31 มีนาคม 2564

แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์ ผู้สูงอายุเกิน60 ปี เดินทางฟรี

แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษในวันที่ 9 เมษายน 2564 จัดคาราวานคนดังยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา ออกส่งความสุขให้แก่ผู้โดยสารด้วยของขวัญสุดพิเศษที่สถานีพญาไท , มักกะสัน และสุวรรณภูมิ และให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เดินทางฟรีในวันที่ 13 เมษายน 2564

รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เฉลิมฉลองปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษ 2 กิจกรรม เริ่มต้นด้วยการจัดคาราวานคนดัง 13 คน ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา นำโดย เกรซ นรินทร มิสไทยแลนด์เวิลด์ , โบว์ สุรัตนาวี , ซูกัส บัณฑวิช ตระกูลพานิชย์, จุ๊บแจง วิมลพันธ์ , ปุ้ย อรัญญา และเน็ตไอดอลหนุ่มสุดหล่อที่มียอดติดตามสูงสุด ออกส่งความสุขให้แก่ผู้โดยสารด้วยของขวัญสุดพิเศษ  ที่สถานีพญาไท , มักกะสัน และสุวรรณภูมิ ในวันที่ 9 เมษายน 2564 ตั้งแต่ 12.00 เป็นต้นไป และพิเศษสุดให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี เดินทางฟรีในวันที่ 13 เมษายน 2564

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด  เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ไทยเทศกาลสงกรานต์ 2564 ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งมอบความสุขให้แก่ผู้โดยสาร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ สุขสันต์วันสงกรานต์ปีใหม่ไทยไม่สาดน้ำ ” เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด -19 บริษัทจึงได้จัดกิจกรรมการตลาดสุดพิเศษ 2 กิจกรรม เริ่มต้นด้วยการจัดคาราวานคนดัง 13 คน ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา นำโดย เกรซ นรินทร มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019 – 2020 , โบว์ TK  , ซูกัส บัณฑวิช ตระกูลพานิชย์,  จุ๊บแจง วิมลพันธ์ , ปุ้ย อรัญญา และเน็ตไอดอลหนุ่มสุดหล่อ สาวหล่อที่มียอดติดตามสูงสุด ออกส่งความสุขให้แก่ผู้โดยสารด้วยของขวัญสุดพิเศษ ได้แก่ โมอิ คอลลาเจน พีซ , หน้ากากอนามัย , เจลแอลกอฮอล์ และกระดาษทำความสะอาด Urban Mint Refreshing Wipe พร้อมด้วยวงดนตรี Percussion Trio Band ร่วมบรรเลงเพลงเฉลิมฉลองตลอดทั้งกิจกรรม ที่สถานีพญาไท , มักกะสัน และสุวรรณภูมิ ในวันที่ 9 เมษายน 2564 ตั้งแต่ 12.00 น. เป็นต้นไป นอกจากนั้นสำหรับผู้โดยสารที่ไม่ได้เดินทางในวันดังกล่าวสามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมในรูปแบบออนไลน์ได้โดยถ่ายภาพของท่านในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งมาร่วมสนุกผ่านทางเฟซบุ๊ค Official Page Airport Rail Link ลุ้นรับบัตรกำนัลร้านกาแฟชื่อดังจำนวน 50 รางวัล รายละเอียดการร่วมสนุกติดตามทาง เฟซบุ๊ค Official Page Airport Rail Link

นอกจากนั้นในวันที่ 13 เมษายน 2564 ซึ่งเป็นวันผู้สูงอายุ บริษัทได้เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ใช้บริการฟรี ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวตลอดวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 – 24.00 น.  เพียงแค่ผู้สูงอายุแสดงบัตรประจำตัวประชาชนแก่เจ้าหน้าที่จำหน่ายตั๋วโดยสารประจำสถานี

ส่วนงานบริการลูกค้าสัมพันธ์ Call Center 1690 หรือ www.srtet.co.th www.facebook.com/AirportRailLink และ Twitter : Airport Rail Link

