16 ตุลาคม 2568

ปลุกเศรษฐกิจไทยด้วยนวัตกรรม INT มหิดล เดินหน้าผลักดันงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง

รศ. ดร. วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม (INT) และนายกสมาคมวิชาชีพนักจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและถ่ายทอดเทคโนโลยี (AITP) ชี้ แทบจะไม่มีประเทศใดก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลางได้สำเร็จโดยปราศจากนวัตกรรม เผยนวัตกรรมคือกลไกหลักในการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของไทย พร้อมเดินหน้าผลักดันพันธกิจด้านนวัตกรรมของ INT เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผ่านการสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมโยงภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชนเข้าด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม ย้ำหากธุรกิจไทยยังดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม ๆ โดยไม่พึ่งพานวัตกรรม จะไม่สามารถแข่งขันในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อีกต่อไป 


INT: กลไกกลางเชื่อมงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์จริง
สถาบันเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม หรือ INT ภายใต้การกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยมหิดล มีภารกิจหลักในการเป็น “ประตูสู่โอกาสทางนวัตกรรม” ทำหน้าที่เชื่อมโยงงานวิจัย เทคโนโลยี และองค์ความรู้กับภาคอุตสาหกรรม ผ่าน 3 กลไกสำคัญ ได้แก่ 1) Venture Gateway to Growth สนับสนุนผู้ประกอบการและ Startups จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย ผ่านโครงการบ่มเพาะ เช่น SPACE-F Accelerator ด้าน Food Tech และจัดตั้ง MU Holding เพื่อร่วมลงทุนกับ Venture Capital ระดับโลก 2) Technology Gateway to Impact  บริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดการใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ 3) Service Gateway to Well-being ให้บริการทางวิชาการและสร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับองค์ความรู้สู่เศรษฐกิจและสังคมไทย

ด้วยความมุ่งมั่นในการบ่มเพาะบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง INT ได้รับรางวัล Prime Minister’s Award 2025 สาขาการพัฒนาทุนมนุษย์ (Best Contributor in Human Capital Development) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) สะท้อนความสำเร็จของสถาบันในการสร้างทั้ง “คน” และ “วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม”

“การได้รางวัลนี้เป็นสิ่งที่เราภาคภูมิใจ เพราะสะท้อนให้เห็นว่าเรากำลังเดินมาถูกทาง การพัฒนาทุนมนุษย์ไม่ได้หมายถึงเพียงการสร้างคนที่มีความสามารถ แต่รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมที่ทำให้คนกล้าคิด กล้าทำ และกล้าลองสิ่งใหม่ ผมเชื่อเสมอว่าการทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริงไม่ได้เริ่มจากนโยบาย แต่เริ่มจากวัฒนธรรมของคน” รศ. ดร. วิริยะกล่าว

ผนึกสองบทบาท INT – AITP เสริมพลังขับเคลื่อนนวัตกรรมไทยในฐานะที่ดำรงตำแหน่งทั้ง ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม (INT) และ นายกสมาคมวิชาชีพนักจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและถ่ายทอดเทคโนโลยี (AITP)  รศ. ดร. วิริยะ มองว่าการทำงานร่วมกันของทั้งสององค์กรเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้นวัตกรรมสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับประเทศอย่างแท้จริงและเห็นผล โดย รศ.ดร.วิริยะให้ความเห็นว่า 

“งบประมาณด้านวิจัยและนวัตกรรมของไทยในแต่ละปีไม่ได้น้อย เพียงแต่เรายังไม่สามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นผลลัพธ์เชิงบวกหรือเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นจากงานวิจัยและนวัตกรรม หน้าที่ของสถาบัน INT และสมาคม AITP คือการ Synchronizeเชื่อมโยง และสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมของประเทศ ไปจนถึงการปิดช่องว่างระหว่างภาควิจัยและภาคเอกชน ทำให้งานวิจัยของไทยสามารถต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ บริการ และธุรกิจที่ตอบโจทย์สังคมได้จริง”

ปิดช่องว่างนวัตกรรมไทย เสริมจุดแข็งระบบวิจัยรศ. ดร. วิริยะ อธิบายว่า ปัญหาที่ระบบนวัตกรรมไทยเผชิญอยู่ในปัจจุบันคือการเชื่อมต่อองค์ความรู้ แม้เราจะมีงานวิจัยคุณภาพสูงและภาคธุรกิจที่ต้องการนวัตกรรม แต่ยังขาดกลไกที่ทำให้ทั้งสองภาคส่วนมาบรรจบกันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้องค์ความรู้หรือนวัตกรรมจำนวนมากยังไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์จริง โดยช่องว่างสำคัญที่ต้องเร่งอุดมี 3 ประการ ได้แก่ 

