กรุงเทพฯ – ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) มีการแพร่ระบาดในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย รัฐบาลประกาศเลื่อนการเปิดเทอมยาวออกไป ด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนนักศึกษาที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าวจึงทำให้สถานศึกษามีการปรับการเรียนการสอนเป็นในรูปแบบของการเรียนทางออนไลน์ทำให้เด็กๆต้องใช้เวลาไปกับหน้าจอดิจิทัลมากกว่าปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตาเพราะแสงสีน้ำเงิน (Blue light)จากอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊คแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนอาจเป็นอันตรายต่อดวงตาของเด็กๆ ทั้งสิ้น และการเล่นอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานานๆ จะนำมาซึ่งปัญหาและผลกระทบต่อเด็ก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ภัยที่เกิดจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลที่ส่งผลต่อสายตาเด็กที่พ่อแม่อาจมองข้ามประกอบด้วยภาวะตาล้า(Digital
Eye Strain)เกิดจากการจ้องจอมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ
ก็จะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆ ในตาหดตัวเกือบตลอดเวลาทำให้มีอาการตาล้า จึงเป็นที่มาของการมองเห็นที่พร่ามัวชั่วคราวโรคจอประสาทตาเสื่อม
(AMD)โดยแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์ดิจิทัลจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ
ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทตา หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้โรคสายตาสั้นมาก
(pathological
myopia)การเพ่งอยู่หน้าจอเป็นระยะเวลานานกว่า 2.5
ช.ม ต่อวัน โดยเฉพาะในระยะน้อยกว่า 20 ซ.ม นานกว่า 45 นาที
เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นได้เร็วและมากขึ้นในเด็กไม่เพียงภาวะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติแต่ยังเสียบุคลิกภาพ
เพราะต้องหยีตาตลอด เมื่อเด็กมองไม่ชัด ซึ่งภาวะสายตาสั้นทำให้จำเป็นต้องหยีตามองสิ่งต่างๆ
ที่อยู่ในระยะไกลตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อวิสัยทัศน์และบุคลิกภาพเพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้สายตาของลูกเสียก่อนวัยอันควรเอสซีลอร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตาชั้นนำของโลก มีข้อแนะนำดีๆสำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากกัน
เลนส์ Blue UV Capture ของเอสซีลอร์
เครดิตภาพ:เมญ่า-นนธวรรณบรามาซมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2014
เลือกใช้แว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน
การเลือกใช้แว่นตาที่มีเทคโนโลยีกรองแสงสีน้ำเงิน
จึงเป็นก้าวแรกในการถนอมดวงตาของเด็กและลดความเสี่ยงจากโอกาสการเกิดปัญหาทางสายตาที่รุนแรงขึ้นในอนาคตเลนส์เอสซีลอร์
Blue UV Captureนวัตกรรมกรองแสงสีน้ำเงินชนิดอันตรายในเนื้อเลนส์แต่ปล่อยช่วงแสงที่มีประโยชน์ผ่านเข้ามา
เลนส์
Blue UV Capture สามารถปกป้องดวงตามากกว่าเลนส์ใสทั่วไป 3 เท่า รวมถึงป้องกันรังสียูวีทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเลนส์มากถึง 35
เท่า
เลนส์แว่นตาแม้ใช้เพียงปกป้องดวงตาโดยไม่มีค่าสายตาเพื่อแก้ไขการมองเห็น
ก็ควรเลือกเลนส์คุณภาพเพื่อถนอมดวงตาของลูกน้อยในระยะยาว
·
ใช้จอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมและปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอเหมาะ
พ่อแม่ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดมากกว่า
19 นิ้ว และเป็นจอที่กันแสงสะท้อน เพราะถ้ามีแสงสะท้อนจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา และที่สำคัญควรปรับสภาพแวดล้อม
แสงสว่างโดยรอบให้พอดี เพื่อลดความสว่างของหน้าจอไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป
และควรจัดแสงจากภายนอกให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
ไม่ให้แยงตาโดยตรงเพราะจะทำให้ตาล้ามากขึ้น
·
กำหนดระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าจอ
ระยะห่างที่พอเหมาะสำหรับอุปกรณ์ดิจิทัลจะทำให้ลูกของคุณไม่ต้องใช้กำลังโฟกัสของตามากเกินไปจนเกิดอาการล้าของตาได้
หากใช้แทบเล็ต หรือหน้าจอมือถือควรห่างประมาณ 1 ฟุต
ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะควรห่างประมาณ 2 ฟุต
ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจัดระยะห่างให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพสายตาที่ดีสำหรับลูกๆ
รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เองด้วย
·
ปรับขนาดตัวอักษรบนหน้าจอดิจิทัล
ไม่ให้มีขนาดเล็กจนเกินไป
ขนาดตัวอักษรที่ทำให้อ่านได้สบายตาในเวลานานๆ
จะต้องมีขนาดอย่างน้อย 3 เท่าของขนาดที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้ในระยะนั้น
·
พักสายตาด้วยเทคนิค 20-20-20
พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักพักสาตา ด้วยเทคนิค
20-20-20 คือทุก 20 นาทีในการจ้องหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ควรพักสายตา 20 วินาที
โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เพื่อช่วยให้ดวงตามีการเปลี่ยนระยะโฟกัสและผ่อนคลาย
ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ปกครองอาจให้เด็กๆ ได้พักจากหน้าจอลุกยืดเส้นยืดสายด้วย
เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปพร้อมกัน
นอกเหนือจากการดูแลปกป้องดวงตาของเด็กๆแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้งเพราะการมองเห็นคือสิ่งสำคัญ
เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจดวงตา เพราะโรคทางตาหลายโรคที่จะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว
เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจสายเกินกว่าจะรักษาให้เป็นปกติได้
สำหรับข้อมูลผลิตภัณฑ์สำหรับการดูแลสุขภาพดวงตา หรือรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์