29 มีนาคม 2564

ท็อปกอล์ฟเตรียมเปิดตัวในไทยภายในกลางปี 2565

นำประสบการณ์ความบันเทิงและกีฬากอล์ฟระดับโลกเปิดที่กรุงเทพ

กรุงเทพฯ - 30 มีนาคม 2564 – บริษัท ทีจี เอสอีเอ ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด ผู้พัฒนาที่ได้รับอนุญาตจาก
ท็อปกอล์ฟ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป ผู้นำด้านธุรกิจความบันเทิงระดับโลก ประกาศวันนี้ว่าจะนำประสบการณ์ ท็อปกอล์ฟสู่กรุงเทพฯ ภายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 

ศูนย์รวมความบันเทิงของท็อปกอล์ฟแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะตั้งอยู่ติดกับศูนย์การค้าเมกาบางนา ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพฯ

ท็อปกอล์ฟ เมกาซิตี้ ซึ่งจะเปิดใหม่นี้ มีแผนที่จะว่าจ้างงานบุคลากรมากกว่า 400 คน เป็นศูนย์รวมความบันเทิงสูง 3 ชั้นครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 47,000 ตารางเมตร (ราว 29 ไร่) ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่เกือบเท่ากับสนามฟุตบอล 7 สนามรวมกัน รวมทั้งฮิตติ้งเบย์กลางแจ้งถึง 98 ช่อง พร้อมที่นั่งแสนสะดวกสบายรองรับผู้เล่นกว่า 600 คนไว้คอยบริการตลอดวัน ภายในศูนย์รวมความบันเทิงแห่งนี้ยังมีบาร์และร้านอาหารที่หลากหลาย ห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่และอื่นๆอีกมากมาย แขกผู้มาเยือนสามารถเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพสูงหลากหลายรายการ นับตั้งแต่อาหารอเมริกันคลาสสิกไปจนถึงอาหารไทยรสเลิศ โดยเลือกวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมจากในประเทศที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถันโดยเชฟ

ในปัจจุบัน ลูกค้าสามารถเพลิดเพลินกันประสบการณ์ท็อปกอล์ฟได้ใน5 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา
สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ)

“การนำเสนอประสบการณ์ความบันเทิงระดับไอคอนิกแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนรุกขยายธุรกิจของเราเพื่อมอบช่วงเวลาอันน่าประทับใจแก่ผู้ที่ชื่นชอบกีฬากอล์ฟ รวมไปถึงบุคคลทั่วไปที่แม้จะไม่ได้เล่นกอล์ฟก็ตาม โดยลูกค้ามากกว่า 20 ล้านคนจากทั่วโลกได้ใช้บริการของท็อปกอล์ฟเกือบ 70 แห่งในแต่ละปี ทั้งที่ลาสเวกัสไปจนถึงโกลด์โคสต์ ออสเตรเลีย และจากไมอามีไปจนถึงดูไบ เราจึงมั่นใจว่าการนำเสนอแหล่งสังสรรค์ในแบบฉบับท็อปกอล์ฟจะเป็นที่ถูกใจลูกค้าชาวไทยอย่างแน่นอน” มร.แอนดรูว์ นาธาน กรรมการผู้จัดการ ทีจี เอสอีเอ ดีเวล็อปเมนต์ กล่าว


มร.ทิม โบดา ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ท็อปกอล์ฟ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นนักกอล์ฟตัวจริงหรือผู้เล่นหน้าใหม่ในเกมกีฬาชนิดนี้ ก็จะหลงรักการใช้เวลาว่างที่ดีร่วมกัน ทั้งครอบครัวและเด็ก ๆ จะได้สนุกสนานเพลิดเพลินไปกับเกมต่าง ๆ มากมาย ในขณะที่นักกอล์ฟจะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีการติดตามผลและการวิเคราะห์วงสวิงเพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์และปรับปรุงการเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ห้องประชุมของเรามีทางเลือกที่หลากหลายรูปแบบให้บริษัท เพื่อเป็นวิธีใหม่ในการประชุม พบปะสังสรรค์ และเลี้ยงฉลองในวาระต่าง ๆ ร่วมกัน 

“ถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเสมอที่จะได้นำประสบการณ์ที่มีเอกลักษณ์ของท็อปกอล์ฟมาสู่ชุมชนแห่งใหม่
และเรายินดีขึ้นไปอีกที่ได้เป็นพันธมิตรกับทีจี เอสอีเอ ในการนำท็อปกอล์ฟมาเปิดตัวให้คนไทยรู้จัก”
สตีฟ เลน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายกลยุทธ์ต่างประเทศและบริหารแฟรนไชส์ของท็อปกอล์ฟกล่าว “การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในเส้นทางการขยายธุรกิจในระดับโลก และเราหวังที่จะได้เห็นการเติบโตทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

“ความร่วมมือกันกับท็อปกอล์ฟในครั้งนี้ เราเชื่อว่าการมาของท็อปกอล์ฟ จะมาเติมเต็มและเสริมความแข็งแกร่งของเมกาบางนา และโครงการเมกาซิตี้ และเป็นการตอกย้ำความเป็น The Great Meeting Place ที่เป็นมากกว่าสถานที่ช้อปปิ้ง ที่พร้อมจะรองรับลูกค้าจากทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกเท่านั้น แต่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม จากทุกพื้นที่ รวมถึงลูกค้าจากในเมือง ด้วยขนาดของพื้นที่และทำเล เมกาบางนาจะเป็นศูนย์การค้าที่สามารถมอบประสบการณ์ที่หาจากศูนย์การค้าอื่นไม่ได้ และด้วยศักยภาพของลูกค้าโดยที่ผ่านมามีลูกค้าใช้บริการถึง 50 ล้านคนต่อปี เป็นกลุ่มครอบครัวที่มีกำลังซื้อสูง เป็นฐานลูกค้าที่มีศักยภาพ จะช่วยต่อยอดเป้าหมายทางธุรกิจให้กับท็อปกอล์ฟได้เป็นอย่างดี คาดว่าสามารถรองรับผู้เข้ามาใช้บริการในโครงการเมกาซิตี้ได้เพิ่มถึงวันละ 250,000 คนและท็อปกอล์ฟจะเป็น Destination ใหม่ที่โดดเด่นและแตกต่างจากที่อื่น ด้วยแนวคิดที่ผสานทั้งกีฬากอล์ฟ และเอ็นเตอร์เทนเมนท์ไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างแน่นอน” คุณปพิตชญา สุวรรณดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การค้าเมกาบางนาและเมกาซิตี้ -กล่าว

ท็อปกอล์ฟก่อตั้งขึ้นบนแนวคิดที่ให้ความสำคัญด้านนวัตกรรม ความสนุกสนาน และการใช้เวลาร่วมกันของผู้คน ท็อปกอล์ฟเป็นเกมสำหรับผู้เล่นทุกระดับความสามารถ อาทิ ผู้เล่นสามารถเล่นเกมเก็บคะแนนด้วยการแข่งขันตีลูกกอล์ฟที่ฝังไมโครชิปให้เข้าเป้าที่คล้ายกับเป้าลูกดอกขนาดยักษ์ที่ตั้งอยู่ในสนาม ยิ่งตีลูกกอล์ฟเข้าไปใกล้ตำแหน่งศูนย์กลางหรือ “เป้า” และยิ่งตีได้ระยะไกลมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้คะแนนมากเท่านั้น นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเลือกเล่นเกมอื่น ๆ ได้อีกมากมาย เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ความสนุกในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเกมกอล์ฟแบบคลาสสิกแบบท็อปกอล์ฟ, เกม Jewel Jam ยอดฮิต หรือ Angry Birds ที่เพิ่งเปิดตัวในรูปแบบใหม่และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรักเกม

ในฐานะผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมความบันเทิงด้านกีฬา ผลงานที่เปี่ยมความคิดสร้างสรรค์และความเป็นผู้นำทางธุรกิจได้ทำให้บริษัทเติบโตและมีชื่อเสียงอย่างมากในด้านประสบการณ์เกมกอล์ฟทั้งที่เน้นการเคลื่อนไหวของร่างกายและเกมระบบดิจิทัลแบบเสมือนจริง ท็อปกอล์ฟได้ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับ ทีจี เอสอีเอ ในช่วงต้นปีนี้ ซึ่งมีแผนการพัฒนาเพิ่มท็อปกอล์ฟให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.topgolfthailand.com
ติดตามข่าวสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียได้ที่ Facebook และ Instagram. 



เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (GFC) เปิดตัว Eeva เทคโนโลยีเลือกตัวอ่อนที่แม่นยำมาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย


GFC (เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์) ศูนย์รวมบริการทางการแพทย์สำหรับมีบุตรยากแบบครบวงจร ระบุอัตราการเจริญพันธุ์รวมของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 1.5 เทียบเคียงกับประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากกลุ่มคนวัยทำงานตัดสินใจมีลูกในช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป ส่งผลให้อยู่ในภาวะมีบุตรยาก จึงต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าช่วยพร้อมเปิดตัว Eeva เทคโนโลยีเลือกตัวอ่อนใหม่ล่าสุด ซึ่งนำมาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย ที่มีประสิทธิภาพแม่นยำ สามารถเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 70 %เมื่อเทียบค่ามาตรฐานทั่วไป 






GFCเผยไทยมีแนวโน้มอัตราการเจริญพันธุ์เหลือ 1.5 เทียบเคียงประเทศญี่ปุ่น เกิดจากความพร้อมมีบุตรอายุเกิน 35 ปี ส่งผลให้เข้าสู่ภาวะมีบุตรยาก พร้อมเปิดตัวEeva เทคโนโลยีเลือกตัวอ่อนที่แม่นยำมาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย

GFC เผยไทยมีแนวโน้มอัตราการเจริญพันธุ์เหลือ 1.5 เทียบเคียงประเทศญี่ปุ่น เกิดจากความพร้อมมีบุตรอายุเกิน 35 ปี ส่งผลให้เข้าสู่ภาวะมีบุตรยาก พร้อมเปิดตัวEeva เทคโนโลยีเลือกตัวอ่อนที่แม่นยำมาใช้เป็นแห่งแรกในประเทศไทย

นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (GFC) ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเปิดเผยว่า จากผลการสำรวจและสถานการณ์ของประชากรในปัจจุบันประเทศไทยเป็น 1ใน23 ประเทศที่มีงานวิจัยระบุว่า ในอีก 80 ปีข้างหน้า จำนวนประชากรจะลดลงจาก 71 ล้านคน เหลือเพียง35 ล้านคน ซึ่งสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ค่านิยมการอยู่เป็นโสด ผู้หญิงมีความสามารถและการศึกษาสูงขึ้น ต้องการทำงานสร้างฐานะเป็นอันดับแรก ชะลอเรื่องการแต่งงานมีครอบครัวประกอบกับข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(กรม สบส.)กระทรวงสาธารณสุขพบว่าสถิติทางสาธารณสุขของอัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate - TFR) ของประเทศไทยลดลงเหลือเพียง 1.5ซึ่งเป็นอัตราเทียบเคียงกับประเทศญี่ปุ่น และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ส่งผลให้ในอนาคตประเทศไทยจะประสบกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานและก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัวจากการที่กลุ่มคนวัยทำงานตัดสินใจมีบุตรในช่วงอายุที่มากขึ้น ประกอบกับความเครียดจากการทำงาน ทำให้คู่สมรสหลายคู่ต้องหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์จากปัจจัยดังกล่าว GFC ในฐานะที่ปรึกษาและศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากที่เปิดดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 5มองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจและแสดงถึงศักยภาพทางการแพทย์ของไทยโดยพบว่าในปี 2562 การให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศราว4,500 ล้านบาท


