกิจ SME ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละประเภทธุรกิจ และรางวัล SMEs Excellence Awards ซึ่งมี 2 ลำดับ คือ Gold Award และ Silver Award โดยจะมอบรางวัลในระดับเดียวกับที่ SMEs ได้รับ ให้แก่ธนาคารพาณิชย์และองค์กรธุรกิจที่ร่วมเสนอชื่อ SMEs เข้าร่วมในโครงการด้วย 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในค่ำคืนแห่งเกียรติยศ เพื่อเชิดชูความสำเร็จและความภาคภูมิใจขององค์กรธุรกิจในเวทีระดับประเทศ ในงาน TMA Excellence Awards 2025 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 เวลา 17.00 – 21.00 น. ณ ห้องแมกโนเลีย บอลรูม ชั้น 10 โรงแรม วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน TMA Excellence Awards 2025
ติดต่อ คุณญาณินท์ และคุณแพรวา โทร. 02-319-7677 Ext. 249,280 080-011-9999,092-296-6641
หรืออีเมล yanin@tma.or.th, praewa@tma.or.th

17 พฤศจิกายน 2568

ทีเส็บปลื้มผลงานเด่น แคมเปญ "ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย" ก้าวสู่ Top 3 รางวัลระดับโลก

ทีเส็บสร้างผลงานเด่น แคมเปญ "ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย" ได้เข้ารอบ Top 3 รางวัล Social Impact Marketing ยืนยันแคมเปญนี้ไม่เพียงแค่ส่งเสริมการจัดประชุม แต่สะท้อนคุณค่าและการสร้างแรงบันดาลใจ จนได้เข้ารอบแคมเปญการตลาดยอดเยี่ยม บนเวที SMARTIE Thailand 2025 จัดโดย MMA Global

แคมเปญ "ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย" ที่ได้เข้ารอบรางวัล SMARTIE Thailand 2025 ทำให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เป็นองค์กรภาครัฐเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายในปีนี้ 

ทั้งนี้ รางวัล Smarties Thailand Award คือเวทีการตลาดระดับโลกที่จัดโดย MMA Global เพื่อยกย่องแคมเปญการตลาดที่ประสบความสำเร็จสูงสุดด้านความคิดสร้างสรรค์ เทคโนโลยี และผลกระทบต่อธุรกิจ ซึ่งผู้ชนะจะได้รับการยอมรับในระดับสากลและถูกจัดอันดับในเวทีต่าง ๆ เช่น WARC 100 จากองค์กรผู้เชี่ยวชาญงานวิจัยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการโฆษณาระดับโลก ‘WARC’ (World Advertising Research Center) โดยในปีนี้มีการมอบรางวัลให้กับแคมเปญการตลาดยอดเยี่ยมทั้งหมด 7 สาขา ประกอบด้วย 17 สาขารางวัลย่อย



ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ทีเส็บ กล่าวว่า “ทีเส็บมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในฐานะหน่วยงานภาครัฐเพียงหนึ่งเดียวที่ได้พิสูจน์การสร้างผลงานด้านการตลาดให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศและมีความโดดเด่นจนได้เข้ารอบ 3 คนสุดท้ายรางวัลระดับโลก สะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของเอกชน องค์กร สมาคมที่มีแนวทางร่วมกันไม่จำกัดเฉพาะการจัดงานให้สำเร็จ แต่ช่วยกันขับเคลื่อนคุณค่างานประชุมไปสู่เศรษฐกิจชุมชน เพิ่มโอกาสกระจายรายได้สู่ภูมิภาคและท้องถิ่น สอดรับกับเป้าหมายของทีเส็บที่มุ่งให้การจัดงานสร้างผลกระทบเชิงบวกในพื้นที่จัดงานและตอบสนองเป้าหมายการพัฒนา Local Strength ให้ได้รับ Global Recognition ซึ่งก็คือการสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยและเศรษฐกิจในภาพรวม”

แคมเปญ “ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย” เป็นแคมเปญการตลาดออนไลน์เพื่อกระตุ้นการจัดประชุม สัมมนา และการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศ (Meetings & Incentives) ผ่านการจัดประกวดภาพถ่ายและวิดีโอที่ถ่ายทอดความประทับใจจากกิจกรรมการจัดประชุม สัมมนา และการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศ โดยเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมเผยแพร่คอนเทนต์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและมุมมองใหม่ในการเดินทางจัดประชุมในไทย พร้อมสื่อสารแนวคิดสำคัญ 3 ประการ “รักชุมชน รักสุขภาพ และรักษ์โลก” มอบสิทธิประโยชน์และรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท

แคมเปญนี้สะท้อนแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของทีเส็บ ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทย ผ่าน 3 มิติหลัก ได้แก่ 1.Strategic Innovation โดยใช้ Sentimental Marketing แทนการให้เงินอุดหนุนโดยตรงเพื่อสร้าง Real Demand ในตลาดไมซ์ 2.Sustainable Economic Impact สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ยั่งยืนในวงกว้าง และ 3.People-centered and Inclusive สร้างระบบนิเวศไมซ์ให้แข็งแรง เพื่อให้เกิดงานไมซ์ในทุกภูมิภาค และไมซ์ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและเป็นเครื่องมือกระจายรายได้ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ และทุกภาคส่วนของสังคม

นอกจากนี้ แคมเปญยังมีผลลัพธ์เชิงตัวเลขที่ประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมตลอดระยะเวลาแคมเปญ (มิ.ย.-พ.ย. 2567) ทั้งสิ้น 14,971 คน เกินเป้าหมายผู้เข้าร่วมที่ตั้งไว้ถึง 125% สามารถสร้าง Economic Impact ได้ถึง 133.54 ล้านบาท เป็นจำนวนเงินที่ไหลเข้าสู่ชุมชนท้องถิ่น เกิดการซื้อขายจ้างงาน การใช้บริการจากชุมชนในการจัดกิจกรรมประชุม สัมมนา และการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลภายในประเทศ เป็นการมอบงานและโอกาสให้แก่ชุมชนท้องถิ่น

“การได้เข้ารอบ 1 ใน 3 อันดับ ในเวทีระดับโลกครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางการตลาดของอุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศ รวมถึงเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จของทีเส็บในการผลักดันให้เกิดการใช้ไมซ์เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนสร้างเม็ดเงินให้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง” ดร.ศุภวรรณ กล่าวทิ้งท้าย