: Speed Gap – ระบบการทำงานของภาครัฐเคลื่อนไหวช้ากว่า ขณะที่ภาคเอกชนต้องการความรวดเร็ว

: Purpose Gap – นักวิจัยมุ่งสร้างองค์ความรู้เชิงวิชาการ ส่วนภาคธุรกิจมุ่งผลลัพธ์เชิงพาณิชย์

: Capability Gap – ทั้งสองภาคส่วนอาจยังไม่เข้าใจศักยภาพและภาษาการทำงานของกันและกัน

“หน้าที่ของ INT และ AITP คือการทำให้ทั้งสองภาคส่วนเข้าใจกันมากขึ้น และเดินไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้ผลงานวิจัยของไทยสร้างผลลัพธ์ออกมาเป็นนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริงและเกิดประโยชน์จริง” รศ.ดร.วิริยะ กล่าวเพิ่มเติม

จากห้องแล็บสู่ชีวิตจริง: ผลงานนวัตกรรมไทยที่สร้างผลลัพธ์สถาบัน INT ได้ผลักดันให้ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม เช่น : MUI Robotics บริษัท Startup นวัตกรรมที่สามารถแปลงกลิ่นให้กลายเป็นข้อมูลดิจิทัล บริการตรวจวัดกลิ่นด้วยเทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิก โดยปัจจุบันได้รับทุนระดับนานาชาติ และกำลังขยายการใช้งานในหลายภาคธุรกิจ 

: Artimed บริษัท Startup ผลิตแขนเทียมจากซิลิโคนและยางพาราดัดแปลง งสำหรับฝึกเจาะเลือดในทางการแพทย์ มีผิวสัมผัสใกล้เคียงมนุษย์ที่สุดในปัจจุบัน ช่วยเพิ่มทักษะให้กับบุคลากรทางการแพทย์

: Nutriflow  การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่บริษัทเอกชนเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารที่ให้สารอาหารครบถ้วนในหนึ่งมื้อ ดื่มง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากลืนลำบาก ผู้สูงอายุ ไปจนถึงผู้ต้องการดูแลสุขภาพ

จากความสำเร็จในการนำนวัตกรรมและงานวิจัยสู่การใช้งานจริงเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นว่าหากช่องว่างทางนวัตกรรมได้ถูกปิดอย่างถูกจุด งานวิจัยไทยก็สามารถสร้างผลกระทบที่จับต้องได้ และเติบโตเป็นธุรกิจนวัตกรรมที่แข่งขันได้ในระดับสากลเช่นกัน

Next Step Forward: ผลักดันนวัตกรรมไทยสู่ตลาดโลก INT เดินหน้าสร้างความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายระดับนานาชาติ เพื่อยกระดับผลงานวิจัยไทยให้แข่งขันได้ในเวทีโลก โดย 3 เทรนด์นวัตกรรมสำคัญที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้าม ได้แก่ AI (Artificial Intelligence), Sustainability, และ Longevity & Wellness

“ผมคิดว่าเทรนด์เหล่านี้เป็นเทรนด์ที่เราไม่ควรตกขบวน แต่เราต้องทำในบริบทของประเทศไทย เช่น Sustainability ควรหมายถึงความยั่งยืนที่สอดคล้องกับสังคมไทย เช่นตอนนี้สิ่งที่เราควรเร่งแก้คือ PM2.5 มากกว่าการพูดเรื่องคาร์บอนเท่านั้น ส่วน AI ต้องใช้ประโยชน์อย่างมีกลยุทธ์ เราอาจจะไม่สามารถแข่งขันในด้านการสร้างหรือพัฒนา AI ขึ้นมาเองทั้งหมด แต่เราต้องใช้ประโยชน์ให้เป็น และสุดท้ายเทรนด์ Longevity คือจุดแข็งที่ไทยควรต่อยอด เช่น สมุนไพรไทยและนวัตกรรมด้านความงาม ซึ่งสามารถทำให้ประเทศเรามีจุดยืนชัดในระดับโลก”

รศ.ดร. วิริยะ ยังกล่าวให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัญหาหรืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของการพัฒนาและผลักดันนวัตกรรมไทยไม่ใช่การขาดงบประมาณหรือขาดบุคลากรแต่คือความเชื่อว่า‘ของไทยไม่ดี’ ดังนั้นทางแก้คือต้องเริ่มตั้งแต่การสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม สร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง แล้วจึงจะสามารถสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่แข็งแรงและยั่งยืนได้