“ปัจจุบันความก้าวหน้าของวิทยาการทางการแพทย์มีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทช่วยด้านการเจริญพันธุ์นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีศักยภาพที่ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งกลุ่มลูกค้าของ GFC  เป็นคนไทยประมาณ90% ส่วนอีก10% เป็นกลุ่มที่สามีหรือภรรยาเป็นคนไทยกับคนต่างชาติ”


ด้าน รศ.นพ.พิทักษ์ เลาห์เกริกเกียรติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากศริริราชและประธานกรรมการบริหาร เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (GFC) กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาการมีบุตรยากของคนไทยเพิ่มมากขึ้นทุกปีเนื่องจากรอความพร้อมด้านการเงิน หน้าที่การงาน ส่งผลให้แต่งงานช้าลง โดยความต้องการมีบุตรอายุเฉลี่ยอยู่ที่35 - 40 ปีซึ่ง85% ของคู่สมรสจะสามารถมีบุตรได้ภายใน 1 ปี หลังการแต่งงานและ 95% ของคู่สมรสจะมีบุตรได้ภายใน  2 ปีหากเกินช่วงเวลาดังกล่าวจะถูกจัดในภาวะมีบุตรยาก ซึ่งการมีบุตรตอนอายุมากโดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุ 35ปีขึ้นไปความสมบูรณ์ของไข่จะมีน้อยและคุณภาพไข่ไม่ดี ส่วนผู้หญิงที่อายุเกิน 48ปี ไม่ควรท้องด้วยวิธีธรรมชาติ เนื่องจากเป็นช่วงที่สุขภาพและความพร้อมของร่างกายไม่สมบูรณ์เต็มที่เหมือนช่วงวัยหนุ่มสาวส่งผลให้เด็กที่เกิดมีโอกาสเป็นดาวน์ซินโดรมได้



ดังนั้น การนำเทคโนโลยีทางการแพทย์เข้ามาช่วยจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะวิธีทำเด็กหลอดแก้วและNGS เพื่อตรวจความสมบูรณ์ของโครโมโซม


พญ.ปรวัน ตั้งธรรมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ของ Genesis Fertility Center และผู้ก่อตั้งเพจ มีลูกยาก ปรึกษาหมอมิ้งค์กล่าวเสริมว่า GFC มีเทคโนโลยีชื่อ Eeva ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเลือกตัวอ่อนใหม่ล่าสุด ที่ GFC Clinic นำมาใช้แห่งแรกในประเทศไทย โดยมีใช้ในต่างประเทศมาประมาณ 5 ปี ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าว สามารถเลือกตัวอ่อนได้มีประสิทธิภาพและแม่นยำ เนื่องจากมีการนำระบบ AI มาใช้
ในการตรวจจับการเติบโตของตัวอ่อน ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อคัดเลือกตัวอ่อนที่ดีที่สุดในการนำมาฝังตัว ซึ่งเมื่อทำเด็กหลอดแก้วร่วมกับการตรวจ NGS จะสามารถเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์สูงถึง73%เมื่อเทียบกับมาตรฐานที่อื่นซึ่งมีอัตราตั้งครรภ์อยู่ที่ประมาณ30-50% สำหรับจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือการเป็นตู้เลี้ยงตัวอ่อนแยกของแต่ละเคส โดยตู้เลี้ยง 1ตู้สำหรับ1 คนไข้ ไม่ใส่รวมปะปนกัน เพื่อลดการรบกวน พร้อมควบคุมอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสม เพราะเราให้ความสำคัญกับความสำเร็จของคนไข้เป็นอันดับแรกพญ.ปรวัน ตั้งธรรมกล่าว


พร้อมกันนี้ ยังได้สร้างช่องทางในการให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจ โดยได้ทำการไลฟ์สดผ่านทางเพจเฟซบุ้กทุกๆ 2 สัปดาห์ เน้นเนื้อหาเหมือนคุณหมอมาจัดรายการวิทยุให้ฟัง เพื่อให้คนที่มีปัญหาหรือต้องการสอบถามข้อมูล ได้เข้ามาถาม-ตอบกันแบบสดๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจ 


ทั้งนี้ผู้ที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
https://www.genesisfertilitycenter.co.th 

หรือที่เฟซบุ้ก www.facebook.com/GFC.Bangkok/

 

28 มีนาคม 2564

“ข้าวแช่สุวรรณภูมิ”สำรับเอกแห่งฤดูร้อน ที่ห้องอาหารศาลาไทย โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิแอร์พอร์ต

​โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต ภูมิใจนำเสนอสำรับเอกแห่งฤดูร้อน “ข้าวแช่สุวรรณภูมิ” ให้คุณได้อร่อยคลายร้อนเพียงปีละครั้ง พร้อมเสิร์ฟตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องอาหารศาลาไทย  

“ข้าวแช่สุวรรณภูมิ” สำรับเอกฤดูร้อนหนึ่งเดียวย่านสุวรรณภูมิ โดยเชฟบังอร มาลาเล็ก หัวหน้าครัวไทย ที่ได้ศึกษาและฝึกฝนการทำข้าวแช่และอาหารไทยตำรับในวังตามแบบฉบับของหม่อมหลวงบัว กิติยากร และเชฟบังอรยังได้รับรางวัลพระราชทานต่างๆมากมาย  เชฟได้ตั้งใจรังสรรค์เครื่องเคียง 9 ชนิดเพื่อให้สอดคล้องกับเลขมงคลของชาวไทย พร้อมประดับทองคำเปลวบนเครื่องเคียงเพื่อเป็นสิริมงคลและตอกย้ำในความหมายของคำว่าสุวรรณภูมิ “ดินแดนแห่งทองคำ” ข้าวแช่สุวรรณภูมินอกจากจะเป็นเมนูคลายร้อนแล้ว ยังถือเป็นของฝากอันล้ำค่าสำหรับเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้ใดได้รับก็ย่อมสุขใจ



สัมผัสความสดชื่นไปด้วยการเริ่มต้นลิ้มรสความหอมสดชื่นจากน้ำลอยดอกมะลิอบควันเทียนที่เชฟบังอรนำข้าวหอมมะลิมาหุงและบรรจงขัดข้าวให้ขึ้นเงาจากนั้นจึงนำมานึ่งอีกครั้งก่อนนำมาแช่กับน้ำอบควันเทียน เชฟบังอรได้ใช้เวลาบรรจงรังสรรค์เครื่องเคียงและผักแนมแกะสลักอย่างละเมียดละไม กะปิชุบไข่ทอดไฮไลท์หลักของข้าวแช่ที่ใช้เวลาผัดให้เข้ากันนานถึง 8 ชั่วโมง เพื่อให้กะปิและเครื่องผัดรวมกันเป็นเนื้อเดียว, ปลาช่อนแห้งผัดหวาน, หัวไชโป๊วผัดหวาน, หัวไชโป๊วผัดไข่, หมูฝอย, เนื้อฝอย, หอมยัดไส้ปลาชุบแป้งทอด, พริกหยวกสอดไส้หมูผสมกุ้ง และไข่แดงเค็มชุบไข่ขาวทอดได้ความหอมมันของไข่แดง

เพื่อประสบการณ์การรับประทาน “ข้าวแช่สุวรรณภูมิ”ที่ดีที่สุดควรเริ่มจากการทานของคาวที่สุดก่อนอย่างลูกกะปิ เคี้ยวให้ได้ลิ้มรสชาติ แล้วจึงตักข้าวแช่ขึ้นทานตามพร้อมน้ำลอยดอกไม้สักเล็กน้อย รสชาติความเข้มข้นของเครื่องเคียงจะผสมผสานกับความเย็นของข้าวแช่ จากนั้นจึงตามด้วยเครื่องเคียงหวานอย่างปลาช่อนแห้งผัดหวาน และเครื่องคาวอื่นๆ สลับสับเปลี่ยนได้ตามชอบ โดยทานคู่กับผักแนมที่เชฟบังอรได้แกะสลักผักสดไว้สำหรับทานแกล้มอย่างประณีตงดงาม ไม่ว่าจะเป็น มะม่วงแก้วขมิ้น กระชาย ต้นหอม และแตงกวา ไม่ควรตักเครื่องเคียงมาใส่ในถ้วยข้าวหรือมารวมอยู่ช้อนเดียวกันเพราะจะทำให้ความมันและความคาวจากเครื่องปรุงต่างๆ ปะปนลงไปในถ้วยทำให้น้ำดอกไม้มีกลิ่นคาวหรือไม่หอมกลมกล่อมเท่าที่ควร


สัมผัสความสดชื่นไปกับข้าวแช่สุวรรณภูมิได้ทั้งแบบเลือกรับประทานที่ห้องอาหารศาลาไทย ระหว่างเวลา 11.30 – 14.30น. ราคาชุดละ 780 บาท (สำรองที่นั่งล่วงหน้า) และชุดตะกร้าสานสั่งกลับบ้านราคาชุดละ 990 บาท (สั่งจองล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง) โดยคุณสามารถเลือกจุดรับได้ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต หรือโรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์ สั่งจองข้าวแช่สุวรรณภูมิล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 และเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564 พิเศษสำหรับสมาชิกแอคคอร์พลัส รับส่วนลดค่าอาหารเพิ่ม 10% จากราคาปกติ  ​



“ข้าวแช่สุวรรณภูมิ” สำรับเอกแห่งฤดูร้อน ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต

ห้องอาหาร:​    ห้องอาหารศาลาไทย , ชั้นล็อบบี้

สำรองข้าวแช่ล่วงหน้า: ตั้งแต่ 15 มีนาคม 2564

วันที่ให้บริการ: 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2564

ราคา:  ชุดทานมื้อกลางวันที่ห้องอาหาร ชุดละ 780 บาท , 11.30 น. -14.30 น.     ​   





  
ชุดตะกร้าสานสั่งกลับบ้าน  ชุดละ 990 บาท (สั่งจองล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง)

ส่วนลดพิเศษ:​ สมาชิกแอคคอร์พลัส รับส่วนลดเพิ่ม 10%  จากราคาปกติ

จุดรับสินค้า:   เลือกรับได้ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ตหรือโรงแรมโนโวเทล กรุงเทพฯ สยามสแควร์

ข้อมูลเพิ่มเติม:  square@novotelairtportbkk.com  หรือโทรศัพท์ 02-1311111 ต่อ 1750

เว็ปไซต์:​​      www.novotelairportbkk.com

Village of Illumination กลับมาอีกครั้งใน เมืองโบราณ ไลท์ เฟส เทศกาลประดับไฟฤดูร้อน ณ เมืองโบราณ

บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) จับมือ เมืองโบราณ สมุทรปราการ อุทยานประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต สร้างสรรค์  “เมืองโบราณ ไลท์ เฟส” เทศกาลประดับไฟฤดูร้อน ณ เมืองโบราณ    จ.สมุทรปราการ ศิลปะผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมโบราณ กับ นวัตกรรมดิจิทัล แต่งแต้มสีสันให้พื้นที่ของเมืองโบราณส่องประกายยามค่ำคืน ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2564

นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ประธาน บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากความสำเร็จของ Village of illumination  @Singha Park จ.เชียงราย ที่จัดไปเมื่อต้นปี 2021 ที่ผ่านมา ได้กระแสตอบรับค่อนข้างดีในสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งเรามีมาตรการป้องกันโรคที่เข้มงวด และยอดผู้ที่มาท่องเที่ยวประมาณ 50,000 คน ในระยะเวลา 2 เดือนในการจัดงาน





ในครั้งนี้เราได้คำนึงถึงผู้ที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร และ จังหวัดใกล้เคียง รวมถึงผู้ที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมงานของเรา จึงได้ร่วมมือกับ เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ พิพิธภัณฑ์เอกชนกลางแจ้งที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 800 ไร่ ในการรังสรรค์งานเทศกาลประดับไฟฤดูร้อนขึ้นในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เมืองโบราณจะถูกฉาบสีสันในยามค่ำคืนให้อลังการ สว่างไสวตลอดทั้งเดือนเมษายน ด้วยการใช้เทคโนโลยี มัลติมีเดีย สื่อ ผสม ที่ทันสมัย ที่จะทำให้ได้สัมผัสบรรยากาศในแบบ เทศกาลฤดูร้อนยามค่ำคืน ณ โซนภาคกลาง แห่งเมืองโบราณ และยังมีโซนย้อนอดีต ไปกับ ตลาดโบราณ ที่เชิญชวนให้ทุกท่านได้มา ชิม ช้อป ย้อนอดีตหวานวันวาน แต่งกายถ่ายรูปย้อนยุค ไปกับ บรรยากาศ แห่งสถาปัตยกรรมไทยโบราณ ยามค่ำคืน กว่า 10 จุด พร้อมรับชมการแสดง Light & Sound Show ที่จะทำให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความงดงามแห่งวรรณกรรมในแบบฉบับชาวสยาม อีกทั้งกิจกรรมอธิษฐานขอพร กิจกรรมลอยกระทงเทียน และสักการะศาลหลักเมืองเพื่อเป็นมงคลชีวิต รวมถึงในวันหยุดนักขัตฤกษ์จะมีการแสดงนาฏศิลป์ชุดพิเศษ และ การสรงน้ำพระกลางคืน ซึ่งงานนี้มีความคาดหวังว่าจะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งหลังวิกฤติ Covid19 อีกด้วย” 






นายปั้น ทองทิว วิริยะพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองโบราณ จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือในการจัดงาน ครั้งนี้ว่า “นับเป็นโอกาสอันดี ที่เมืองโบราณ สมุทรปราการ อุทยานประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต ได้ร่วมมือกับ บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด สร้างสรรค์งานเมืองโบราณ ไลท์ เฟส ขึ้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เมืองโบราณ ได้นำเทคโนโลยีสื่อผสมสมัยใหม่มาใช้พัฒนาการจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ เป็นการจัดกิจกรรมต่อยอดภารกิจทางวัฒนธรรม จากพิพิธภัณฑ์เอกชนกลางแจ้งที่เป็นแหล่งรวบรวมสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของไทยโบราณ สู่ความเป็นกลุ่มพิพิธภัณฑ์เอกชน ที่ทันสมัยและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเที่ยวชมได้เห็นสถาปัตยกรรมไทยโบราณในบรรยากาศยามค่ำคืน โดยเน้นไปที่การจัดแสดงในพื้นที่โซนภาคกลาง เนื่องจากเป็นจุดไฮไลท์สำคัญของเมืองโบราณ โดยเฉพาะพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ซึ่งมีรูปแบบของศิลปะสถาปัตยกรรมไทยในสมัยอยุธยา ที่ผู้ก่อตั้งคือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ได้ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ในการสร้างงานสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าแห่งนี้ ซึ่งหาชมที่ใดไม่ได้อีกแล้ว ทั้งนี้ทางเมืองโบราณหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การจัดงานในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดมุมมองใหม่ในการเที่ยวชมให้กับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งในระดับจังหวัด ระดับภูมิภาคจนถึงระดับประเทศ” 




“เมืองโบราณ ไลท์ เฟส” จะเริ่มจัดแสดงตั้งแต่ 1 เมษายน - 2 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00-22.00 น.
ณ เมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ บัตรผู้ใหญ่ราคาเริ่มต้นที่ 250 บาท และ บัตรเด็ก (สูงไม่เกิน 120 ซม.) ราคาเริ่มต้นที่150บาท ซื้อบัตรได้ที่หน้างานหรือซื้อบัตรออนไลน์ได้ที่ www.villageofillumination.com สอบถามเพิ่มเติมโทร 083-989-6926

ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook: Village of Illumination